เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ลู่เต้าพบว่าหลังเกิดเหตุหัวขโมยบุกขึ้นเรือน บรรยากาศในจวนสกุลหงก็ตึงเครียดกว่าเมื่อวาน เขามาที่ห้องพักโดยมีบ่าวรับใช้สองคนคอยคุ้มกัน
ไป๋เสียนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงกว้าง ลู่เต้ายิ้มเ้าเล่ห์ ค่อยๆ ย่องเบาเข้าไปใกล้หวังจะแกล้งอีกฝ่าย แต่ไม่ทันไรไป๋เสียกลับเอ่ยขึ้นก่อน “กลับมาแล้วเหตุใดถึงไม่ส่งเสียงเล่า”
ลู่เต่าประสานมือไว้หลังศีรษะด้วยสีหน้าผิดหวัง “เฮอะ รู้ตัวแล้วหรือ น่าเบื่อชะมัด”
“จวนสกุลหงแห่งนี้เป็แดนสุขาวดี เส้นลมปราณที่นี่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังิญญาบริสุทธิ์ ข้ากำลังทดลองชักนำพลังิญญาจากเส้นลมปราณอยู่”
เพียงเห็นเขาร่ายอาคม จุดแสงสีเขียวเล็กๆ นับไม่ถ้วนก็ค่อยๆ แผ่ออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน ไหลรวมเข้ากับร่างของไป๋เสีย กระบวนการนี้ดำเนินไปประมาณหนึ่งนาที พลังิญญาอันน้อยนิดใต้จวนสกุลหงก็ถูกไป๋เสียดูดกลืนจนหมดสิ้น
แต่สำหรับไป๋เสียที่ิญญาได้รับาเ็สาหัส พลังิญญาเพียงน้อยนิดนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำหยดเดียวดับกระหาย ร่างิญญาของเขายังคงเลือนรางและอ่อนแอ
ทว่าในเวลาเดียวกันกับที่เส้นลมปราณดูดกลืนพลังิญญาไปจนหมด ฮูหยินหงผู้กำลังแช่น้ำพุอย่างสบายอารมณ์กลับพบว่าน้ำพุกลับกลายเป็น้ำธรรมดาไปเสียแล้ว ไร้ซึ่งสรรพคุณชะลอวัยใดๆ! ทำเอาฮูหยินถึงกับกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“แม้จะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” ไป๋เสียลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ว่าอย่างไร มีเื่ที่้าบอกข้าหรือ”
ลู่เต้าพยักหน้า จากนั้นจึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบัทมิฬเมื่อคืนให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด
หลังจากฟังจบ ไป๋เสียก็ถามขึ้นว่า “กุ้งที่เ้าเห็นนั้น เปลือกของมันมีลวดลายคล้ายกับหินอ่อนหรือไม่”
“เอ๊ะ! ท่านรู้ได้อย่างไร”
“อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด” ไป๋เสียกล่าวต่อ “กุ้งชนิดนี้มักจะกินซากศพเป็อาหาร การปรากฏตัวของมันบ่งบอกว่าบริเวณใกล้เคียงมีศพอยู่”
“นั่นสิ เมื่อวานกู่เสี่ยวอวี่เล่าให้ข้าฟังว่า่นี้มีผีพรายในทะเลสาบ ชาวประมงหลายคนหายสาบสูญไปขณะออกหาปลา”
“การหายตัวไปของชาวประมงต้องเกี่ยวข้องกับแสงประหลาดในทะเลสาบเป็แน่ ไม่มีทางที่เฟิ่งหวงจะอาศัยอยู่ในที่ไร้ซึ่งขุมทรัพย์ ขนาดเ้าเฉาใบ้ยังต้องรีบไปตรวจสอบกลางดึก แสดงว่าทะเลสาบัทมิฬต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ บางทีอาจเป็ทางเข้าสุสานลับก็เป็ได้”
“ว่าแต่สุสานลับคืออะไรหรือ”
“สถานที่ที่ทั้งอันตรายและมีโอกาสอยู่ในที่เดียวกัน” ไป๋เสียอธิบาย “ไม่ทราบแน่ชัดว่าต้นกำเนิดของสุสานลับคืออะไร รู้เพียงว่าภายในมักจะมีสัตว์ิญญาหายากตำราอาหารที่สามารถปลุกพลังวิเศษที่สาบสูญไปนานแล้ว หรือแม้แต่อุปกรณ์ิญญาล้ำค่า”
“สุสานลับเปรียบเสมือนโอกาส ผู้ที่ผ่านการทดสอบได้จะได้รับรางวัล ยิ่งยากลำบากมากเท่าไร รางวัลก็ยิ่งมากมายเท่านั้น” ไป๋เสียเดินมาหน้าลู่เต้า ยกนิ้วแตะไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ “เปลวเพลิงสืบสานแห่งภูตที่ข้าได้รับ ก็ได้มาจากศพในสุสานลับ และนั่น...ทำให้ชีวิตของข้าเปลี่ยนไปตลอดกาล”
