เห็นสีหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่แล้ว หลี่เหล่าไท่เหฺยเองก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย “เป็อันใดมากหรือไม่? เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” เขารีบก้าวขึ้นไป แม้ในใจจะยังมีน้ำโหอยู่ แต่พวกเขาก็เป็สามีภรรยากันมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว เขาจะยังโมโหนางต่อที่ไหนกัน
หลี่เหล่าไท่ไท่กุมมือของหลี่เหล่าไท่เหฺยเอาไว้ “ข้ารู้ว่าท่านโมโหข้า เื่ของข่ายเกอเอ๋อร์ท่านจะโมโหข้าก็เป็เื่สมควร แต่หยวนเฉิงนั้นไม่รู้เื่รู้ราวด้วย เขาเป็คุณชายใหญ่แล้วยังต้องมาคุกเข่าให้หลี่ลั่วเพื่อขอขมา ท่านว่าเขาผิดกระไรเล่า?”
หลี่เหล่าไท่เหฺยตกตะลึง มองไปที่หลี่ลั่ว นี่คุกเข่าลงเพื่อขอขมาจริงหรือไม่?
หลี่หยางซื่อนั้นเห็นการกระทำของหลี่เหล่าไท่ไท่แล้วขัดตายิ่งนัก ที่เจตนาคุกเข่าขอขมานี่มิใช่ว่า้าจะกล่าวหาว่าหลี่ลั่วไม่รู้จักเคารพผู้าุโหรอกหรือ? ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลั่วเกอเอ๋อร์ นี่มันเกิดเื่อันใดกันขึ้น?”
หลี่ลั่วพูดอย่างน่าเอ็นดู “เรียนมารดา ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ลุงใหญ่หยวนจู่ๆ ก็มาคุกเข่าให้ข้า เขาบอกว่าคุณชายหยวนลักพาตัวข้าไป ช่างโเี้นัก เื่นี้คุณชายหยวนทำผิดไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นตัวคุณชายหยวนเองก็ได้ตายไปแล้ว เขาที่เป็บิดาจึงได้แต่มาขอขมาข้า ข้าไฉนเลยจะกล้าให้ลุงใหญ่หยวนคุกเข่าให้ข้า ถึงแม้ว่าข้าจะเป็โหวเหฺยที่ฝ่าาทรงแต่งตั้ง การรับการคุกเข่าคารวะจากลุงใหญ่หยวนนั้นจึงถือได้ว่าเป็ไปตามธรรมเนียมมารยาท แต่ทว่าอย่างไรลุงใหญ่หยวนก็เป็บุตรชายแท้ๆ ของเหล่าไท่ไท่ ข้าย่อมต้องให้หน้าเหล่าไท่ไท่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงให้เขาลุกขึ้นทันทีขอรับ”
บุตรชายแท้ๆ ของเหล่าไท่ไท่ประโยคหนึ่ง ฟังแล้วทุกคนต่างรู้สึกแปลกๆ และทำให้หลี่เหล่าไท่เหฺยโมโหขึ้นมาอีกครั้งได้สำเร็จ
หลี่ลั่วพูดขึ้นอีกว่า “ต่อมาหลี่เหล่าไท่ไท่เสนอให้กินข้าวเที่ยงด้วยกันเพื่อปรับความเข้าใจกัน ข้าคิดว่าท่านปู่ ท่านลุงใหญ่ รวมไปถึงคนอื่นๆ ต่างก็กังวลถึงความปลอดภัยของข้า ดังนั้นข้าจึงเสนอความคิดให้เรียกทุกคนมากินข้าวพร้อมหน้าด้วยกันสักมื้อ”
“ยังคงเป็ลั่วเกอเอ๋อร์ที่ช่างมีใจคิดยิ่งนัก” ภรรยาหลี่ฮุยกล่าว “รู้ว่าพวกเราต่างกังวล เช่นนี้ก็ดีทุกคนจะได้วางใจ”
“ไหนเลยจะกล้าให้ท่านป้ากังวลใจได้ เป็ข้าที่ทำไม่ถูกแล้ว” หลี่ลั่วรีบเอ่ย
