หลังจากที่หานรุ่ยฟื้นตัวจากการาเ็ อุปนิสัยโดยรวมก็แปรเปลี่ยนไป จากจิตใจเหงาหงอยเศร้าซึม กลายเป็กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา เมื่อจุนห่าวมองดูหานรุ่ยที่เป็แบบนี้ ก็อยากจะเก็บซ่อนหานรุ่ยเอาไว้ เพราะจุนห่าวรู้ว่า การที่หานรุ่ยฟื้นตัวจากอาการาเ็ หานรุ่ยจะยิ่งเจิดจ้ามากขึ้น และเพื่อให้คู่ควรกับหานรุ่ยที่เจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะต้องตั้งใจฝึกพลังปราณ รากิญญาของหานรุ่ย คือ รากิญญาอัคคีคู่อัสนี แต่เขากลับเป็แค่รากิญญาห้าธาตุพื้นฐาน ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ธรรมดา ๆ พร์ของเขาไม่ดีเท่าหานรุ่ย จึงยิ่งต้องเพียรพยายาม หลาย ๆ คนต่างกล่าวกันว่า นกโง่ต้องเริ่มบินก่อน มิเช่นนั้นไม่นานเขาอาจถูกหานรุ่ยทิ้งได้
เริ่มแรกเขารู้สึกว่าจะบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่ หาได้สำคัญไม่ แต่ยามนี้เขากลับมีเมียที่มีพร์ในการบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ได้อยู่กับเมียตลอดไป เขาจึงจำเป็ที่จะต้องฝึกบำเพ็ญเพียรบ้างเสียแล้ว มิเช่นนั้นเขาคงเป็คนด้อยค่าไปชั่วชีวิต เมียของเขานั้นมากความสามารถอย่างหาที่เปรียบมิได้ ถึงตอนนั้นเมียอาจจะกลายเป็ของคนอื่น แค่นึกถึงว่า เมียจะกลายเป็ของคนอื่น เขารู้สึกแย่ไปหมด ดังนั้น เขาจึงต้องเพียรพยายาม เพื่อไม่ให้ภาพที่จินตนาการไว้กลายเป็จริง
หานรุ่ยเห็นจุนห่าวที่ยืนด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้า จึงเอ่ยถามอย่างห่วงใยว่า “จุนห่าว เ้าเป็อะไรไป เหตุใดสีหน้าถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ เ้าไม่สบายหรือเปล่า”
หลังได้ฟังหานรุ่ยกล่าว จุนห่าวจึงปรับอารมณ์ของตัวเองและตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ากำลังคิดว่า... ตอนนี้เ้าเป็ผู้มีพร์ในการบำเพ็ญเพียร แต่ข้ายังเป็เพียงเศษสวะ เ้าจะทอดทิ้งข้าไปไหม!”
หานรุ่ย: ไม่มีทาง ที่อาการาเ็ของข้าฟื้นตัวได้ก็เพราะเ้า ทีเ้ายังไม่ทอดทิ้งเศษสวะอย่างข้า แล้วข้าจะทอดทิ้งเ้าได้อย่างไร อีกอย่างในสายตาของข้า เ้าไม่ใช่เศษสวะ ข้าเชื่อว่า... สักวันเ้าจะทำให้คนทั้งแผ่นดินใและเลื่อนขั้นได้เร็วพรวดพราด ในสายตาของข้า เ้าคือคนที่ดีที่สุด คนเ็าอย่างหานรุ่ย พอมีความรักก็กลายเป็คนอบอุ่นดั่งเปลวไฟ
จุนห่าวกล่าวอย่างประทับใจว่า “ข้าก็รู้ว่าเสี่ยวรุ่ยไม่มีวันทอดทิ้งข้าหรอก เสี่ยวรุ่ยดีกับข้าที่สุดแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็พลันหอมหานรุ่ยไปหนึ่งฟอดและกล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวรุ่ย เ้าช่างน่ารักเสียจริง”
