กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าข้างๆ กันนี้จะยังมีสถานที่ที่งดงามเช่นนี้อยู่อีก ดูไปแล้วเหมือนกับห้องหนังสือ มีมุมหนึ่งออกแบบให้ยกสูงขึ้น จากนั้นปูพรมขนสัตว์เอาไว้้า บนยกพื้นนั้นวางโต๊ะเตี้ยไว้อยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะเตี้ยตัวนั้นมีสิ่งของล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ[1]วางเรียงอยู่ครบครัน การออกแบบเน้นความประหยัดพื้นที่ทว่ากลับมีเอกลักษณ์เป็อย่างยิ่ง ถัดลงไปอีกมุมหนึ่งเป็บันไดทรงกลมไว้เดินลงไปยังห้องใต้ดิน บันไดมีลักษณะไม่สูงชันนัก แสงสว่างภายในห้องนี้นั้นไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อกู้จวิ้นเฉินเงยหน้าขึ้นก็พบว่าส่วนของหลังคามีลักษณะโปร่งใส แสงสว่างส่องจากบริเวณหลังคาลงมา ดังนั้นตรงส่วนของบันไดนั้นจึงสว่างยิ่งนัก
หลี่ลั่วเดินอยู่ข้างหน้า เนื่องด้วยขาที่ทั้งเล็กและสั้นเด็กน้อยจึงจับราวบันไดเดินนำลงไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นกู้จวิ้นเฉินก็ยื่นมือออกไป แขนทั้งสองข้างของเขาลอดผ่านบริเวณเอวของเด็กน้อยแล้วอุ้มเขาขึ้นมาจากบันได
ชั่วขณะที่ร่างของเขาลอยขึ้นมา หลี่ลั่วพลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาหดเกร็งรัดแน่น สะดุ้งใจนตัวโยน แต่ทว่าก็รับรู้ได้ถึงมือที่แข็งแรงยิ่งคู่นั้นซึ่งกำลังรวบเอวของเขาเอาไว้ “ท่านพี่ฉีอ๋อง?” หลี่ลั่วเรียกขึ้นครั้งหนึ่ง
“อืม” กู้จวิ้นเฉินรอจนลงมาจากบันไดเรียบร้อยแล้วจึงวางตัวเขาลงมา
ที่นี่ได้วางหญ้าแห้งที่ทำหน้าที่ดูดซับความอับชื้นไว้เล็กน้อย ในห้องใต้ดินจึงไม่อับชื้นเลย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนมึนงงก็คือกลิ่นหอมที่กำจายอยู่ในห้องใต้ดิน กลิ่นเหล่านี้ล้วนเป็กลิ่นหอมของเหล้า คิดไม่ถึงเลยว่าห้องใต้ดินแห่งนี้จะแอบซ่อนเหล้าไว้มากมายเช่นนี้
หลี่ลั่วเปิดขวดเหล้า จากนั้นก็ใช้ผ้าตาข่ายบางๆ กรองเหล้าออกมา ด้วยความที่เขาตัวเล็ก ท่าทางจึงดูไม่ค่อยไหลลื่นเท่าใดนัก แต่ดูแล้วมีความตั้งใจยิ่ง
“นี่เป็เหล้าชนิดใดหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถาม แม้ว่าจะมีกลิ่นหอม แต่ทว่าเมื่อมาอยู่ท่ามกลางดงเหล้าหลากชนิดเช่นนี้ จึงย่อมดมไม่ออกว่าเป็ผลไม้ชนิดใดที่นำมาหมักเป็เหล้า
“เหล้าองุ่นพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้เป็ฤดูเก็บเกี่ยวองุ่น ราคาไม่แพง และคุณค่าทางโภชนาการของเหล้าองุ่นนั้นก็สูงมากด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วอธิบาย
“คุณค่าทางโภชนาการหรือ?” คำพูดประโยคนี้ช่างแปลกใหม่ยิ่ง แม้กู้จวิ้นเฉินจะเข้าใจถึงความหมายของคำว่าคุณค่าทางโภชนาการจากความหมายที่นำมาเชื่อมติดกัน หากแต่ว่าคำทั้งหมดนี้สามารถนำมาใช้เช่นนี้ได้ด้วยหรือ ช่างน่าสนใจนัก
“อื้ม ก็คือมีประโยชน์ต่อร่างกายพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะเทียบไม่ได้กับไวน์แดงในปัจจุบันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็ไวน์แดงฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ได้ “ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะประกอบด้วยส่วนประกอบของอาหารบำรุงกำลังที่จะนำไปเสริมสร้างบำรุงร่างกายได้พ่ะย่ะค่ะ” อย่างเช่นวิตามินและแร่ธาตุ การกล่าวลักษณะเช่นนี้คนในสมัยโบราณย่อมไม่เข้าใจ ดังนั้นหลี่ลั่วจึงพูดให้ฟังดูเข้าใจง่ายหน่อย