“ดูสิ ดูคำพูดนี้ ลั่วเกอเอ๋อร์ของพวกเราช่างรู้มารยาทนัก มิน่าเล่าฝ่าาและฉีอ๋องต่างก็ชมชอบ” ภรรยาหลี่ฮุยนั้นเห็นเหตุการณ์อย่างชัดแจ้งแล้ว หลี่ลั่วในเวลานี้คือว่าที่พระชายาเอกของฉีอ๋อง ใครจะไปสนเล่าว่ารักเพศเดียวกันหรือไม่ ฝ่าาพระราชทานสมรส นั่นก็คือคู่สมรสที่ดี ขาใหญ่ของหลี่ลั่วนี้นางย่อมต้องกอดไว้แน่นอนแล้ว
ซ้ำาแของหลี่หม่านก็เป็หลี่ลั่วที่เชิญหมอหลวงมาให้ เกิดเป็คนต้องรู้จักดูเหตุการณ์
“พูดเื่นี้ขึ้นมาแล้ว วันนี้ข้ามีเื่จะประกาศ” หลี่ลั่วมองหลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่เหล่าไท่ไท่ “เหล่าไท่ไท่สุขภาพเป็เช่นใดบ้าง? หรือว่าจะเชิญท่านหมอมาดูสักครู่ จากนั้นพวกเรากินข้าวกันเสร็จแล้วค่อยคุยกัน?”
“ไม่ต้อง” หลี่เหล่าไท่ไท่โบกไม้โบกมือ “กินข้าวเถิด ท่านหมอเคยบอกแล้วว่าโรคของข้านั้นหากไม่โมโหก็ไม่เป็ไร” คำพูดประโยคนี้ของนางเจตนาจะตำหนิว่าทุกคนไม่กตัญญู
แต่ว่า ไม่มีใครตอบรับนาง นางจึงถลึงตาใส่ภรรยาหลี่ฮ่าวครั้งหนึ่ง ภรรยาหลี่ฮ่าวจึงรีบเข้ามาประคองนางแล้วพูดว่า “เป็พวกเด็กๆ ที่ไม่กตัญญู มักจะทำให้เหล่าไท่ไท่โมโห”
เช่นนี้หลี่เหล่าไท่ไท่จึงมีบันไดให้เดินลงมาแล้ว คนทั้งหมดจึงไปกินข้าวกันที่ห้องอาหาร
เรือนใหญ่สกุลหลี่มีหลี่ฮุยสามีภรรยา และหลี่หม่าน
เรือนที่สองสกุลหลี่ มีหลี่หยางซื่อ หลี่ลั่ว หลี่หง และหลี่หลิน
เรือนที่สามสกุลหลี่ มีภรรยาหลี่ฮ่าว หลี่อวิ๋น หลี่รุ่น และหลี่โหยว
หลี่ฉือและหลี่โจวนั้นแม้ผลการสอบระดับมณฑลจะยังไม่ประกาศออกมา แต่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนนั้นยังให้เข้าเรียนตามปกติ หลี่เฉาเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนของสกุลหลี่ ดังนั้นยามปกติจึงอยู่แต่ในเรือน นอกจากหลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่ฮุย ก็มีคนเพียงเท่านี้
เนื่องจากมีหยวนเฉิงอยู่ด้วย ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงเป็ไปอย่างเงียบเชียบ ในระหว่างนั้นภรรยาหลี่ฮุยกลับขวัญกล้าเป็ฝ่ายเริ่มพูดคุยกับหลี่หยางซื่อขึ้นมา “น้องสะใภ้รอง งานมงคลของหงเกอเอ๋อร์และิเจี๋ยเอ๋อร์คือเดือนสิบสอง สินสอดได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
ยังมีเวลาอีกสามเดือน สินสอดของหลี่หงนั้นแม้หลี่หยางซื่อจะได้เตรียมการณ์เอาไว้ในใจแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ หลี่หงเป็บุตรชายคนโตของจวนโหว ทั้งยังเป็บุตรที่ถือกำเนิดมาจากภรรยาเอก หากว่ากันตามกฎเกณฑ์ของตำแหน่งซื่อจื่อเมื่อก่อนแล้ว เงินสินสอดจำนวนสามหมื่นตำลึงนั้นจะขาดไปไม่ได้ แต่ที่ยังทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจคือตอนนี้หลี่หงไม่ได้เป็ซื่อจื่อแล้ว แต่เป็บุตรชายคนโตของภรรยาเอกที่ขาพิการ หลี่หยางซื่อย่อมไม่อยากทำให้บุตรชายของตนรู้สึกลำบากใจ แต่หากจะให้เงินสินสอดจำนวนสามหมื่นตำลึงไป ย่อมต้องตกเป็ขี้ปากผู้อื่นเป็แน่