ลู่เต้าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดูท่าแล้วข้าต้องไปตรวจสอบเสียหน่อยแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น สาวใช้เอ่ยถามอย่างแ่เบา “คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือยังเ้าคะ”
ไป๋เสียสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเขาก็หายวับไปกลับเข้าไปในร่างของลู่เต้า จากนั้นลู่เต้าก็เอ่ยตอบ “ตื่นแล้ว”
สาวใช้ยกอ่างไม้ที่บรรจุน้ำอุ่นและผ้าเช็ดตัวเข้ามาวางลงตรงหน้าลู่เต้า แล้วกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “เชิญคุณชายล้างหน้าล้างตาก่อนไปที่ห้องโถง คุณนายมีเื่จะพบเ้าค่ะ”
กล่าวจบสาวใช้ก็ถอยออกไป ลู่เต้าใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหน้าพลางครุ่นคิด ‘ฮูหยินหงหรือ เหตุใดนางถึง้าพบข้า’
‘ดูท่าแล้วเื่ที่ข้ายกหินเมื่อวานยังทำให้นางไม่คลายสงสัย ตอนนี้อาศัยเขาอยู่ จะหลบเลี่ยงเื่นี้ไม่ได้หรอก ไปดูกันว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่’
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ลู่เต้าก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถง แต่ยังไม่ทันถึง เขาก็ได้ยินเสียงหงฝูทะเลาะกับฮูหยินหงดังแว่วมาแล้ว
“ท่านผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิตข้ากับอาฮวาเอาไว้!” เสียงของหงฝูเต็มไปด้วยความกังวล
ฮูหยินหงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วอย่างไรเล่า ข้าแค่ให้เขาลองฝีมือกับเหยียนอันเท่านั้นเอง”
“ข้าเชิญท่านผู้มีพระคุณมาที่นี่ในฐานะแขก! หากเขาได้รับาเ็ คนภายนอกจะมองสกุลหงของเราอย่างไร”
ขณะนั้นลู่เต้าก็มาถึงห้องโถงพอดี เขาเห็นฮูหยินหงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ส่วนเจี่ยเหยียนอันยืนอยู่ข้างหลังนาง หงฝูกำลังเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินหงเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนนางจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เจี่ยเหยียนอันหัวหน้าองครักษ์มาประลองกับลู่เต้าให้ได้
“โอ๊ะ มาแล้วหรือ” เจี่ยเหยียนอันเดินเข้ามาหาลู่เต้าก่อนเป็คนแรก เขามองลู่เต้าั้แ่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง แล้วเอ่ยเยาะ “นี่หรือคือยอดฝีมือที่ท่านพูดถึง”
หลังจากพิจารณาแล้ว เจี่ยเหยียนอันก็ลอบหัวเราะอย่างสมเพชในใจ ‘ระดับพลังของไอ้หนูนี่แค่ระดับหนึ่งดาราขั้นต้นเท่านั้น เห็นทีคงไม่เกินระดับกลาง เป็ไปไม่ได้ที่จะเป็คู่มือของข้า! ปล่อยให้ข้าเปิดโปงมันต่อหน้าทุกคนเสียดีกว่า! จะได้ทำลายชื่อเสียงของหงฝูด้วย!’
เพื่อกระตุ้นจิติญญานักสู้ของลู่เต้า เจี่ยเหยียนอันจึงจงใจเหยียบรองเท้าของลู่เต้า ประทับรอยแแ่เอาไว้
หงฝูรู้ดีว่ายอดฝีมือที่กระบี่บินได้นั้น แค่สะบัดมือเบาๆ ก็สามารถพลิกฟ้าดินได้ หากโกรธขึ้นมา คงไม่ใช่เื่เล่นๆ แค่ทำลายเมืองัทมิฬทั้งเมืองก็ไม่ใช่เื่ยากเย็นอะไร
เมื่อเห็นว่าเจี่ยเหยียนอันเสียมารยาทเช่นนี้ เขากลัวว่าลู่เต้าจะโกรธเคือง จึงรีบก้าวเข้าไปขวางทั้งสองคนเอาไว้ไม่ยอมถอย
“เื่ไร้สาระเช่นนี้พอกันที!”
