ในยามนี้ หลังจากรอดตายอย่างหวุดหวิด มู่จื่อหลิงกลับไม่ได้แสดงรอยยิ้มมีความสุขเหมือนที่กุ่ยเม่ยทำเมื่อครู่นี้
เพราะนางรู้ว่าอีกไม่นานฝูงค้างคาวเืแดงจะพบว่าสิ่งที่พวกมันตามหาเป็เพียงสิ่งกำบัง มันจะบินกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง
ยามนี้ ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน!
เหตุที่กลุ่มค้างคาวเืแดงบินเข้าหาหน้ากากทั้งสองนั้นเป็เพราะหน้ากากที่พวกเขาสวมนั้นผสมน้ำยาหลิงอวิ้นจนมีกลิ่นเข้มข้น
สำหรับค้างคาวเืแดงนั้น พวกมันถูกกลิ่นของน้ำยาหลิงอวิ้นดึงดูดใจ นั่นเป็เหตุผลที่พวกมันโจมตีพวกเขาต่อไป
ในตอนแรก สิ่งที่มู่จื่อหลิงเห็นคือหน้ากากที่หลินเกาฮั่นโยนทิ้งไป
หน้ากากถูกค้างคาวเืแดงกัดอย่างรุนแรงแล้ว นอกจากนี้ ร่างของเด็กปรุงยาทั้งสองยังไม่ถูกทำลาย มีเพียงใบหน้าที่สวมหน้ากากเท่านั้นที่หลงเหลือเพียงโครงกระดูก
จากการอนุมานข้างต้น การที่หัวของเด็กปรุงยาทั้งสองกลายเป็โครงกระดูก เป็เพราะนี่คือส่วนที่พวกเขาสวมหน้ากากไว้
ในทางกลับกัน ยามมองหน้ากากอัปลักษณ์ที่ถูกหลินเกาฮั่นโยนทิ้งไป เห็นได้ชัดว่าเขารอดพ้นจากอันตรายด้วยเหตุนี้
นอกจากนี้ เสี่ยวไตกูชอบกินยาหนิงเซียงที่ผสมน้ำยาหลิงอวิ้น อีกทั้งม้าเมฆาก็ชอบยานี้เช่นกัน นั่นเป็เหตุผลที่มู่จื่อหลิงคาดเดาเื่นี้ขึ้นมาได้ในวินาทีสุดท้าย
แต่นางไม่คาดคิดว่า นางจะคาดเดาได้อย่างหวุดหวิดจริงๆ อันตรายมาก นางรอดตายมาได้หวุดหวิด
......
หลังจากถอดหน้ากากออก ยามนี้พวกเขาได้กลิ่นเหม็นที่สามารถทำให้คนเป็ลมได้
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว ใช้ความอดทนอย่างมาก พยายามหายใจให้น้อยที่สุด ไม่เช่นนั้นนางอาจอาเจียนออกมาได้
หนทางยังอีกยาวไกล แต่ในเวลาเพียงแวบเดียวพวกเขาก็มาถึงข้างกายเด็กปรุงยาทั้งสอง
จากระยะไกล คนตายสองคนนี้ก็ดูน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งใกล้ยิ่งน่ากลัว!
หากหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งเห็นภาพนองเืที่น่าใเช่นนี้ นางคงใตายไปนานแล้ว แต่มู่จื่อหลิงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
ดังนั้นในยามนี้กุ่ยเม่ยจึงได้เห็นความพิเศษของหวางเฟยของตนครั้งแล้วครั้งเล่า
ย่อมเป็เช่นนั้น วิสัยทัศน์ของฉีอ๋องสูงส่งเพียงใด?
หากคนที่ยืนอยู่ข้างเขาในยามนี้เป็หญิงสาวผู้มีความใคร่หรือผู้หญิงธรรมดา นายท่านของพวกเขาจะไม่สนใจนางเช่นกัน นอกจากนี้ พวกเขาจะไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่เผชิญความทุกข์ยากใน่เวลาแห่งชีวิตและความตายร่วมกันได้เช่นนี้
“หวางเฟย คนตายสองคนนี้มีประโยชน์อะไรหรือ?” กุ่ยเม่ยถามอย่างสงสัยด้วยใบหน้าจริงจัง
แม้ว่าฝูงค้างคาวเืแดงจะบินออกไปแล้ว แต่อันตรายยังคงมีอยู่ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่จื่อหลิงถึงมาดูคนตายทั้งสองแทนที่จะรีบหนีออกไป
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกเป็รอยยิ้มลึกลับ “ขยะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ดังนั้นยามนี้เราควรใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด หากการเดาของเปิ่นหวางเฟยถูกต้อง ศพของสองคนนี้จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับแสนในเมืองหลงอันได้”
ขณะพูด ความคิดของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไป นางเพ่งสมาธิ ดวงตาใสของนางตรวจสอบเศษซากที่หลงเหลือจากค้างคาวเืแดงบนพื้นด้วยความเร็ว...