หานรุ่ยที่ถูกจุนห่าวขโมยหอมแก้ม ครู่เดียวก็หน้าแดง พร้อมกับได้ยินคำพูดหยอกเย้าของจุนห่าว ก็ยิ่งทำเอาหน้าแดงไปจนถึงคอและรู้สึกเขินอายอย่างไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร
จุนห่าวมองดูใบหน้าที่แดงก่ำของหานรุ่ย ก็ใจเต้นตึกตัก เขายังอยากหอมอีกสักครั้ง แต่จุนห่าวเข้าใจความจริงที่ว่า หยุดแค่พอหอมปากหอมคอก่อน วันนี้เขากับหานรุ่ยเพิ่งจะแน่ชัดเื่ความสัมพันธ์ เขาต้องให้เวลาหานรุ่ยปรับตัว ภรรยาก็มีแล้ว แต่ยังต้องมาห่างไกลจากการกินเนื้ออีกหรือ อดทนเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ก็จะได้กินมื้อใหญ่ในทุก ๆ วันแล้ว สิ่งที่เขาขาดตกบกพร่องน้อยที่สุดก็คือ ความอดทน เวลานิดหน่อยยังไงเขาก็รอได้
หานรุ่ยยังไม่รู้ตัวว่า เขากำลังจะถูกหมาป่าผู้หิวโหยมากว่า 32 ปีเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เด็กผู้ไร้เดียงสาในยุคโบราณจะมาเป็คู่ต่อสู้ของทหารผู้ผ่านศึกมานานกว่าสิบปีได้อย่างไร
เพื่อไม่ให้หานรุ่ยเขินอายไปมากกว่านี้ จุนห่าวจึงเปลี่ยนเื่ “เสี่ยวรุ่ย เ้าบอกว่ามีสิ่งที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญเพียรใช่ไหม รากิญญาห้าธาตุของข้า บำเพ็ญเพียรได้ช้าเหลือเกิน ร่างเดิมต้องฝึกเป็สิบปี กว่าจะถึงพลังปราณขั้นที่หนึ่ง แม้ว่าข้าจะขยันและจิตใจแน่วแน่กว่าร่างเดิม แต่ก็ถูกจำกัดด้วยคุณสมบัติ เกรงว่าต่อให้ขยันและจิตใจแน่วแน่แค่ไหน อย่างไรก็คงจะไม่เป็ผล”
“กินยา... รากิญญาซับซ้อนอย่างเ้า ทำได้เพียงแค่กินยา ถ้ากินยาวิเศษมากพอ ถึงจะเปลี่ยนให้เ้ากลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่ทว่าเ้ายากจนเพียงนี้ ถ้ากินยา เ้าก็กินได้ไม่เท่าไหร่หรอก” เสี่ยวไป๋พูดแทรกขึ้นมา มันทำตัวเหมือนตัวเองเป็คนสำคัญอยู่ตลอดเวลา
“ที่เสี่ยวไป๋กล่าวนั้นก็เป็อีกหนึ่งวิธี ยาวิเศษช่วยเพิ่มพลังปราณได้ก็จริง แต่ถ้าหากกินยาเยอะเกินไป ก็อาจเสพติดยาได้ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญ คือ นักปรุงยามีน้อยเหลือเกิน เพราะเหตุนี้ยาวิเศษจึงมีค่าอย่างมาก ไม่ใช่ของที่คนธรรมดาจะได้มาโดยง่าย ยาวิเศษนั้นล้ำค่าสุดที่จะประเมินค่าได้ นั่นคือถึงจะมีเงิน ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ เป็ของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนัก” หานรุ่ยกล่าว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตระกูลหาน เขาใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่ายาวิเศษจะถูกแบ่งมาสักเม็ด เห็นได้ชัดว่ายาวิเศษมีค่าเพียงใด
