ตลอดทั้งบ่าย สภาพจิตใจของโม่จ้านมิต่างกับหนึ่งวันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระโจนออกมา มิมีความง่วงอยู่เลยสักนิด ตัวเขาที่ถูกบีบจนไร้หนทางทำได้เพียงออกชุดหมัดมวยทหารอยู่กับที่หลายต่อหลายชุด วิ่งรอบเสาสิบกว่ารอบ ทั้งยังวิดพื้นและซิทอัพอยู่ครึ่งค่อนวัน มิใช่เื่ง่ายกว่าจะทำให้ตนเองฝึกจนรู้สึกเหนื่อยได้
หลังเขวี้ยง ‘เครื่องจองจำิญญา’ และวงเวทย์ดูดกลืนพลังปีศาจที่ไร้ซึ่งความรู้สึกสมจริงออกไป ร่างกายของาาปีศาจก็นับว่าแข็งแรงขึ้นมิน้อย ยามนี้คิดอยากจะฝึกจนเกิดความง่วงยังยากยิ่งกว่าการรักษาพลังกายเสียอีก กระทั่งพระสังฆราชลู่อี้ที่มาส่งข้าวเย็นยังเผยสีหน้าสงสัย เ้าปีศาจสกปรกที่ก่อนหน้ามักด่าทอตน มายามนี้กลับเงียบลงไปมิน้อย อีกทั้งยังเป็ฝ่ายขอร้องให้ตนมัดโซ่ให้หลวมสักหน่อยเพื่อที่จะได้นอนหลับดีๆ
หึ มิว่าจะปากหยิ่งผยองสักเพียงใด ต่อเมื่อความตายเข้ามาใกล้ก็ยังต้องยอมอ่อนข้อ
โม่จ้านผู้เดาใจอีกฝ่ายได้แม่นยำมองส่งตาเฒ่าออกไปผ่านสายตา ในเสี้ยวนาทีที่บานประตูปิดลง เขาพลันสะบัดร่างกาย ท่อนแขนกำยำเพียงกระตุกเบาๆ โซ่ตรวนเส้นหนักก็ร่วงหล่นโดยพลัน ขาทั้งสองข้างของโม่จ้านหุบเข้าหากัน ตนยืดอกเก็บพุง จากนั้นส่งนิ้วกลางไปทางประตูใหญ่
คิดว่าข้ามิเห็นเ้ากลอกตาขาวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งงั้นรึ? ไสหัวไปไกลๆ เถอะเ้าน่ะ
ไม่ว่าตนจะต้องเป็ไส้ติ่งอักเสบหลังออกกําลังกายหรือไม่ โม่จ้านก็ยังเดินเร็วไปรอบๆ หลายรอบก่อนที่จะค่อยๆ ล้มตัวนอนลง ตัวเขานั้นคุ้นเคยกับชีวิตที่งานยุ่งวุ่นวาย และทุกครั้งก็มักจะทำจนทนมิไหวจึงจะยอมเอนหัวพักผ่อน มิเคยกระตือรือร้นอยากให้เทพแห่งการนอนหลับมาเยือนถึงเพียงนี้มาก่อน
อาจเป็เพราะการเคี่ยวกรำของโม่จ้านบังเกิดผล มินานนัก โม่จ้านก็รู้สึกหนังตาหนักอึ้ง ความง่วงงุนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
.....
“โอ๊ยยยยยย แค่กๆ เจ็บๆๆ...”
ครั้งก่อนก่อนจะตื่นโม่จ้านรนหาที่ตายด้วยการข่วนผนัง ทำให้เสี้ยนไม้ตำเข้าซอกเล็บ มาครานี้เพิ่งจะเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ความเ็ปไร้ปรานีบนนิ้วทั้งสิบพลันแล่นเข้าสู่ประสาท โจมตีสมองของาาปีศาจอย่างหนักหน่วง
ความเ็ปรุนแรงทำให้โม่จ้านมั่นใจเื่หนึ่ง มิใช่ว่าความฝันนี้สมจริงเกินไป เดิมทีความฝันนี้มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็ ’ตัวเขา’ ‘โลงศพ’ หรือแม้แต่ร่างกายที่เข้า ล้วนแล้วแต่เป็รูปธรรมทั้งสิ้น
แม้มันจะมิใช่ตัวเขา..ไม่สิ ต้องบอกว่ามิใช่เขาใน ‘สภาพเดิม’
เมื่อิญญาของเขาสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเขาสามารถอาศัยร่างนี้มีชีวิตรอดต่อไปได้งั้นหรือ?
