หลี่หรูอี้รอจนแม่ทัพติงดื่มยาเสร็จและนอนลง แล้วจึงกล่าวว่า “พิษที่ผู้ป่วยถูกนั้นทำจากพิษที่มาจากเขี้ยวสัตว์ จึงขอถามว่า ศรอาบยาพิษนี้เป็ผู้ใดยิงท่าน”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ชาวแคว้นหลาง”
แคว้นหลางเป็แคว้นที่อยู่ใกล้กับแคว้นต้าโจวและเป็หนึ่งในแคว้นอริด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นนี้เป็ที่ราบทุ่งหญ้าและทะเลทราย ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน
แคว้นหลางมีทรัพยากรต่างๆ น้อยมาก มีเสบียงอาหารไม่เพียงพอบริโภค ทุกปีจึงต้องอาศัยการ่ชิงจากแคว้นโดยรอบ ซึ่งแคว้นต้าโจวก็เป็หนึ่งในนั้นด้วย
ในรัชสมัยก่อนเน้นบุ๋นผ่อนบู๊ เมื่อแสนยานุภาพแห่งกองทัพปกป้องชายแดนทางเหนืออ่อนด้อยลง ทัพของแคว้นหลางจึงเข้ามารุกรานปล้นสะดมอยู่ทุกปี
เมื่อแคว้นต้าโจวมีกองทัพเยี่ยนแห่งจวนเยี่ยนอ๋องคอยปกป้องชายแดนทางเหนือ ครั้งเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ก็โจมตีแคว้นหลางจนเข็ดขยาด ตราบเท่าทุกวันนี้แคว้นหลางก็ไม่กล้าส่งกองทัพเข้ามารุกรานและก่อาขนาดใหญ่อีก แต่ก็ยังมีกองทหารม้ามาลอบโจมตีด้วยยุทธวิธีากองโจรในแถบตำบลและหมู่บ้านที่ไม่มีกองทัพเยี่ยนป้องกันอยู่ ทั้งสังหารผู้คนรวมทั้งเผาและปล้นสะดม เื่ไม่ชั่วไม่ทำ สร้างความเสียหายไม่น้อยให้กับชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าโจว
หลายปีก่อน แม่ทัพติงนำทัพเข้าต่อสู้กับกองทหารม้าสองกองของแคว้นหลางในที่ราบทุ่งหญ้า ซึ่งเป็ชายแดนทางเหนือ ระหว่างที่กำลังเข้าห้ำหั่นกัน ก่อนที่แม่ทัพทหารม้าจะตายก็พยายามยิ่งศรอาบยาพิษอย่างสุดกำลัง กระทั่งพุ่งปักเข้าที่อกขวาของแม่ทัพติงอย่างจัง
หลี่หรูอี้ขมวดคิ้ว “ที่แท้ศรพิษเป็กองทัพศัตรูแคว้นหลางเป็คนยิ่ง ฉะนั้นก็มีความเป็ไปได้สูงว่าจะเป็พิษที่มาจากสัตว์ในทะเลทราย”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ หมอในแถบนั้นที่เคยมารักษาก็บอกว่า ศรอาบพิษที่ท่านพ่อได้รับเป็พิษแมงมุมทะเลทราย”
หลี่หรูอี้เอ่ยเบาๆ ว่า “นอกจากแมงมุมแล้วก็ยังมีกิ้งก่าทะเลทรายอีก”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงคล้ายเห็นนิ้วมือของบิดาขยับครั้งหนึ่ง พลันร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ!”
โจวโม่เสวียนดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นเดินไปหาและร้องเรียกว่า “ท่านลุงติง!”
