หลิ่วจิ้งสังเกตเห็นน้ำใจรักที่จ้าวอี้หรงมีต่อหั่วอี้คิดว่าอีกฝ่ายก็คงเป็สตรีอีกคนที่้าจะได้รับความรักจากเขา
ได้ยินจ้าวอี้หรงเอาแต่เรียกขานนางว่าพี่หญิงนางกลับไม่ชอบเอาเสียเลย ซ้ำแล้วก็ไม่เห็นว่าหั่วอี้คิดจะบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนวิธีเรียกเสียใหม่จึงยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์
นางไม่รู้ว่าวันดีคืนดี นางกับจ้าวอี้หรงสองคนอาจต้องเรียกขานกันว่าพี่หญิงและน้องหญิงจริงๆหรือไม่ เพราะนั่นเป็การสื่อถึงบางสิ่งที่นางไม่้าเห็นมากที่สุด
เหล่าสตรีของหั่วอี้ในเรือนหลังต้องอยู่อย่างหวาดระแวงซึ่งกันและกันอยู่แล้วยามนี้นางเป็คนสุดท้ายที่เข้ามาในจวน นางจึงได้แต่ต้องทำใจยอมรับสตรีที่เข้ามาก่อนหน้าแต่นางหวังว่าหลังจากนางแล้วจะไม่มีสตรีอื่นเข้ามาเป็ของเล่นชิ้นใหม่ของหั่วอี้ในจวนแม่ทัพอีก
หลิ่วจิ้งมองหั่วอี้สนทนาหัวร่อต่อกระซิกกับจ้าวเหยียนเฉิงสองพี่น้องอยู่เงียบๆตอนนี้เขากำลังมีความสุขที่ได้พบเจอสหายเก่าที่ไม่เจอมานานคล้ายว่าหมดความสนใจจะท่องเที่ยวต่อไปเสียแล้ว
หั่วอี้และหลิ่วจิ้งคำนับทักทายจ้าวเหยียนเฉิงสองพี่น้องอย่างเป็ทางการอีกครั้งขณะนั้นเองเสียงฉิน [1] แสนอ่อนโยนก็ดังเข้ามาจากนอกม่านประตูเสียงฉินบรรเลงอ้อยอิ่งดั่งแสงจันทร์นวลที่สาดส่องลงมากลางค่ำชวนให้ผ่อนคลายทั้งเคลิบเคลิ้มอยู่ท่ามกลางลำนำ
ได้ยินเสียงฉินจ้าวเหยียนเฉิงจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาออกมานานเกินไปแล้ว เขาตบหน้าผากตนเองหนหนึ่งกล่าวว่า “ดูข้าสิ พอได้เห็นพี่หั่วอี้ก็หลงลืมเื่สำคัญไปเสียได้ท่านพ่อก็อยู่บนเรือด้วย ข้าเห็นว่าน้องหญิงออกมานานไม่กลับเสียทีจึงได้ออกมาหา ปรากฏว่าแม้แต่ข้าเองก็ยังมาอยู่ที่นี่ด้วยหากพวกเรายังไม่กลับอีก ท่านพ่อก็คงต้องออกมาหาด้วยเช่นกัน”
“เหยียนเฉิง เ้านะเ้า เป็ความผิดของเ้าแท้ๆท่านเสนาบดีอยู่ที่นี่ เ้ายังไม่พาข้าไปคารวะแต่แรก ทำข้าเสียมารยาทนักอย่าพูดมาก รีบไปเร็ว” หั่วอี้พูดพลางเร่งให้จ้าวเหยียนเฉิงรีบนำทางไป
เมื่อเอ่ยถึงเสนาบดี จ้าวอี้หรงก็มีท่าทีลำพองตนขึ้นมาทันใดนางปรายตามองหลิ่วจิ้งอย่างยโสหนหนึ่ง ประหนึ่งว่าตนเป็องค์หญิงแสนสูงศักดิ์นางยิ้มเย็นพลางเอ่ยกับหลิ่วจิ้งด้วยท่าทางเหยียดหยันว่า “พี่หญิงจะไปพบท่านพ่อของพวกเราด้วยกันหรือไม่พี่อี้ล้วนได้ท่านพ่อสอนสั่งมาแต่เล็กจนโต จะว่าไปแล้วพวกเราล้วนไม่ใช่คนอื่นคนไกลพี่หญิงเองก็ไปนั่งด้วยกันเถิด”
“ย่อมต้องไปคารวะอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่จะยิ่งเสียมารยาทหรอกหรือ”หลิ่วจิ้งยังไม่ทันตอบ หั่วอี้ก็ตอบแทนนางแล้ว
จ้าวอี้หรงอุทานอย่างขุ่นเคืองว่า “พี่หญิงช่างวาสนาดีนักมีพี่อี้คอยปกป้องไปเสียทุกเื่”
หั่วอี้กุมมือหลิ่วจิ้งอย่างรักใคร่ทะนุถนอม เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า“คนในครอบครัวข้า ย่อมสมควรได้รับการปกป้อง หากวันหน้าสามีของน้องอี้หรงรังแกเ้าก็ขอให้มาหาข้า ดูสิว่าข้าจะไม่ทำให้เขาต้องก้มคลานขอขมาอี้หรงอยู่บนพื้นได้หรือไม่”