อย่างไรก็ตาม คำตอบของมู่จื่อหลิงยิ่งทำให้กุ่ยเม่ยสับสนมากยิ่งขึ้น มันน่าเหลือเชื่อเกินไปในสายตาของเขา
“แค่ศพสองศพนี้จะสามารถช่วยชีวิตคนนับแสนได้หรือ?” ั์ตากุ่ยเม่ยฉายแววประหลาดใจ เขายังคงไม่เชื่อ
แม้กุ่ยเม่ยจะยังไม่เชื่อและไม่เข้าใจ แต่ด้วยยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะอธิบาย อีกทั้งมู่จื่อหลิงยังไม่มีความคิดจะอธิบายเลย
เพราะสิ่งที่นางจะทำต่อไปนั้น หากให้กุ่ยเม่ยเห็นเข้า ไม่รู้ว่าเขาจะมองนางในฐานะสัตว์ประหลาดหรือไม่?
มู่จื่อหลิงจะรู้ได้อย่างไรว่าหากกุ่ยเม่ยมาเห็น ไม่เพียงแต่เขาจะมองนางเป็สัตว์ประหลาด แต่เขายังจะถือว่านางเป็เทพเซียนจริงๆ ด้วยซ้ำไป
ในขณะนี้มู่จื่อหลิงไม่พูดอะไรอีก นางดูเคร่งเครียด เข้าไปสังเกตอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ กุ่ยเม่ยจึงไม่กล้าไปรบกวน
ค้างคาวเืแดงจำนวนมากในถ้ำตัวขาดออกราวตะกรัน [1] กลิ่นคาวเืเจือปนด้วยพิษร้ายแรง
รุนแรงแต่กลับมีลักษณะที่อ่อนโยน มู่จื่อหลิงนึกถึงบางสิ่งได้เมื่อไม่นานมานี้ในยามที่กุ่ยเม่ยยังคงต่อสู้อยู่
เพียงแค่ในยามนั้นพวกเขายังไม่อาจปกป้องตนเองได้ นางจะปล่อยให้นางตรวจสอบเจาะลึกได้อย่างไร?
แต่ยามนี้เป็โอกาสอันดี...มู่จื่อหลิงนำกู่ซากศพที่ดึงออกมาจากหัวใจก่อนหน้านี้ขึ้นมา โยนมันลงในแอ่งเือันน่าตกตะลึงบนพื้น
ในเวลาต่อมา สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เห็นได้ว่าเ้ากู่ซากศพตัวเล็กแสนดื้อรั้นและแข็งแรงนี้ไม่ได้ดิ้นรนมากนัก มันผสานเข้ากับกองเืโดยตรง พูดให้ชัดคือ มันได้รับความเสียหายจากเืพิษ ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใช่จริงด้วย! เป็อย่างที่นางคิด
มู่จื่อหลิงมีความสุขมาก!
แม้ว่าระบบซิงเฉินจะตรวจไม่พบว่ามันเป็พิษชนิดใด แต่พิษของเ้าหน้าที่และทหารที่ตายก่อนหน้านั้นค่อนข้างอ่อน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอีกนานเพียงใด
แต่ไม่ต้องรอนานกับการตรวจสอบที่ยังมาไม่ถึง มู่จื่อหลิงก็สามารถยืนยันได้โดยตรงว่าเืพิษของค้างคาวเืแดงเป็ยาตัวสุดท้ายที่จะแก้ไขโรคระบาดได้
ยามนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือคือการคิดค้นยาถอนพิษของค้างคาวเืแดง
การกลั่นยาถอนพิษอาจเป็เื่ยากสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่เื่ยากสำหรับมู่จื่อหลิงผู้เป็อัจฉริยะด้านวิชาพิษ
ตราบใดที่มีพิษดั้งเดิมอยู่ มู่จื่อหลิงก็สามารถหาทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
“กุ่ยเม่ย เร็วเข้า จับตาดูกลุ่มเ้าสิ่งมีชีวิตบ้าๆ ที่อยู่ข้างหลังไว้ พวกมันจะบินกลับมาในไม่ช้า” มู่จื่อหลิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“อะไรนะ? เหตุใดถึง...” หลังจากได้ยินคำสั่งของมู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยเกือบจะสูญเสียความสงบในทันที
ท่านเพิ่งรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด นี่ท่านยังอยากไปต่ออีกหรือ?