หลี่หรูอี้เห็นว่าแม่ทัพติงค่อยๆ ลืมตาขึ้น จึงบอกว่า “ทำอาหารให้ผู้ป่วยกินสักหน่อย เป็โจ๊กใส่เนื้อเปื่อยๆ และให้ใส่พุทราแดงด้วย”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว กล่าวว่า “ท่านพ่อ ที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านพ่อ ดีเหลือเกิน รักษาชีวิตท่านเอาไว้ได้แล้ว”
แม่ทัพติงนึกไม่ถึงว่าตนเองยังคงมีชีวิตรอด เมื่อเห็นบุตรชายคนโตน้ำตานองหน้า ในใจก็อยากจะเอ่ยออกไปว่า น้ำตาบุรุษไม่หลั่งง่ายๆ แต่ทั่วร่างไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักนิด อย่าว่าแต่พูดเลยแค่อ้าปากก็ยังทำไม่ได้
บุตรชายคนโตเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย เหตุใดท่านพ่อข้าจึงพูดไม่ได้เล่าขอรับ”
“ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย ทั้งหิวมาเป็เวลานาน ย่อมไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด” หลี่หรูอี้พูดเร่งว่า “ท่านรีบไปทำอาหารให้ผู้ป่วยกินตามที่ข้าบอกเถิด”
บุตรชายคนโตรีบรับคำ พลันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเรียกให้บ่าวไปทำอาหารที่ห้องครัว ทั้งไปแจ้งข่าวดีต่อฮูหยินติงและคนในครอบครัวด้วย
บุตรีของแม่ทัพติงเอ่ยด้วยท่าทีเคลือบแคลงว่า “คงมิใช่ว่าท่านพ่อจะสดใสขึ้นในบั้นปลาย[1]หรอกนะ?”
บุตรชายคนโตเห็นว่าพี่สาวไม่เชื่อ จึงรีบบอกว่า “ไม่ใช่ขอรับ ท่านหมอเทวดาน้อยสามารถรักษาชีวิตของท่านพ่อไว้ได้แล้ว ท่านหมอเทวดาน้อยบอกว่า สามารถขจัดพิษในกายของท่านพ่อออกได้เก้าส่วนในเวลาเจ็ดวัน”
บุตรสาวตื่นเต้นจนอดที่จะร้องลั่นไม่ได้ว่า “ดีเหลือเกิน!”
หลี่หรูอี้รอจนแม่ทัพติงกินโจ๊กใส่เนื้อหมดแล้ว จึงถอนเข็มเงินบนตัวของเขาออก และให้เขาไปขับถ่าย
บุตรชายคนโตประคองแม่ทัพติงออกไป จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กลับเข้ามา สายตาที่เขามองหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความสนเท่ห์
บุตรชายคนโตบอกกับทุกคนว่า “โอสถถอนพิษนี้ช่างวิเศษแท้ๆ ท่านพ่อข้ากินเข้าไปเพียงไม่นานก็ถ่ายพิษออกมาแล้ว”
โจวโม่เสวียนถามอย่างใคร่รู้ว่า “พิษนั้นเป็อย่างไรหรือ”
บุตรชายคนโตนึกไปถึงสีของของเสียของบิดาที่มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง ก่อนจะกระแอมแห้งๆ ครั้งหนึ่ง และเอ่ยเบาๆ ว่า “เป็สีเขียวพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพติงเอนกายลงบนเตียง พลางเอ่ยกับโจวโม่เสวียนอย่างปลงอนิจจังว่า “หนึ่งวันหนึ่งคืนมานี้ทำเอากระหม่อมทุกข์ทรมานจนเกือบไม่เหลือชีวิตจะได้พบกับท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรูอี้สั่งยาผ่อนคลายประสาทและให้คนจวนติงไปต้มมาให้แม่ทัพติงดื่ม พร้อมกำชับว่า “จำไว้ว่าระหว่างนี้ต้องงดดื่มสุราและเื่ในห้อง[2] เจ็ดวันให้หลังข้าจะมาตรวจรักษาอีกครั้ง”