สายตาของกู้จวิ้นเฉินปรากฏความประหลาดใจพาดผ่าน “เ้าเข้าใจด้วยหรือ”
“อื้ม กระหม่อมชอบอ่านหนังสือแพทย์ แล้วยังรักษาโรคได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วเจตนาพูดอย่างภาคภูมิใจในตัวเองเล็กน้อย
“พรืด...” เสียงหัวเราะดังขึ้น ก็เหมือนกับบุคลิกลักษณะของกู้จวิ้นเฉินนั่นแหละ มันนำมาซึ่งความรู้สึกเยือกเย็น แต่เ้าความรู้สึกนี้มันช่างดึงดูดใจคนเสียเหลือเกิน จากการประเมินด้วยสายตาของ GAY ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลี่ลั่วแล้วนั้น คนผู้นี้เมื่อเติบใหญ่จะต้องหล่อเหลาเป็ที่คลั่งไคล้ของผู้คนมากมายแน่นอน น่าเสียดายเสียจริง...ที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่ลั่วก็ได้แต่พูดอย่างยั่วยุอยู่หน่อยๆ ว่า “หากท่านพี่ฉีอ๋องไม่เชื่อแล้วละก็ กล้าให้กระหม่อมจับชีพจรดูหรือไหมเล่า?”
กู้จวิ้นเฉินม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ย่อกายลงนั่งยองๆ ยื่นมือไปข้างหน้าหลี่ลั่ว
อื้อหือ...หลี่ลั่วจับชีพจรของกู้จวิ้นเฉินด้วยท่าทางชำนาญราวกับเป็ท่านหมอ ชีพจรเต้นอ่อนนัก ไม่เหมือนชีพจรของผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ยามปกตินั้นดูไม่ออกว่าสุขภาพของกู้จวิ้นเฉินเป็เช่นใด แต่เมื่อจับชีพจรดูแล้วจึงได้รู้ว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่มาก เป็ไปตามที่หลี่ลั่วคาดการณ์ไว้ั้แ่แรก ความเย็นของร่างกายนั้นเป็ผลกระทบที่ได้รับมาจากการดื่มโอสถ
“เป็เช่นใดบ้างเล่าท่านหมอตัวน้อย? จับชีพจรดูแล้วเป็เช่นใดบ้าง?” กู้จวิ้นเฉินถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลี่ลั่วดึงมือกลับมาราวกับเป็ผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบคางพลางครุ่นคิด “พบบางอย่าง แต่กระหม่อมต้องขอคิดก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านหมอน้อยเขียนเทียบยาให้เสียแล้ว” กู้จวิ้นเฉินรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก
“ไม่เป็การรบกวนเลยแม้แต่น้อย แต่ก่อนอื่นกระหม่อม... กระหม่อมอยากจะขอเืของท่านพี่ฉีอ๋องสักเล็กน้อยเพื่อนำมาทำการตรวจสอบดูพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพูดอีก
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศรอบกายราวกับถูกแช่แข็ง หลี่ลั่วรู้ว่าทำอย่างนี้อาจจะเป็การล่วงเกินกู้จวิ้นเฉิน คำพูดที่กล่าวออกไปนั้นอาจดูวู่วามไปบ้าง กู้จวิ้นเฉินจะอยู่หรือตายนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา ทว่าชีวิตของคนเรานั้น มักจะต้องมี่เวลาที่เกิดเื่วู่วามขึ้นบ้าง ก็เหมือนกับที่บางคนเกิดมามีหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ หลี่ลั่วคิดว่าแค่ได้ชื่นชมก็ทำให้อารมณ์สุนทรียิ่งนักแล้ว
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านต้องเชื่อกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วจับมือของกู้จวิ้นเฉินไว้
[1] สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึก