ตอนแรกคิดว่าจะเริ่มจากจุดเล็กๆ เพื่อที่จะได้สิ่งที่ใหญ่กว่าและก็เป็การพลิกวิกฤตให้กลายเป็โอกาสอย่างสวยงามทำให้เื่ร้ายกลายเป็เื่ดี แต่คาดไม่ถึงว่าเื่ร้ายนั้นกลับดูร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีกตอนนี้เขาต้องขายขี้หน้าไปถึงโคตรเหง้าแล้วล่ะ
“เฉียนโจว กลับมา!”
เฉินเฟยพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกไปทางด้านนอกของงาน
หลี่เฉียนโจวมองจวงเมิ่งเตี๋ยด้วยสายตาเกรี้ยวกราดดวงตาของเขามีแต่ความอาฆาต ขณะที่เขาหมุนตัวเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสะใจของหลินเยว่ ดวงตาเกรี้ยวกราดของเขาก็กลายเป็ความโกรธจัดเดิมทีเขาคิดจะบุกเข้าไปหาหลินเยว่ แต่เป็เพราะในมือของเขายังมีหยกมูลค่า9 ล้านหยวนอยู่เขาจึงต้องหยุดร่างกายของตัวเอง แล้วถลึงตาใส่หลินเยว่หนักๆ อย่างจำใจ
ความหมายที่สื่อมีความชัดเจนมาก
แกคอยดูเถอะ!
“เฉียนโจว! มัวแต่อึ้งอยู่ทำไม รีบมาสิ!!!”
เฉินเฟยเดินไปจนถึงประตูทางออกแต่เขาพบว่าลูกศิษย์ของตนยังคงยืนอยู่ด้านในไม่ได้เดินตามออกมา เขาจึงโกรธจัด แล้วตะคอกใส่หลี่เฉียนโจว
เมื่อหลี่เฉียนโจวได้ยินเสียงตะคอกแล้วเขาจึงสั่นสะท้านไปในทันทีหลังจากนั้นเขาจึงมองหลินเยว่และจวงเมิ่งเตี๋ยอย่างอาฆาต แล้วหมุนตัวเดินจากไปแต่ทว่าก่อนไปเขายังทิ้งประโยคที่แสดงความอาฆาตเอาไว้ประโยคหนึ่ง
“พวกคุณคอยดูเถอะ ความแค้นในวันนี้ฉันจะต้องเอาคืนแน่ๆพวกคุณคอยดูเถอะ!!!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นไปทั่วทั้งงานประมูล ความแค้นลึกๆที่ซ่อนอยู่ในประโยคก็ทำให้ผู้คนภายในงานจำนวนไม่น้อยถึงกับสะท้านตามไปด้วย
ต้องมีความแค้นขนาดไหนถึงต้องพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้!
และมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองหลินเยว่และจวงเมิ่งเตี๋ยด้วยสายตาเห็นใจมีคนแบบนี้เป็ศัตรูไม่รู้ว่าเป็ความโชคดีหรือว่าความโชคร้ายกันแน่
แต่ดูเหมือนว่าจวงเมิ่งเตี๋ยจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำพูดที่เต็มไปด้วยความแค้นของหลี่เฉียนโจวเพราะเมื่อเธอได้ยินประโยคนี้แล้ว สายตาเธอกลับเต็มไปด้วยความดูถูกยิ่งกว่าเดิม
ส่วนหลินเยว่ก็ทำเพียงยิ้มน้อยๆ
แค้นกันเอาเป็เอาตายมาตั้งนานแล้วจะต้องเปลืองน้ำลายแบบนี้อีกทำไมล่ะ!
หลี่เฉียนโจวและเฉินเฟยอาจารย์ของเขาจึงออกจากงานไปพร้อมกับหยกหงส์ัมูลค่า9 ล้านหยวนคู่นั้นพวกเขาไม่ได้ร่วมงานประมูลต่อ แต่ทิ้งไว้เพียงละครฉากใหญ่ 2 ฉากให้เป็ความทรงจำกับผู้ร่วมงานทั้งหมด
เพียงไม่นาน เวลาครึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไปคนที่เดินออกไปเมื่อสักครู่ก็กลับเข้ามาในงานอีกครั้งเพียงแต่ว่ามีคนจำนวนมากที่ออกไปแล้วก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกและก็มีคนจำนวนมากที่เพิ่งเข้ามาในงานตอนนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ต่างรู้ล่วงหน้าว่าสินค้าที่จะนำมาประมูลมีอะไรบ้างพวกเขาจึงเตรียมประมูลแต่ของที่ตนเองสนใจเท่านั้น เมื่อประมูลเสร็จก็กลับไปไม่ได้คิดจะอยู่ในงานต่อ
เมื่อกลับเข้ามานั่งอยู่ที่เดิมจวงตงเฟิงจึงพูดกับหลานสาวของตนเองพร้อมหัวเราะ “ปู่บอกว่าแล้วหยกหงส์ัคู่นั้นอาจจะกลับมาอยู่ในมือของหลานแต่หลานไม่รับเอง ไม่ใช่ว่าปู่พูดผิดไป”
จวงเมิ่งเตี๋ยกำลังอารมณ์ไม่ดี เธอจึงส่งเสียงหึในลำคอแล้วพูดตอบ“ถึงหนูตายหนูก็ไม่มีทางรับของจากคนแบบนั้นหรอกแต่ก็รู้สึกเสียดายหยกหงส์ัคู่นั้นจริงๆ”
ขณะที่พูด สายตาของจวงเมิ่งเตี๋ยก็มีประกายความเสียใจสะท้อนออกมา
“นิสัยของหลานแข็งเกินไปแล้ว การที่จะรับของขวัญสักชิ้นจากคนอื่นก็ไม่ได้ถือว่าเป็เื่ใหญ่อะไรอย่างมากหลานก็ไม่ต้องตอบรับเขาก็พอแล้ว” จวงตงเฟิงพูดแนะนำหลานสาวของตน
“รับมาก็รู้สึกแย่ ถ้าอย่างนั้นไม่รับเลยยังจะดีเสียกว่า!”