ยามที่นางเอ่ยคำว่า เื่ในห้องนั้น สายตาของนางบริสุทธิ์เสียอย่างยิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ทำให้ใครๆ รู้สึกขัดเขินแม้แต่น้อย
โจวโม่เสวียนถามว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านสามารถเอาหัวลูกศรที่อยู่ในอกของท่านลุงติงออกได้หรือไม่”
แม่ทัพติงรีบบอก “ท่านชาย อย่าทรงทำให้ท่านหมอเทวดาน้อยลำบากใจเลย ท่านหมอเทวดาน้อยสามารถช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ได้ก็ทำให้ครอบครัวของกระหม่อมซาบซึ้ง หาที่สุดมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮูหยินติงพาบุตรธิดามาค้อมตัวคำนับหลี่หรูอี้ “ขอบคุณท่านหมอเทวดาน้อยที่ช่วยชีวิตสามีข้า (บิดาข้า)”
หลี่หรูอี้กลับมิได้ขอรับความชอบ หากเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “หากพวกท่านจะขอบคุณ ก็ต้องขอบพระทัยท่านชาย เพราะเป็ท่านชายที่พาข้ามา”
โจวโม่เสวียนปลาบปลื้มอยู่ในใจ ยิ้มน้อยๆ ขณะรับคำขอบคุณจากคนตระกูลติง
เจียงชิงอวิ๋นก้าวไปข้างหน้าพลางขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูหลี่หรูอี้ “สามารถนำหัวลูกศรออกมาได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้ปรายตามองแม่ทัพติงคราวหนึ่ง พร้อมเอ่ยดังๆ ว่า “นั่นก็ต้องดูว่าก่อนจะถอนพิษนั้นผู้ป่วยจะงดดื่มสุราได้เด็ดขาดหรือไม่”
ยามอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน แม่ทัพติงถึงกับใบหน้าแดงก่ำ และกล่าวว่า “ข้าสาบานว่าจะไม่ดื่มสุราเด็ดขาด”
ฮูหยินติงถลึงตาใส่แม่ทัพติงคราวหนึ่ง บอกว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านโปรดวางใจเ้าค่ะ ข้าจะจับตาดูสามีข้าให้ดีเ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้บอกว่า “หลังจากผู้ป่วยถอนพิษและพักผ่อนสองสามวันแล้ว ข้าก็มีหนทางเอาหัวลูกศรออกจากอกของเขา”
ทุกคนจึงพากันดีใจยิ่งนัก พร้อมทั้งเอ่ยว่า “ดีเหลือเกิน”
“ท่านลุงติง หลานต้องขอลาตรงนี้ วันหน้าค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่ขอรับ” โจวโม่เสวียนเร่งรีบจะไปเรือนอื่นต่อ แม้แต่อาหารเที่ยงก็ยังไม่ทานและพาพวกของหลี่หรูอี้จากไปแล้ว
คนจวนติงรู้ว่าโจวโม่เสวียนยังต้องพาหลี่หรูอี้ไปตรวจรักษาท่านแม่ทัพอีกสี่ท่าน จึงไม่ขืนรั้งพวกเขาเอาไว้
คนจวนติงล้วนยืนอยู่ที่หน้าประตู บุตรชายคนรองของแม่ทัพติงมองรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป จึงเอ่ยกับฮูหยินติงว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านหมอเทวดาน้อยแซ่หลี่ อยู่ที่อำเภอฉางผิงใกล้ๆ นี่เอง ครอบครัวเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเจียงชิง อวิ๋น วันนี้พอดีว่า ท่านหมอเทวดาน้อยพี่น้องมาไหว้ปีใหม่เจียงชิงอวิ๋น จึงบังเอิญได้พบกับท่านชาย ท่านชายจึงทรงดึงตัวท่านหมอเทวดาน้อยมาตรวจรักษาท่านพ่อที่จวนเราขอรับ”