“ฝึกปรุงเองก็จบเื่ละ ข้าจะเป็นักปรุงยา อยากจะกินยาอะไรก็ปรุงยานั้น อยากกินเท่าไหร่ก็กินได้” จุนห่าวกล่าวอย่างคุยโวโอ้อวด จุนห่าวนึกในใจ หากตนเองกลายเป็นักปรุงยา ปัญหาก็จะคลี่คลายได้มิใช่หรือ? จุนห่าวแข็งกร้าวจนชินเสียแล้ว ถ้าต้องให้เขาไปประจบสอพลอนักปรุงยา เพื่อที่จะขอยาล่ะก็ เขาจะไม่ยอมลดตัวลงเด็ดขาด เพื่อไม่ต้องไปประจบสอพลอผู้อื่น มีแต่ตนเองจะต้องเป็นักปรุงยาให้ได้เท่านั้นและให้ผู้อื่นมาประจบสอพลอ อ้อนวอนเขาแทน
“เ้าคิดว่าการเป็นักปรุงยาง่ายอย่างนั้นเลยรึ ถ้าใครอยากจะเป็ก็เป็ได้ หากเป็เช่นนั้น เวลานี้คงมีนักปรุงยาเต็มถนนหนทางไปหมดแล้ว แม้กระทั่งในแดนเซียน นักปรุงยาก็มีน้อยยิ่งนัก หากเ้าอยากเป็นักปรุงยาจริง ๆ ไม่เพียงแค่เ้าจะไม่ขาดแคลนยาแล้ว เ้าจะยังได้รับทั้งลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง ฐานะ หญิงงาม ใช่แล้ว เ้าชอบผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นก็หนุ่มรูปงาม เ้าจะได้มันทุกอย่างเลย” เสี่ยวไป๋แทรกขึ้น “คนบ้านนอกอย่างเ้า เป็นักปรุงยาไม่ได้หรอก เ้าอย่าฝันกลางวันไปเลย อยู่ในโลกแห่งความจริงเถอะ”
จุนห่าว: ข้าจะอยากได้หนุ่มรูปงามไปทำไมกัน ข้ามีเมียแล้ว ข้าซื่อสัตย์ต่อเมียข้าคนเดียว เมียข้าไม่เป็สองรองใคร ข้าเป็ชายที่ดีที่รักเดียวใจเดียว ชาตินี้ข้าจะมีแต่เสี่ยวรุ่ยคนเดียว
เสี่ยวไป๋: ข้ารู้ว่าเ้ามีเมียแล้ว ไม่ต้องแขวนคำนี้ไว้ข้างปากเ้าตลอดเวลาหรอกน่า
จุนห่าว: เ้ารู้ก็ดีแล้ว เ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่า ข้ามีเมียแล้ว หากมีใครหมายปองข้า เ้าต้องช่วยข้าไล่พวกเขาไป
หานรุ่ย: ...... พูดจนเขารู้สึกอาย ว่าแต่ว่าสองคนนี้ออกนอกประเด็นเร็วเสียจริง
เสี่ยวไป๋พูดอย่างคล้อยตามว่า “รู้... รู้ ข้ารู้แล้วน่าว่า เ้าซื่อสัตย์ต่อเมียเ้าขนาดไหน หานรุ่ยแต่ผู้เดียว ถ้ามีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เ้าแน่”
จุนห่าวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นขอเข้าเื่ละกัน งั้นทำยังไงข้าถึงจะกลายเป็นักปรุงยาได้?” จุนห่าวรู้สึกว่านักปรุงยาเป็อาชีพที่ดี ไม่เพียงแค่ช่วยเื่การบำเพ็ญเพียรเท่านั้น แต่ยังทำเงินได้เร็ว ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว เขาจะต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว
เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้น “คนที่มีรากิญญาแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะเป็นักปรุงยาได้ พอดีเลย ข้าเจอหินทดสอบิญญาในห้องปรุงยา เ้าลองดูไหม” เสี่ยวไป๋พูดพลางหยิบหินทดสอบิญญาออกมาและรอคอยคำตอบของจุนห่าว
จุนห่าว: ทดสอบอย่างไร?