คำพูดนี้ของหั่วอี้ทำเอารอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของจ้าวอี้หรงเลือนรางลงทันใดจ้าวเหยียนเฉิงเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “โธ่เอ๊ย พูดนั่นพูดนี่อยู่ได้รีบไปกันเถิด” พูดจบเขาก็นำหน้าไปก่อน เดินไปยังห้องรับรองส่วนตัวทางด้านหน้า
หั่วอี้อมยิ้มหลีกทางให้จ้าวอี้หรงเดินไปก่อนส่วนเขาและหลิ่วจิ้งเดินตามหลังยิ่งเดินไปข้างหน้าเสียงฉินก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
เวลานี้ลำนำฉินเปลี่ยนวิธีบรรเลงจากทำนองดั่งสายน้ำไหลเมื่อครู่มาเป็เสียงทุ้มต่ำทำจิตใจของผู้ที่สดับเสียงฉินหนักอึ้งขึ้นมาพร้อมกัน เป็ความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัดกดดัน
ผู้บรรเลงฉินมีความลังเลคล้าย้าเอ่ยหากยั้งคำไว้นี่เป็อารมณ์ของตัวผู้บรรเลงฉินเอง หรือเป็อารมณ์ของผู้ฟังฉินกันแน่? หลิ่วจิ้งคาดเดาอยู่ในใจ
หลิ่วจิ้งพอจับได้คร่าวๆว่าเสียงฉินมีทิศทางมาจากห้องรับรองส่วนตัวของเสนาบดีซึ่งเมื่อมองไปข้างหน้าก็อยู่ห่างพวกเขาออกไปไม่ไกลนี้เอง
ถึงยามนี้จ้าวอี้หรงก็เดินแซงหน้าจ้าวเหยียนเฉิงและรีบวิ่งไปโดยเร็วปากก็ร้องเรียกอย่างเบิกบานใจว่า “ท่านพ่อ ท่านดูสิว่าข้าพาผู้ใดมา” นางว่าพลางถลันตัวเข้าไปในห้อง
“ตึง…” คล้ายว่าเสียงฉินจะถูกถ้อยคำแสนเบิกบานใจของจ้าวอี้หรงขัดจังหวะหลังจากเสียงดีดยาวครั้งหนึ่งเสียงฉินจึงหยุดลง
หั่วอี้คลายมือของหลิ่วจิ้งจากมือเขารีบสาวเท้านำหน้าเข้าไปภายในห้องก่อนนาง
“ท่านลุงจ้าว หลานมาคารวะท่านขอรับ ไม่ได้พบกันนานท่านลุงยังคงหน้าตาแจ่มใส เห็นแล้วหลานดีใจนักขอรับ”
ได้ยินหั่วอี้เอ่ยคารวะเสียงดังหลิ่วจิ้งฟังความเบิกบานใจในน้ำเสียงของเขาออก ดูท่าว่าจวนสกุลจ้าวและจวนสกุลหั่วจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันดังที่จ้าวอี้หรงว่าไว้จริงๆ
จ้าวเหยียนเฉิงผายมือออกเชิญหลิ่วจิ้งเข้าไปในห้องด้วยท่าทีสุภาพมีมารยาทหลิ่วจิ้งพยักหน้าให้เขาน้อยๆ ใช้รอยยิ้มตอบรับน้ำใจอันกว้างขวางเยี่ยงสุภาพบุรุษที่เขามีต่อนาง
เมื่อหลิ่วจิ้งเดินเข้าไปในห้องก็เห็นว่ามีชายวัยกลางคนสวมเสื้อตัวยาวแขนกว้างตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีม่วงปักลายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งหลักจ้าวอี้หรงกอดแขนคนผู้นั้นไว้ด้วยมือสองข้าง ยืนอิงอยู่ข้างๆ เขา
เมื่อนางเข้าไปในห้อง ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็มีท่าทีสนใจขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองและประสานสายตาเข้ากับหลิ่วจิ้งที่ก็กำลังสังเกตเขาอยู่เช่นกัน
ดวงตาคู่นั้นของเขาทั้งเฉียบคมและสุกใสลึกล้ำในความน่าเกรงขามมีความผ่อนคลาย เขาเพียงกวาดตามองมาเหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจใดๆ แต่แววตาประหนึ่งลูกไฟก็ทำให้หลิ่วจิ้งรู้สึกกดดันขึ้นมาน้อยๆ
ดีที่หั่วอี้เข้ามารับนางในเวลานี้พอดี “ฮูหยินท่านผู้นี้ก็คือจ้าวฉวน เสนาบดีกรมยุทธนาการ รีบมาคารวะใต้เท้าเร็วเข้า”