ลู่เต้าที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยอย่างใจเย็น “ฟังดูน่าสนใจดีนี่ ข้าเอาด้วยก็ได้”
“แต่ว่าท่านผู้มีพระคุณ...” หงฝูกำลังจะอธิบาย แต่เมื่อหันกลับไปมอง กลับพบว่าสีหน้าของลู่เต้าเ็าขึ้น และกลิ่นอายรอบตัวก็เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน
ลู่เต้าที่ถูกแย่งร่างเอ่ยถามในใจ ‘เอ๊ะ เ้าจะลงมือเองหรือ ไม่กลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนหรืออย่างไร’
“ข้ากดพลังของตัวเองไว้ต่ำที่สุดแล้ว อีกอย่างการรับมือกับคนแบบนี้ ไม่จำเป็ต้องให้ข้าลงมือเองหรอก”
ไป๋เสียประเมินความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย “แต่ระดับพลังของมันสูงกว่าเ้าอย่างน้อยๆ ก็ระดับสองดารา”
“หากเ้าแพ้ มีหวังข้าต้องเร่ร่อนอีกแน่ๆ แถม...” ดวงตาของไป๋เสียเปล่งประกายเย็นเยียบจ้องเจี่ยเหยียนอันไม่วางตา “เ้าบัดซบนี่ กล้าดียังไงมาทำให้ ‘เสื้อผ้า’ ของข้าสกปรก”
ลู่เต้ารู้สึกแปลกใจ ทั้งที่โดนเหยียบรองเท้าแท้ๆ เหตุใดไป๋เสียถึงบอกว่าเสื้อผ้าสกปรกเล่า
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เพิ่งเข้าใจว่าที่แท้ไป๋เสียหมายถึงร่างกายของเขานั่นเอง! ดังนั้นการที่รองเท้าถูกเหยียบ จึงเปรียบเสมือนทำให้เสื้อผ้าของไป๋เสียสกปรก!
“ก็แค่ประลองกันหน่อยเดียว ทำเป็เื่ใหญ่ไปได้ ไม่อยากมีเื่ก็หลีกทางไปซะ!” เจี่ยเหยียนอันเร่งหงฝูอย่างหมดความอดทน
หงฝูไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ ภาวนาในใจขอแค่เจี่ยเหยียนอันอย่าทำอะไรเกินเลยจนไปล่วงเกินลู่เต้าก็พอ
ทุกคนเคลื่อนย้ายไปรวมตัวกันที่สวน ตรงกลางลานถูกจัดการพื้นที่เพื่อให้ลู่เต้าและเจี่ยเหยียนอันประลองฝีมือกัน
เจี่ยเหยียนอันเดินไปยังหินฮวงจุ้ยที่ลู่เต้าลำบากลำบนขนย้ายมาเมื่อวาน จากนั้นก็ผลักออกไปอย่างง่ายดาย เพียงพริบตาเดียวลานประลองก็ว่างเปล่า
“ข้าเจี่ยเหยียนอัน ขอคำชี้แนะด้วย” เขากำหมัดคารวะด้วยท่าทีเสแสร้ง
“ข้า...” ไป๋เสียชะงักไป ครุ่นคิดอยู่นานก็ได้แต่พูดอย่างไม่เต็มใจ “เฮยเจิ้ง”
“นามแฝงสินะ” เจี่ยเหยียนอันยิ้มเยาะ “ไม่เป็ไร รอให้เ้ายอมแพ้แล้วข้าค่อยถามก็มิสาย”
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันอยู่คนละฟากของสวน ฮูหยินหงนั่งอยู่ใต้ร่มเงา บอกกฎพร้อมกับมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย “ครั้งนี้ประลองกันด้วยเพลงหมัดมวยและเตะเท่านั้น หยุดเมื่ออีกฝ่ายแพ้ ห้ามใช้พลังวิเศษและอุปกรณ์ิญญา เข้าใจหรือไม่”
เจี่ยเหยียนอันแสยะยิ้ม หยิบก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมากำไว้แน่น ครั้นคลายฝ่ามือออก ก้อนหินก็แตกเป็ผุยผงปลิวหายไปตามสายลม
“อยากยอมแพ้ก็รีบๆ ทำเสียั้แ่ตอนนี้” เจี่ยเหยียนอันข่มขู่เสียงต่ำ “ต้องรู้เอาไว้ว่าหมัดมวยไร้น้ำใจนัก รู้สึกตัวอีกทีอาจจะาเ็สาหัสไปแล้วก็ได้”
“ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ไป๋เสียยิ้มเยาะ “เพราะต่อจากนี้ เ้าไม่มีวันที่แม้แต่จะแตะต้องตัวข้าได้ด้วยซ้ำ”
มุมปากของเจี่ยเหยียนอันกระตุกโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลอบรวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ
“เริ่มได้!” สิ้นเสียงประกาศของฮูหยินหง การประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