“พี่สะใภ้ใหญ่มีประสบการณ์มาก่อน พี่สะใภ้ใหญ่คิดว่าให้สินสอดสักเท่าใดจึงจะเหมาะสมดีเล่าเ้าคะ?” หลี่หยางซื่อถาม
“เมื่อก่อนสินสอดของเวินเกอเอ๋อร์ เงินกองกลางเป็ผู้ออก ยามนั้นท่านแม่ได้เตรียมเงินสินสอดไว้ให้หกพันหกร้อยตำลึง” หกพันหกร้อย เพื่อให้ราบๆ รื่นๆ [1] แม้กองกลางจะได้เตรียมเงินไว้หกพันหกร้อยตำลึง แต่ฐานะทางบ้านของภรรยาหลี่เวินนั้นสู้ิเจี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้ อีกทั้งหลี่ฮุยยังรั้งขุนนางขั้นสี่ ทุกเดือนมีเงินเดือนห้าสิบตำลึง ปีหนึ่งเป็เงินหกร้อยตำลึง ทว่าเงินนั้นทั้งหมดนั้นก็ได้มอบให้กับกองกลาง ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ราชสำนักยังให้ที่นาอีกเจ็ดร้อยหมู่ ตามสภาพการณ์ที่หลี่ฮุยยังไม่ได้แยกเรือนออกไปแล้ว ถึงโฉนดที่นาทั้งเจ็ดร้อยหมู่จะอยู่ในมือของหลี่ฮุย แต่ทว่ารายได้ที่ได้จากการปล่อยเช่านั้นก็ยังคงต้องเข้ากองกลางอยู่ดี ที่นาที่ราชสำนักให้นั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดีนัก ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นที่นาเจ็ดร้อยหมู่นี้จึงมีรายได้ค่าเช่าปีหนึ่งที่ประมาณสามร้อยตำลึงเท่านั้น
เมื่อเป็เช่นนี้ เงินที่หลี่ฮุยมอบให้กับกองกลางจึงมีราว ๆ หนึ่งพันตำลึงต่อปี
เมื่อดูครอบครัวหลี่ฮุยแล้ว หลี่เวินไปเป็ขุนนางต่างเมือง กองกลางจึงไม่ออกเงิน จวนสกุลหลี่เสื้อผ้าอาภรณ์ของญาติฝ่ายหญิงหนึ่งปีมีสี่ฤดูกาล เครื่องประดับต่างๆ รวมอยู่ด้วยกัน ปีหนึ่งก็ตกเป็เงินสองร้อยตำลึง ส่วนญาติฝ่ายชายไม่ต้องใช้เครื่องประดับ ค่าใช้จ่ายจึงน้อยลงมาเล็กน้อย ปีหนึ่งใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ค่าใช้จ่ายของเรือนที่สองมีอยู่ทั้งหมดราวๆ เจ็ดร้อยตำลึง เช่นนั้นเงินที่หลี่ฮุยมอบให้กองกลางนั้นจึงยังมีเหลืออีกสามร้อยตำลึง
แม้ว่าการที่บุตรชายของขุนนางขั้นสี่จะแต่งภรรยาด้วยเงินสินสอดจำนวนหกพันหกร้อยตำลึงนั้นจะยังนับได้ว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง แต่ในความเป็จริงแล้วหกพันหกร้อยนั่นก็เป็แค่ตัวเลขสวยงามเท่านั้น เงินที่นำออกไปจริงๆ นั้นไม่ถึง ยกอย่างเช่นภาพวาดที่ไร้ประโยชน์อันใด ซึ่งหากตีราคาตามท้องตลาดแล้วละก็...