ฮูหยินติงพยักหน้าช้าๆ “ที่แท้ท่านหมอเทวดาน้อยเป็สหายกับคุณชายเจียงนี่เอง”
“คุณชายเจียงอยู่อย่างสันโดษไม่ใคร่ออกไปที่ใด นึกไม่ถึงว่าจะรู้จักท่านหมอเทวดาน้อยได้”
“ได้สอบถามหรือไม่ว่า เรือนของท่านหมอเทวดาน้อยอยู่ที่ใด” ฮูหยินติงคิดในใจว่า ท่านหมอเทวดาน้อยมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อบ้านเราเพียงนี้ จะต้องส่งของกำนัลล้ำค่าไปขอบคุณเขา
“บิดาและพี่ชายคนโตของท่านหมอเทวดาน้อยไม่ยอมพูดให้ละเอียดขอรับ คล้ายมีเงื่อนงำบางประการ”
ฮูหยินติงเกิดความสงสัยอยู่ในใจ ทว่าขอเพียงท่านหมอเทวดาน้อยสามารถรักษาสามีของตนจนหายก็เพียงพอแล้ว
คนทั้งจวนติงกลับไม่มีคนมองออกว่าหลี่หรูอี้เป็หญิงที่แต่งกายเป็ชาย
ว่ากันว่าจวนของแม่ทัพสวี่ ซึ่งเป็เรือนหลังที่สองที่โจวโม่เสวียนจะไปนั้นมิใช่เรือนที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่เป็ผู้ที่อาการสาหัสที่สุด
เมื่อครู่ตอนที่หลี่หรูอี้กำลังรักษาแม่ทัพติงอยู่ โจวโม่เสวียนก็สั่งให้องครักษ์ไปสอบถามที่จวนแม่ทัพทั้งสี่ล่วงหน้าเป็การเฉพาะ เพื่อดูว่าผู้ใดอาการค่อนข้างหนัก
ตามข่าวที่องครักษ์สอบถามมาได้นั้น แม่ทัพสวี่ไม่ได้นอนมาสี่วันสี่คืนแล้ว ั้แ่เมื่อสองวันก่อนก็เริ่มทำร้ายทุกคนที่ได้พบ เมื่อคืนถึงกับเอาดาบมาจะฆ่าตัวตาย หากมิใช่ว่าบ่าวมาพบเห็นทันการณ์ แม่ทัพสวี่ก็ต้องกลายเป็ศพไปแล้ว
โจวโม่เสวียนเอาแต่พะวงกับอาการของแม่ทัพสวี่ เกรงว่าจะไปไม่ทันเวลา จึงเร่งขี่ม้าเข้าไปขนาบกับรถม้าแล้วเอ่ยเสียงดังๆ กับหลี่หรูอี้ที่นั่งอยู่ภายในรถม้าว่า “ท่านลุงสวี่อายุมากกว่าเสด็จพ่อของข้าเพียงไม่กี่ปี แต่กลับดูชราภาพนัก ดูแล้วเหมือนคนอายุห้าหกสิบปี อาการของเขาก็ประหลาดอย่างยิ่ง เอาแต่ฝันร้ายอยู่ทุกวัน นอนไม่หลับ พูดจาเลอะเลือน ซ้ำยังทำร้ายผู้คน มีคราหนึ่งเมื่ออาการกำเริบก็ทำร้ายบุตรชายของตนจนเกือบตายด้วย”
เขาเคยสอบถามอาการเช่นนี้กับหลี่หรูอี้ที่จวนเจียงมาก่อนแล้ว เวลานี้จึงมาอธิบายให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีก
เมื่อได้ฟัง ทุกคนที่มาด้วยต่างพากันหวาดกลัวอยู่ในใจ แม่ทัพสวี่เกือบสังหารบุตรชายแท้ๆ ของตน หนำซ้ำยังจะฆ่าตัวตายอีก นี่มิใช่คนวิกลจริตหรอกหรือ
แต่โบราณจนบัดนี้ก็ไม่เคยได้ยินว่า จะมีหมอคนใดสามารถรักษาโรควิกลจริตได้เลย
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] สดชื่นในบั้นปลาย เป็อาการที่ผู้ป่วยอาการดีขึ้นจนผิดหูผิดตา จดจำเื่ต่างๆ ได้ (เช่น ในคนไข้ที่มีอาการสมองเสื่อม หลงลืม) แต่จะคงอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะเสียชีวิตไป
[2] เื่ในห้อง หมายถึง เื่บนเตียง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้