ไม่วิ่งยามนี้แล้วต้องรอถึงเมื่อใด? กุ่ยเม่ยไม่ได้เอ่ยจนจบ แต่ความหมายก็แสดงชัดออกมาทางสีหน้า
“ไม่เป็ไร ข้ารับมือได้” นางรู้ว่ากุ่ยเม่ยจะตอบสนองเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงสั่งต่ออย่างเงียบๆ “อย่าตื่นตระหนกยามพวกมันบินกลับมา แค่ต้องสู้ และเหลือเรี่ยวแรงไว้สักเล็กน้อยสำหรับการหลบหนี!”
มู่จื่อหลิงรู้ว่ากุ่ยเม่ยมีสมาธิดีเพียงใด การกล่าวว่าเขาตื่นกลัวเมื่อเกิดเื่ขึ้นนั้นเป็เพียงจินตนาการ
แต่นางยังคงกล่าวย้ำ ด้วยถึงกุ่ยเม่ยไม่ตื่นกลัว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ตื่นตระหนกเพราะนาง
จุดนี้ตรงกับปากถ้ำพอดี ดังนั้นจึงง่ายต่อการวิ่งหนี บางทีกุ่ยเม่ยอาจกระสับกระส่ายหลังจากเห็นการเคลื่อนไหวนั่น แล้วรีบร้อนพานางออกไปก่อนที่นางจะทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลังจากนี้แทบจะเป็ไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่อีกครั้ง
หากค้างคาวเืแดงเหล่านี้ไม่ได้รับการกวาดล้างให้หมดสิ้น เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับถ้ำซากศพที่มีศพเป็พันๆ
หากไม่จัดการน้ำนิ่งส่งกลิ่นเหม็นเน่ากลิ่นตลบอบอวลที่ไหลเวียนกลายเป็น้ำกินน้ำใช้สำหรับชีวิตในเมืองหลงอัน ชีวิตคนทั้งเมืองจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร
นอกจากนี้ค้างคาวเืแดงกลุ่มนี้ยังเป็กุญแจสำคัญในการรักษาโรค...มู่จื่อหลิงตัดสินใจแล้ว ยามนี้เหลือโอกาสในการจัดการกับเ้าตัวบ้าๆ เหล่านี้เพียงโอกาสเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นดวงตาใสของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ กุ่ยเม่ยจึงไม่ถามอะไรอีก
เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม หันหลังกลับ เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
อันที่จริง ่เวลาในการต่อสู้ที่กุ่ยเม่ยกำลังตั้งตารอนั้นไม่มีอยู่จริง มู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้เพื่อให้กุ่ยเม่ยจดจ่ออยู่กับการระแวดระวังภัยจากเ้าตัวเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงมองแผ่นหลังเคร่งขรึมของกุ่ยเม่ย ก่อนออกคำสั่งอย่างจริงจังอีกครั้ง “เวลากำลังจะหมดลงแล้ว รอฟังคำสั่งเปิ่นหวางเฟย รีบไปที่ปากถ้ำ! จำไว้ให้ดี!”
หากกุ่ยหยิ่งอยู่ในภวังค์แม้เพียงนิด เช่นนั้นพวกนางคงต้องเตรียมบอกลาโลกนี้ได้เลย
แต่หากในยามนี้เปลี่ยนเป็ผู้อื่น มู่จื่อหลิงอาจไม่เชื่อ แต่เมื่อเป็กุ่ยเม่ย...นางเชื่อในตัวหลงเซี่ยวอวี่
หลังพูดจบ มู่จื่อหลิงเทน้ำยาหลิงอวิ้นจากระบบซิงเฉินลงในแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เทลงบนศพเด็กปรุงยาทั้งสองโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ
ชั่วขณะหนึ่ง กลิ่นเหม็นรอบตัวพวกเขาถูกปกคลุมด้วยกลิ่นน้ำยาหลิงอวิ้น อากาศรอบตัวพวกเขามีกลิ่นหอมสดชื่นในทันที
มู่จื่อหลิงนำน้ำยาหลิงอวิ้นออกจากระบบซิงเฉิน เทลงบนศพ จากนั้นจึงเก็บใส่อ่างน้ำใส่กลับไปในระบบซิงเฉิน ดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวมากมาย แต่กลับเกิดขึ้นในพริบตา
มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงประกายแวบวาบ
แม้กระทั่งตัวมู่จื่อหลิงเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าความเร็วของนางจะเร็วถึงเพียงนี้ แต่นางไม่ได้คิดมากเกินไป บางทีนี่อาจเป็สัญชาตญาณในการหลบหนี
ในเวลาเดียวกัน กุ่ยเม่ยที่หันหลังให้มู่จื่อหลิงก็ได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นจากด้านหลัง
ชั่วขณะหนึ่งกุ่ยเม่ยยังได้กลิ่นน้ำยาหลิงอวิ้น
ครั้งนี้ถึงแม้กลิ่นจะแรง แต่ก็ไม่ฉุน แถมยังสดชื่นกว่าสองครั้งที่เขาเคยได้กลิ่น
กุ่ยเม่ยใมาก
เสียงน้ำกระเซ็นดังเพียงนี้เลยหรือ? กลิ่นหอมแรงขนาดนั้น? มือของหวางเฟยว่างเปล่า แม้ว่าจะเป็ขวดยาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ยังเป็ไปไม่ได้ที่จะมากเพียงนี้...