“เวินเกอเอ๋อร์และหงเกอเอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน” หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ชอบพฤติกรรมของภรรยาหลี่ฮุย ดังนั้นคำพูดคำจาของนางจึงถากถางเยาะเย้ยทั้งกลางแจ้งและในที่ลับ “แม้เวินเกอเอ๋อร์จะเป็ตี๋จั๋งจื่อของเรือนใหญ่ แต่เรือนใหญ่นั้นถือกำเนิดเป็ซู่จื่อ ส่วนหงเกอเอ๋อร์นั้นเป็ตี๋จั๋งจื่อของจวนโหว”
สีหน้าของหลี่ฮุยประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวกับคำพูดของเหล่าไท่ไท่นั้นไม่ได้เอ่ยถึงเขา
เพราะหากจะให้นับขึ้นไปแล้ว หลี่เหล่าไท่เหฺยเองก็ถือกำเนิดเป็บุตรอนุเช่นกัน บางทีอาจจะเป็เพราะว่าหลี่เหล่าไท่ไท่้าพูดให้หลี่เหล่าไท่เหฺยฟัง แต่ในฐานะที่เป็บุตรอนุในยามนั้น ทรัพย์สมบัติของหลี่เหล่าไท่เหฺยยังนับว่ามีมากกว่าบุตรอนุทั่วๆ ไปเสียอีก
เงินสองพันตำลึง ที่นาหนึ่งร้อยหมู่ ร้านค้าสองแห่ง เรือนเข้าออกสามห้องหนึ่งเรือน จงกั๋วกงฮูหยินในครั้งนั้นช่างใจกว้างยิ่งนัก ยังไม่รวมเมื่อเขาแต่งงาน กองกลางยังออกค่าสินสอดให้อีกด้วย
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ สินสอดของพี่ใหญ่ก็ให้จัดการตามฐานะของตี๋จั๋งจื่อแห่งจวนโหวเถิด” หลี่ลั่วออกเสียง
“หา?” คนทั้งหมดมองหลี่ลั่ว
หลี่เหล่าไท่ไท่พูดยิ้มๆ “ลั่วเกอเอ๋อร์ของพวกเราอายุยังน้อย ยังไม่ได้แต่งงาน คงยังไม่รู้ว่าแต่งงานจำเป็ต้องใช้เงินเท่าใด หากหงเกอเอ๋อร์แต่งงานตามฐานะของตี๋จั๋งจื่อจวนโหว ต่อไปเ้าและหลินเจี่ยเอ๋อร์ย่อมน้อยกว่านี้ไม่ได้”
“หากจะจัดตามฐานะของตี๋จั๋งจื่อจวนโหว เงินกองกลางของจวนโหวพวกเราไม่ได้มีมากขนาดนั้น” หลี่หยางซื่อกล่าว
“ตี๋จั๋งจื่อจวนโหวต้องใช้เงินเท่าไหร่เป็สินสอดหรือ?” หลี่ลั่วถาม
“ครั้งนั้นยามที่ซื่อจื่อของพวกเราจวนชิ่งป๋อแต่งภรรยา ได้เตรียมเงินสินสอดไว้เป็จำนวนสองหมื่นตำลึง แม้หงเกอเอ๋อร์จะไม่ได้เป็ซื่อจื่อ แต่หน้าตาของจวนโหวนั้นใหญ่กว่าจวนป๋อยิ่งนัก หากเป็บุตรชายคนโตในสมรสแล้วจะต้องมีไม่น้อยกว่าสองหมื่นตำลึง” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว คำพูดของนางนั้นเป็ความจริง
แต่หลี่หยางซื่อไม่อยากนำเงินออกมามากเช่นนี้ เพราะนางยังต้องคิดถึงหลี่หลินอีก