โม่จ้านที่กุมนิ้วมือเพิ่งจะเคยได้รู้ว่า ที่แท้ความเ็ปก็ยังนำพามาซึ่งความสุขครั้งใหญ่ได้เช่นกัน
โม่จ้านผู้ที่ไฟปรารถนาในการจะมีชีวิตอยู่รอดลุกโชน เขาคลำเอาหนามออก ก่อนจะคลำหน้าผากของตนจนมั่นใจอีกครั้งว่า แม้ตนจะมิรู้ว่าร่างนี้เป็ของผู้ใด ทว่ามันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเขาไม่มากก็น้อยเป็แน่
บนหน้าผากของร่างนี้ปรากฏกระดูกงอกออกมาเป็เขาคู่หนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ยังเป็เพียงเขาเล็กๆ เมื่อลองจับดูยังให้ััคล้ายขี้ผึ้งละเอียดอ่อน คาดว่าคงจะเป็เผ่าปีศาจเช่นเดียวกัน อีกทั้งแม้เล็บของร่างนี้จะดูแข็งแรง ทว่าเมื่อเทียบกับคมเล็บแหลมคมของาาปีศาจ ไม่ว่าจะความยาวหรือความทนทานล้วนแต่ต่างกันอยู่มากโข
ในใจของโม่จ้านรู้สึกประหม่าอย่างยิ่งขณะเอื้อมมือไปคลำเป้าของตัวเอง หลังลองบีบดูเบาๆ จึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความรู้สึกนุ่มนิ่มอันคุ้นเคยของเ้าตัวน้อยแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ ขณะเดียวกันยังทำให้โม่จ้านกลืนหัวใจที่กระโจนขึ้นมาจนถึงคอหอยกลับลงไปในท้องอีกครั้ง
ยังดีที่เป็บุรุษ หากเปลี่ยนร่างแล้วยังต้องเปลี่ยนเพศด้วย ตัวเขาคงมิอาจรับเื่นี้ได้ไหว
เนื่องด้วยเวลาที่มีจำกัด โม่จ้านจึงมิมัวสนใจรายละเอียดเล็กน้อยอื่นๆ บนร่างกาย เริ่มพยายามหาหนทางเป็ไปได้ที่จะกระทุ้งโลงศพนี้ให้พัง
โม่จ้านบิดตัวเช่นสายลับในหนังโจรกรรม พยายามเคาะผนังโลงศพที่สามารถเอื้อมถึงได้ทั้งหมดอย่างละเอียด กระทั่งกลั้นหายใจจนหน้าเขียว โม่จ้านก็ยังมิพบเสียงโพรงที่ใจเฝ้าตามหา ถึงขั้นไร้หนทางแยกแยะว่าส่วนไหนของโลงศพที่ค่อนข้างบาง
ด้วยความโมโห โม่จ้านผู้ร้อนใจมิเป็สุขชกหนึ่งกำปั้นดัง ‘ปัง’ ลงบน ‘ฝ้าเพดาน’ นอกจากะเืจนเจ็บมือก็ไร้ซึ่งประโยชน์อื่นใด โม่จ้านเริ่มสงสัยว่าฝาโลงศพนี้อาจมิได้ถูกครอบ แต่ถูกตอกเอาไว้ มิเช่นนั้นจะปิดสนิทถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นความคิดน่ากลัวสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของโม่จ้าน หรือร่างกายนี้จะมิได้ถูกจองจำหรือซ่อนตัว ทว่าเป็ศพที่ถูกเก็บไว้ในโลงศพจริงๆ มิใช่เพราะฝาโลงถูกปิดไว้แน่น ทว่าเป็เหมือนการฝังศพในภูมิลำเนาเดิมของตน ทั้งโลงศพถูกฝังไว้ใต้ดินลึก!
...หากเป็เช่นนั้นก็คงจบสิ้นกันแล้วจริงๆ เขามิใช่ถู่สิงซุน[1]เสียหน่อย หากถูกฝังทั้งเป็มิว่าอย่างไรก็ต้องตายน่ะสิ!
ปอดเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา โม่จ้านผู้จนปัญญาทำได้เพียงตบบ้องหูตัวเองอย่างแรง เพื่อปลุกตัวเองออกจากความฝัน
......