เสนาบดีกรมยุทธนาการ เป็ขุนนางสำคัญที่ควบคุมกรมกองฝ่ายบู๊ของทั้งแคว้นหลิ่วจิ้งเก็บซ่อนความคิดทั้งหมดที่นางมีรวมทั้งสายตาที่จับจ้องเขาไปเสีย ก่อนย่อตัวประสานมือคารวะอย่างเต็มพิธี “หวงฝู่จิ้ง คารวะท่านเสนาบดีเ้าค่ะ”
ในขณะที่หลิ่วจิ้งเอ่ยพระนามขององค์หญิงว่าหวงฝู่จิ้งสามคำนี้ นางก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยนางเป็กังวลเหลือเกินว่าวันหนึ่งนางอาจพลั้งปากบอกชื่อจริงของนางออกไปดูท่าว่ากลับไปจะต้องคิดหาหนทางทำให้หั่วอี้ยอมรับว่าหวงฝู่จิ้งกับหลิ่วจิ้งเป็คนคนเดียวกันเอาไว้เสียก่อน
แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิ่วจิ้งก็กลับรู้สึกขึ้นมาอีกว่าไม่ถูกต้องหลิ่วจิ้งเป็นามของบุตรีท่านราชครูหลิ่วหากมีผู้ประสงค์ร้ายระแคะระคายและไปตรวจสอบที่แคว้นต้าเว่ย ก็จะต้องได้เบาะแสกลับมาแน่ๆ
เฮ้อ จัดการยากเสียเหลือเกิน เห็นทีว่านางควรต้องปรับตัวให้เข้ากับชื่อหวงฝู่จิ้งนี้เสียเป็ดีหลิ่วจิ้งคิดอยู่ในใจพลางตัดสินใจว่านับั้แ่นี้ไปนางจะต้องลืมชื่อหลิ่วจิ้งไปเสียและต้องคุ้นเคยกับชื่อหวงฝู่จิ้งให้จงได้
“ท่านลุงจ้าว ท่านผู้นี้คือฮูหยินของหลานองค์หญิงหวงฝู่จิ้งแห่งแคว้นต้าเว่ย เพราะยังมิได้กราบทูลต่อฝ่าาทั้งยังไม่ได้จัดงานอย่างเป็ทางการ หลานจึงยังไม่ได้พานางไปคารวะท่านถึงเรือนหวังว่าท่านลุงจะไม่ถือโทษขอรับ”
“ไม่ถือโทษๆ อย่าทำให้เป็ทางการจนเคร่งเครียดไปเสียหมดทุกคนทำตัวตามสบายเถิด ความสัมพันธ์ของพวกเราสองครอบครัวเสมือนเป็ครอบครัวเดียวกันยังต้องมากพิธีทำสิ่งใด”จ้าวฉวนเอ่ยพลางผายมือออกเป็การบอกให้พวกของหั่วอี้นั่งลงเสีย
“ขอบคุณท่านลุงขอรับ” หั่วอี้เองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาดึงมือหลิ่วจิ้งมานั่งในที่นั่งรองจากเสนาบดีจ้าวฉวน
หลิ่วจิ้งค่อยๆ นั่งลงข้างซ้ายของหั่วอี้ตามที่เขาจัดให้อย่างว่าง่าย
“องค์หญิงมาจากแดนไกล คุ้นเคยกับที่นี่แล้วหรือไม่ดีที่่เวลาที่องค์หญิงเดินทางมานั้นเป็ฤดูที่สบายที่สุดของชางอี้ในแต่ละปีอีกไม่กี่เดือนก็ย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว ซึ่งจะเหน็บหนาวอยู่เป็เวลาค่อนข้างนานองค์หญิงต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนเป็ดี”
คล้ายว่าจ้าวฉวนวางตัวสบายๆ สนทนากับหลิ่วจิ้งในเื่ทั่วไป แต่สองตาเฉียบคมของเขาก็ยังคงสังเกตดูหลิ่วจิ้งอยู่ตลอดเวลา
“หวงฝู่จิ้งขอบคุณท่านเสนาบดีเ้าค่ะ คิดว่าทัศนียภาพในต่างแคว้นจะต้องแตกต่างจากที่เคยพบเห็นมาข้าเองก็เฝ้าคอยที่จะได้ัักับความงดงามนั้นเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งนั่งสำรวมระมัดระวังตัว นางเลิกคิ้วโก่งงามขึ้นน้อยๆยิ้มละมุนตอบรับสายตาของเสนาบดี
ช่างเป็สตรีที่วางตัวได้เป็อย่างดีทั้งไม่พินอบพิเทาและไม่เย่อหยิ่ง มิน่าเล่าหั่วอี้จึงปฏิบัติต่อนางต่างจากสตรีทั้งปวงเสนาบดีจ้าวแอบชมอยู่ในใจ
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ฉิน หมายถึง พิณจีน