เมื่อเห็นว่าหลี่หยางซื่อเงียบงันเอ่ยอันใดไม่ออก หลี่เหล่าไท่ไท่ก็สุขใจยิ่งนัก จวนโหวเพิ่งจะมีเงินเมื่อหลี่ซวี่ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์โหว หลี่ซวี่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวได้ไม่ถึงหกปี ตายไปสี่ปี แม้นางจะไม่รู้ว่าจวนโหวมีเงินเท่าใด แต่ก็ไม่มีทางมีเงินมากมายอะไรนัก จะว่าไปแล้วหลี่หงกำลังจะแต่งภรรยาเช่นนี้ หากแต่จวนสกุลหลี่นั้นยังเตรียมเงินกองกลางไม่พร้อมเลย
“มารดา จวนโหวของพวกเรามีเงินกองกลางจำนวนเท่าใดหรือ?” หลี่ลั่วถาม ถามต่อหน้าทุกๆ คน ไม่รู้ว่าไฉนเขาจึงถามเช่นนี้
“เมื่อท่านพ่อของเ้าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหวนั้น ฝ่าาทรงพระราชทานที่นา[2]ให้จำนวนหนึ่งพันหมู่ และเงินอีกห้าพันตำลึง” เงินห้าพันตำลึงนั้นฝ่าาให้หลังจากที่พวกเขาย้ายเข้าจวนโหวแล้ว เป็หลี่ซวี่ที่ปรึกษากับฝ่าา เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้หลี่เหล่าไท่ไท่เกิดความคิดแตะต้องเงินจำนวนนี้ “และยังมีไข่มุกอีกจำนวนเล็กน้อยกับกระบี่อีกเล่มหนึ่ง”
ที่จริงสิ่งของพระราชทานนั้นไม่ได้มีมากมายอะไรเลย
“บิดาของเ้ารั้งตำแหน่งแม่ทัพขั้นหนึ่ง ฝ่าาจึงยังพระราชทานที่นาให้อีกหนึ่งพันสองร้อยหมู่ เงินเดือนหนึ่งพันตำลึง” หลี่หยางซื่อกล่าว “ที่นาพระราชทานนั้นดูแลด้วยตนเอง สองปีมานี้รายได้เสมอตัว ที่นาอีกหนึ่งพันสองร้อยหมู่ปล่อยเช่าออกไป ปีหนึ่งมีรายได้หนึ่งพันตำลึง เมื่อรวมกับเงินกองกลางทั้งหมดแล้วจะรวบรวมได้เพียงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง” ที่หลี่หยางซื่อกล่าวนั้นเป็ความสัตย์จริง ตัวนางเองเป็คนมัธยัสถ์ เงินเดือนสองปีก่อนของหลี่ซวี่นั้นเพียงพอค่าใช้จ่ายของจวนโหวแล้ว ดังนั้นเงินที่ฝ่าาพระราชทาน รายได้จากการปล่อยเช่าที่นา นางล้วนแต่เก็บออมขึ้นมา
ครอบครัวของนางยากจน เมื่อยามที่แต่งเข้ามานั้น สิ่งที่ดูดีที่สุดก็คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนั้นยังเป็มารดาผู้ให้กำเนิดนางที่กัดฟันซื้อมา ส่วนอย่างอื่นนั้น เป็หลี่ซวี่ที่ยัดเยียดซื้อให้นางก่อนแต่งเข้ามา
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของหลี่หยางซื่อก็ให้รู้สึกหวานล้ำแฝงด้วยความปวดใจอยู่บ้าง ผู้ชายที่นางหวังจะพึ่งพิงไปตลอดชีวิตได้ตายไปแล้ว
แน่นอนว่านอกจากเงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงแล้ว หลี่หยางซื่อยังมีทรัพย์สินส่วนตัวอีก แต่ก็เป็เงินจำนวนไม่เกินสองพันตำลึงเท่านั้น ซ้ำยังเก็บออมมาเป็เวลาหลายปี