ในโถงประชุมใหญ่ของกองอัศวินแห่งพระวิหาร เจียเอ่อลั่วผิดแปลกไปจากปกติ เขาเดินกลับไปกลับมาอย่างค่อนข้างร้อนใจ ทั้งที่ยามนี้ทุกอย่างราบรื่น ถึงขั้นมองมิเห็นเค้าลางที่จะก่อให้เกิดปัญหาใดๆ กระนั้นตนกลับเริ่มเป็กังวลอย่างไร้สาเหตุ
อัศวินผมน้ำเงินเพิ่งกลับมาจากยืนยาม เมื่อเห็นหัวหน้าอยู่ในโถงประชุม เขาเพียงยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินไปทางประตูด้านข้าง ตนเคยชินกับตารางเวลาทำงานและการพักผ่อนที่ไม่ดีของรองหัวหน้าไปตั้งนานแล้ว หรือต้องบอกว่าเห็นสิ่งแปลกประหลาดจนชิน จนมิเห็นว่ามันประหลาดแล้ว
สัญชาตญาณอันว่องไวยังคงทำให้อัศวินผมน้ำเงินััได้ถึงความไม่ปกติ ขณะผลักบานประตูให้เปิดออก อัศวินผมน้ำเงินหันหลับไป ตั้งใจมองพิจารณาการกระทำของหัวหน้าตน
โดยปกติท่านรองผู้บัญชาการมักจะผ่อนคลายตัวเองจากความเหนื่อยล้า บ้างนั่งหรือฟุบหมอบอยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินเป็ครั้งคราว มิต่างกับผู้เฒ่าเดินเล่นอย่างเอ้อระเหยไม่กี่ก้าว มาวันนี้ท่านรองผู้บัญชาการกลับดูต่างไปจากปกติ มิเพียงขมวดคิ้วแน่น กระทั่งฝีเท้ายังค่อนข้างสะเปะสะปะ
“...ท่านเจียเอ่อลั่ว ท่านมิเป็อะไรใช่หรือไม่ขอรับ? คล้ายกับอาการของท่านจะมิค่อยดี”
อัศวินผมน้ำเงินปลดเสื้อเกราะเดินไปข้างโต๊ะ เขาส่งสายตาแสดงความเป็ห่วงไปทางรองผู้บัญชาการที่กำลังสะกดอารมณ์
“...อืม มิเป็ไร เพียงรู้สึกจิตใจมิสงบเท่านั้น”
เห็นทีความผิดปกติของตนจะชัดเจนเกินไป กระทั่งเพื่อนร่วมงานยังสังเกตเห็น เจียเอ่อลั่วถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนจะนั่งลงอย่างไม่เป็ธรรมชาติ แขนทั้งสองข้างวางลงบนโต๊ะ นิ้วชี้ข้างขวาเคาะลงบนขมับเบาๆ
ลางสังหรณ์และร่างกายล้วนแต่บอกสมองว่าคล้ายกับมีเื่บางเื่ผิดแปลกไปจากสิ่งที่เตรียมการไว้ กระนั้นมิว่าตนลองคิดไปคิดมาอย่างไรก็ยังคงหาสาเหตุมิได้ ขณะมองสีหน้าเปี่ยมด้วยความห่วงใยของเพื่อนร่วมงาน เจียเอ่อลั่วทำได้เพียงคิดว่าสาเหตุเป็เพราะเขาเครียดเกินไป
เจียเอ่อลั่วตบแก้มตัวเอง สะกดความคิดและอารมณ์ในสมองที่มากเกินจำเป็ลงไป
“ผ่อนคลายสักหน่อยเถิดขอรับท่านรองผู้บัญชาการ ท่านอูลั่วถูกพากลับไปแล้ว ครั้งนี้มีสมเด็จพระสันตะปาปาคอยควบคุมด้วยตัวพระองค์เอง ก่อนจะถึงพิธีตัดสิน เขาจะต้องมิอาจออกมาได้อีกแน่ขอรับ”
ครั้นเห็นสีหน้าของรองผู้บัญชาการกลับมาเคร่งขรึมดังเดิม อัศวินผมน้ำเงินก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะถือหมวกเหล็กและเสื้อเกราะเดินออกไป
ตนมาฝึกงานในกองอัศวินเป็เวลาไม่น้อย แต่เพิ่งจะเคยเห็นรองผู้บัญชาการเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา แต่ไม่เสียแรงที่เป็ท่านเจียเอ่อลั่ว สามารถจัดการอารมณ์มิดีได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตนยังต้องเรียนรู้จากท่านให้มากสักหน่อย
...แท้จริงแล้ว ตนอยากตบบ่าท่านเจียเอ่อลั่ว ทว่าเพราะตำแหน่งค้ำคอ ตนจึงมิกล้าล้ำเส้น
“รอกระทั่งาาปีศาจลงนรก พวกเราก็จะได้เสพสุขกับชีวิตอันสุขสงบเป็เวลาพักใหญ่แล้วขอรับ”
“ชีวิตสุขสงบ...รึ หวังว่าจะเป็เช่นนั้น”
เจียเอ่อลั่วนวดดวงตาที่ปวดเมื่อย เผยรอยยิ้มแสดงถึงการฝืนทำ หยัดกายลุกขึ้นเดินตามหลังอัศวินผมน้ำเงิน มุ่งหน้าไปยังห้องพักผ่อน
ากำจัดเผ่ามารกินเวลานานถึงเพียงนี้ สมควรจะจบลงได้เสียที...
เชิงอรรถ
[1] ถู่สิงซุน土行孙 คือผู้เชี่ยวชาญในอาวุธหลากหลายชนิด อาวุธที่ใช้ประจำคือง้าวและกระบองเหล็ก พาหนะของเขาคือกิเลนและสามารถดำดิน