เสี่ยวไป๋: เหมือนกับการทดสอบรากิญญา แค่เ้าวางมือลงบนหินทดสอบิญญาเท่านั้น หากบนหินทดสอบิญญาปรากฏแสงสีขาวขึ้น ก็หมายความว่าเ้ามีพร์ แต่ถ้าหากไม่มีปฏิกิริยาก็คือไม่มี หินทดสอบิญญานี้เป็หินดีที่สุดและยังทดสอบพลังิญญาของเ้าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
เมื่อเสี่ยวไป๋พูดจบ จุนห่าวจึงวางมือลงบนหินทดสอบิญญา พลันก็ปรากฏแสงสีขาวบนหินทดสอบิญญา และแสงสีขาวนั้นก็เลื่อนขึ้นมาไม่หยุด ระดับหนึ่งไปยังระดับสอง สุดท้ายก็พุ่งทยานไปจนถึงระดับเก้าจนความเร็วถึงจะลดลง แต่แสงสีขาวกลับไม่หยุดนิ่งและยังคงไต่ขึ้นอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็ไต่ไปจนถึงระดับสิบ จึงค่อย ๆ หยุดตรงกลางระดับสิบ
หลังเห็นผลการทดสอบของจุนห่าวแล้ว ทำเอาเสี่ยวไป๋นิ่งอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่า ระดับิญญาของจุนห่าวจะอยู่สูงขนาดนี้ ิญญาขั้นสิบในแดนเซียนก็คืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
“เป็ไง ข้าจะเป็นักปรุงยาได้ไหม? ข้าเห็นว่าหินทดสอบิญญาปรากฏแสงสีขาว ทั้งยังพุ่งทยานไปสูงขนาดนั้นด้วย” จุนห่าวเอ่ยถาม
“ฝึกปรุงยาได้ จากนี้ไปขยันหน่อยละกัน” เสี่ยวไป๋กล่าว “พอเ้ากลายเป็นักปรุงยา เ้าอยากได้อะไรก็ย่อมได้และจะเปลี่ยนจากคนยากจนเป็คนร่ำรวยได้ด้วย
เมื่อได้ยินว่าตนเองสามารถฝึกปรุงยาได้ จุนห่าวจึงพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย ั้แ่นี้ไป ถ้าเ้าอยากได้ยาวิเศษอะไรก็บอกข้านะ หากเ้า้ายาอะไร ข้าก็จะปรุงยานั้นให้แก่เ้า จากนี้ไปพวกเราจะไม่ขาดยาวิเศษแล้ว"
หานรุ่ยดีใจกับจุนห่าวเช่นกัน พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็รู้ว่าเ้าเป็นักปรุงยาได้แน่” จากนั้นก็กล่าวกับเสี่ยวไป๋ว่า “เสี่ยวไป๋ ขีดระดับนั้นหมายความอย่างไร ข้าเห็นแสงสีขาวทยานไปเหนือระดับสิบ” หานรุ่ยสังเกตอย่างละเอียด เขาคิดว่าขีดระดับนั้น จะต้องมีความสำคัญเป็แน่
เสี่ยวไป๋: ขีดระดับนั้นแสดงถึงระดับขั้น ระดับขั้นยิ่งสูง พลังิญญาจะยิ่งแข็งแกร่ง พลังิญญาของจุนห่าวอยู่ที่ระดับสิบ มันไม่ได้อยากพูด มันไม่ยอมรับว่ามันอิจฉาจุนห่าว เพียงแต่หานรุ่ยสังเกตอย่างละเอียดเหลือเกิน จะไม่พูดก็คงไม่ได้
หานรุ่ย: ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า พร์ด้านการปรุงยาของจุนห่าวดีเลิศอย่างนั้นหรือ
เสี่ยวไป๋: ถูกต้อง ถ้าอยู่ในแดนเซียน ก็ถือว่าเป็อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
จุนห่าว: ...... นึกไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวไป๋จะปกปิดเื่สำคัญเช่นนั้น จุนห่าวฉุกคิด เสี่ยวไป๋จะต้องอิจฉาเขาเป็แน่
หากเสี่ยวไป๋ล่วงรู้ว่า ความคิดของจุนห่าวก็คงจะพูดว่า ข้าจะอิจฉา คนบ้านนอกอย่างเ้าได้อย่างไร ถึงจะมีพร์ในการปรุงยา ก็ใช่ว่าจะปรุงยาได้สักหน่อย