ในครั้งนั้นเมื่อยามที่มีหลี่ซวี่อยู่นางยังพอทำได้ แต่หากให้นางไปดูแลจัดการการค้านางทำได้ไม่ค่อยดีนัก
“มารดายกที่นาพระราชทานให้ข้าเถิด” หลี่ลั่วกล่าว ที่นาพระราชทานหนึ่งพันหมู่ เขากำลังกังวลว่าตนเองไม่มีที่นาอยู่เชียว “ข้าจะให้เงินมารดาห้าพันตำลึง สินสอดของพี่ใหญ่ก็มีสิ่งของที่ครบตามจำนวนสองหมื่นตำลึง”
สินสอดสองหมื่นตำลึง ไม่ใช่เงินจำนวนสองหมื่นตำลึง แต่เป็สินสอดทั้งหมดรวมกันมีมูลค่าสองหมื่นตำลึง
“ลั่วเกอเอ๋อร์?” หลี่หยางซื่อตกตะลึง
อย่าว่าแต่หลี่หยางซื่อ แม้กระทั่งคนอื่นๆ ต่างก็พากันตกตะลึง น้องชายเตรียมสินสอดให้พี่ชายห้าพันตำลึง ช่างมือเติบจริงๆ และน้องชายคนนี้ยังมีอายุเพียงห้าขวบอีกด้วย
“ลั่วเกอเอ๋อร์ของพวกเรายังเป็เทพเ้าแห่งโชคลาภอีกด้วย” คำพูดของหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกถูกเหน็บแนม “ยื่นมือออกมาครั้งหนึ่งให้ห้าพันตำลึง พี่ชายแต่งงานน้องชายออกเงินมีเื่เช่นนี้ที่ไหนกันเล่า?”
“ไม่เป็ไรขอรับ ต่อสู้กับเสือต้องพี่น้องร่วมมือกัน ออกสนามรบต้องรบเสมือนพ่อกับลูก เรือนที่สองมีเพียงพวกเราสองพี่น้อง ย่อมต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” คำพูดของหลี่ลั่วนี้ตั้งใจพูดให้ทุกคนฟัง
หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่มีความสุข แต่ก็มิได้แสดงออกทางสีหน้าอันใด “หลินเจี่ยเอ๋อร์เล่า อายุสิบหกปีแล้ว เป็เพราะภรรยาเ้ารองช่างเลือกมากเกินไปหรือไม่ เป็เช่นนี้ต่อไปจะกลายเป็สาวเทื้อแล้ว”
หลี่หลินหน้าซีดขาว ด้วยนางอายุสิบหกปีแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งออกไป จึงถูกผู้อื่นนินทา คำพูดของหลี่เหล่าไท่ไท่ดูเหมือนจะเอาใจใส่ แต่ความจริงแล้วนางเจตนา ในใจของทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งดี
[1] เลขหกของคนจีนถือเป็เลขมงคล มีความหมายว่า ชีวิตมีความสุข การงานราบรื่น
[2] ที่นาพระราชทาน (功勋田) หรือ ที่นากงซวิน คือที่นาที่พระราชทานให้กับขุนนางที่มีความดีความชอบต่อแผ่นดิน สร้างคุณูปการให้แก่แผ่นดิน ในอีกทางหนึ่งยังเป็ที่นาซึ่งเป็การให้สามัญชนมาชำระภาษีด้วยการใช้แรงงานทำนาให้กับเ้านาย แล้วจากนั้นเ้านายจึงจะจ่ายภาษีให้กับทางราชสำนักในรูปแบบของกำลังทหารรวมไปถึงเครื่องราชบรรณาการต่างๆ อีกทอดหนึ่ง