น้ำเสียงของจวงเมิ่งเตี๋ยมีแต่ความหนักแน่นเด็ดขาดดูเหมือนว่าไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของเธอได้เลย
จวงตงเฟิงก็รู้จักนิสัยของหลานสาวตัวเองดีเขาจึงได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อไม่มีเฉินเฟยและหลี่เฉียนโจวลูกศิษย์อาจารย์คู่นั้นแล้วหลินเยว่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศของงานประมูลดูดีขึ้นไม่น้อยในขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
ผู้ดำเนินการประมูลเดินขึ้นมาบนโพเดียมอย่างรวดเร็วและประกาศว่าการประมูลได้เริ่มต้นอีกครั้ง
สินค้าสำหรับการประมูลชิ้นที่ 7 คือพระพุทธรูปทองแดงชุบทองในสมัยรัชศกหงอู่แห่งราชวงศ์ิ
“......การประมูลเริ่มขึ้น!”
สิ่งที่เกิดขึ้นตามเสียงของผู้ดำเนินการประมูลที่เงียบไปคือการเริ่มเสนอราคาของคนอื่นๆ
“2 แสน!”
“3 แสน!”
……
สุดท้ายแล้วพระพุทธรูปทองแดงชุบทองถูกประมูลราคาสุดท้ายที่1 ล้านหยวนแต่เมื่อมีราคาสูงเสียดฟ้าที่ 9 ล้านหยวนในเหตุการณ์ก่อนหน้าผู้คนจำนวนมากจึงคิดว่าราคาเช่นนี้จึงกลายเป็เื่ธรรมดา หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าราคานี้อาจจะน้อยจนเกินไปด้วยซ้ำ
สินค้าสำหรับการประมูลชิ้นที่ 8 คือ ภาพเขียนไม้ไผ่ของท่านเจิ้งปั่นเฉียว......
หลินเยว่ไม่ค่อยสนใจสินค้าสองชิ้นก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าเครื่องสัมฤทธิ์ ภาพเขียนพู่กันจีนและเครื่องเคลือบจะถูกจัดไว้ในกลุ่มวัตถุโบราณเหมือนกันแต่เขาไม่สนใจของเ่าั้จริงๆ เพราะแค่เครื่องเคลือบเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถทำการศึกษาได้ตลอดชีวิตและไม่มีเวลาที่จะไปศึกษาอย่างอื่นได้อีก
แต่ทว่าเมื่อสินค้าสำหรับการประมูลชิ้นที่ 9ปรากฏขึ้น หลินเยว่ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที
ชิ้นที่ 9 นี้คือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง
รูปแบบของมีดมีความโบราณเรียบง่ายลักษณะภายนอกมีความเรียบง่ายอย่างเห็นได้ชัดแต่ลวดลายที่แกะสลักกลับมีความประณีตมากด้ามจับมีขนาดที่สามารถจับได้ด้วยมือข้างเดียวพอดี เมื่อเปรียบเทียบกับด้ามมีดแล้วตัวมีดอาจจะดูสั้นไปบ้าง แต่ทว่าปลายมีดกลับยาวมาก อีกทั้งยังบางมากอีกด้วยไม่รู้ว่าเป็เพราะการเก็บรักษาหรือว่าถูกฝังไว้ในดินนานจนเกินไปทำให้ตัวมีดมีสนิมขึ้นเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ถูกกัดกร่อนไปทั้งหมดแต่ทว่าก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนคมมีดที่แหลมคมที่สุดและมีความบางที่สุดกลับเป็ส่วนที่ถูกกัดกร่อนไปมากที่สุดแต่ก็ทำให้พอมองภาพออกว่าในตอนนั้นมีดแกะสลักเล่มนี้จะมีความแหลมคมขนาดไหนแต่ทว่าตอนนี้มีดเล่มนี้ไม่สามารถผ่าสิ่งใดๆ ได้อีกแล้ว แต่ทำได้เพียงเป็ของสะสมเพื่อเก็บรักษาไว้เท่านั้น
ถึงแม้ว่ามีดแกะสลักเล่มนี้ไม่สามารถนำมาเทียบกับมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บได้เลยเพราะมีความแตกต่างราวฟ้ากับดิน แต่ทว่ายามที่หลินเยว่เห็นมีดแกะสลักเล่มนี้เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตึกตัก
เขาจะต้องประมูลมีดแกะสลักเล่มนี้ให้ได้!