แต่ในยามนี้กุ่ยเม่ยไม่มีแม้แต่เวลาให้ใหรือคาดเดา
เนื่องจาก่เวลานี้ ฝูงค้างคาวเืแดงบินตรงกลับมาหาพวกเขาจริงๆ ตามที่มู่จื่อหลิงกล่าวไว้
แต่ความเร็วในการโฉบของพวกมันครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้พวกมันทำราวกับกำลังตามล่าหาสมบัติ ตะเกียกตะกาย กระสับกระส่ายซวนเซ
เมื่อเห็นเช่นนี้หัวใจของกุ่ยเม่ยก็สั่นสะท้าน เตรียมพร้อมรับการปะทะ
แต่ในเวลาเดียวกัน เสียงของมู่จื่อหลิงก็ดังมาจากข้างหลัง
ทันทีที่มู่จื่อหลิงเก็บอ่างน้ำกลับเข้าไปในระบบซิงเฉิน ค้างคาวเืแดงก็บินเข้าหาพวกเขา โดยที่เสียงของนางดังขึ้นพร้อมกัน
“วิ่ง!” มู่จื่อหลิงะโ หันไปอีกด้านเตรียมหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะพูดจบ มู่จื่อหลิงรู้สึกเพียงมีเงาพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง
“หวางเฟย ขออภัย!” เสียงน่ากลัวเฉยเมยดังขึ้นทันที
ก่อนที่เสียงจะจบลง ก่อนมู่จื่อหลิงจะเข้าใจ...
เร็วปานสายฟ้าลมกรด [2] มู่จื่อหลิงรู้สึกเพียงมีบางสิ่งรัดรอบเอวนางแน่น
เอ่อ...
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงอยากเงยหน้ากรีดร้อง
ความสามารถในการตอบสนองของกุ่ยเม่ยไม่ทำให้นางผิดหวัง แต่...
ขอร้องเถอะ! นางไม่ใช่ลูกเจี๊ยบ [3] ที่จะให้เ้าท่อนไม้อย่างกุ่ยเม่ยโอบอุ้มตัวลอยเช่นนี้!
ต้าเกอ! นี่ท่านกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดหรือกำลังจะฆ่าข้ากันแน่!
แต่ในยามนี้ มู่จื่อหลิงไม่มีเวลาให้รู้สึกหดหู่ใจ นางทำได้เพียงร้องโวยวายในใจเท่านั้น
ทันใดนั้นก็เกิดลมกระโชกรุนแรง เสียงดังกึกก้องในหูบาดลึกจนเจ็บถึงแก้วหู
เมื่อมู่จื่อหลิงฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ พวกเขาก็พ้นทางโค้งในถ้ำมาแล้ว มองไม่เห็นฝูงค้างคาวเืแดงอีก พวกมันก็ไม่ไล่ตามพวกเขามาเช่นกัน
แต่ในยามนี้ เ้าท่อนไม้ ‘ผู้ไร้มโนธรรม’ ผู้นี้ยังคงแบกมู่จื่อหลิงที่กำลังจะอาเจียนเป็เือยู่เช่นเดิม ทั้งยังวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด!
“กุ่ยเม่ย...กุ่ยเม่ย หยุด หยุดก่อน...” มู่จื่อหลิงกำลังจะเป็บ้า
ไม่เพียงเพราะนางทนต่อการ ‘ทรมาน’ นี้ไม่ได้ แต่ยังเป็เพราะ...นางยังต้องกลับไปจัดการกับค้างคาวเืแดงพวกนั้นอีก
ออกวิ่งเพียงก้าวเดียวก็ออกมาไกลถึงเพียงนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตัวขาดออกราวตะกรัน (崩裂成渣) เป็วลี มีความหมายว่า ตัวขาดหรือแตกสลายจนกลายเป็คราบเมือก เศษตะกอน
[2] เร็วปานสายฟ้าลมกรด (风驰电掣) เป็สำนวน มีความหมายว่า รวดเร็วมากจนมองตามไม่ทัน
[3] ลูกเจี๊ยบ (小鸡) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า สิ่งที่เบามาก หรือไร้เดียงสามาก