มีดแกะสลักเล่มนี้ เขาไม่ได้ซื้อมาเพื่อตนเองแต่เขาจะซื้อเพื่ออาจารย์ฉางไท่ของเขา
เขาจำได้เป็อย่างดีทุกครั้งที่ท่านฉางไท่เห็นมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บในมือของเขาท่านจะมองด้วยสายตาชื่นชมแกมอิจฉา สายตานั้นเหมือนกับเป็สายตาที่ใช้มองของรักของหวงของตนที่ปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้
สำหรับช่างแกะสลักแล้วมีดแกะสลักเล่มหนึ่งจะมีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างน่าเหลือเชื่อความหลงใหลนี้มันเป็สิ่งที่คนทั่วๆ ไปไม่มีทางเข้าใจได้เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้ใช้มีดแกะสลักโบราณอีกแล้วแต่ทว่าหากมีไว้สักเล่ม ก็ถือว่าเป็ความสุขอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
มีดแกะสลักโบราณที่หลงเหลือจนถึงปัจจุบันมีน้อยมากส่วนที่สามารถเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์จนถึงตอนนี้เกรงว่าอาจจะมีเพียงมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บที่อยู่ในมือของหลินเยว่เพียงเล่มเดียวคงต้องบอกจริงๆ ว่าหลินเยว่เป็คนที่โชคดีมาก
เพื่ออาจารย์ของเขา เขาต้องมันไว้ให้ได้!
ขอคารวะอาจารย์มานานขนาดนี้แล้วเขายังไม่เคยมอบของสักชิ้นเพื่อแสดงความรู้สึกของตนเองให้กับอาจารย์เลย ดังนั้นเขาจะใช้มีดแกะสลักเล่มนี้เป็ของขวัญก็แล้วกัน
ไม่ว่าจะมีราคาเท่าไร เขาจะต้องซื้อมันมาให้ได้!
หลินเยว่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่สายตาของเขามีความหนักแน่นเด็ดขาดเป็ที่สุด
นับั้แ่มีดแกะสลักปรากฏขึ้นท่านเฮ่อฉางเหอก็ตั้งใจสังเกตสีหน้าท่าทางของหลินเยว่ เมื่อท่านเห็นดวงตาของหลินเยว่เป็ประกายจนสุดท้ายกลายเป็สายตาที่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วท่านจึงเข้าใจได้ทันทีว่าหลินเยว่คิดจะประมูลมีดเล่มนี้
“คุณอยากได้มีดเล่มนี้?คิดจะมอบเป็ของขวัญให้กับตาแก่ฉางใช่ไหมล่ะ ตาแก่คนนั้นจ้องมีดจันทราหนาวเหน็บของคุณด้วยความอิจฉามาตั้งนานแล้ว”
ท่านเฮ่อฉางเหอพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงไปในทันทีสีหน้าของเขาก็ดูอึดอัดไม่ค่อยเป็ธรรมชาติสักเท่าไร คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาก็เป็อาจารย์อีกคนหนึ่งของเขา เขาคิดจะซื้อของขวัญมอบให้กับอาจารย์คนหนึ่งแต่กลับไม่ให้อาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆคนนี้ การกระทำแบบนี้ก็คงจะดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
เมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของหลินเยว่ท่านเฮ่อฉางเหอจึงหัวเราะเหอๆ แล้วพูดขึ้น “คิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาได้เลยคุณอยู่ต่อหน้าอาจารย์ไม่จำเป็จะต้องกังวลอะไร อาจารย์ไม่อิจฉาตาแก่ฉางคนนั้นหรอกในเมื่อคุณซื้อของขวัญให้เขา นั่นก็แสดงว่าคุณเป็คนที่เคารพครูบาอาจารย์ คุณซื้อของขวัญให้เขาได้แล้วไม่คิดจะซื้อของขวัญให้อาจารย์คนนี้หรือ? อาจารย์ไม่อิจฉาเขาเลยสักนิด!”
ถึงพูดออกมาว่าไม่อิจฉาแต่ทว่าในน้ำเสียงนั้นกลับมีความอิจฉาแฝงอยู่ลึกๆ
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของเขาก็ดูลำบากใจมากขึ้น แล้วจึงรีบพูดตอบออกมา “ผมจะต้องซื้อให้อาจารย์อย่างแน่นอนจะต้องซื้อให้อาจารย์แน่ๆ ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ให้ของขวัญอาจารย์เป็หยกหรูอี้ที่เป็หยกจักรพรรดิสักชิ้นก็แล้วกัน”
ท่านเฮ่อฉางเหอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบดูเหมือนเป็การพูดโดยไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร
แต่ทว่า เพียงประโยคนี้ก็ทำให้หลินเยว่แทบทรุดลงไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้