บทที่ 40 แล้งน้ำใจ
เหลยอินะโด่าอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้มีลูกศิษย์จากยอดเขาอื่นมากมายมองอยู่ นางก็ไม่สนใจ เพราะนี่คือนิสัยของเหลยอินผู้นี้
“ท่านปรมาจารย์เหลย การประลองยุทธ์วัดฝีมือ ถือว่าเป็โอกาสพัฒนาตัวเองที่ดีไม่ใช่หรือ” ฉินชูคลี่ยิ้มเจื่อน พลางพูดกับเหลยอิน แม้ว่าเหลยอินจะะโด่าเขาต่อหน้าผู้คนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ แต่ในน้ำเสียงกลับไม่มีแววปรปักษ์ เหลยอินก็แค่ไม่พอใจที่เขาท้าทายลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัว เพราะเขาเพิ่งจะจัดการลูกศิษย์จากยอดเขาหลักไปจนทำให้ทั่วทั้งลานประลองแตกตื่น แล้วตอนนี้ยังริอ่านหันมาท้าทายยอดเขาเชียนหลัวอีก
“ประลองยุทธ์วัดฝีมือ ถือว่าเป็โอกาสพัฒนาตัวเองที่ดี” เขามาวันนี้เพื่อสนับสนุนฉินชู หลังลู่หยวนพูดจบก็นั่งลง
เหลยอินมองฉินชู “แค่ต่อสู้วัดฝีมือเฉยๆ ก็ย่อมได้ แต่ถ้าเ้าริอ่านลงมืออย่างไร้ความปรานีแบบเมื่อครู่ ข้าจะเก็บกวาดเ้าอย่างแน่นอน”
“หลิวเสวี่ย จากยอดเขาเชียนหลัว” ลูกศิษย์ผู้หญิงจากยอดเขาเชียนหลัวก้าวเข้ามากลางลานประลองพร้อมกล่าวแนะนำตัวกับฉินชู ในมือถือกระบี่ทั้งสองข้าง
“ฉินชู ศิษย์รับใช้จากยอดเขาชิงจู๋ มาที่นี่เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม ขอแม่หญิงคนงามโปรดกรุณา” ฉินชูประสานมือคารวะหลิวเสวี่ย
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันแปลกใจ พวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าฉินชูที่เพิ่งฆ่าลูกศิษย์จากยอดเขาหลักเยี่ยงสัตว์ร้ายเมื่อครู่จะมีมุมที่สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเป็สุภาพบุรุษใจกว้างน่าเอาเป็เยี่ยงอย่าง ต่อให้จะอยู่ในชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่แลดูมีสง่าราศีเป็ยิ่งนัก จิติญญาอันสะอาดบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวาแผ่สะท้อนออกมาจากด้านใน ผ้าฝ้ายหยาบที่ไม่อาจกลบราศีเช่นนี้เอาไว้ได้
“ศิษย์น้องขี้เกรงใจเกินไปแล้ว เช่นนั้นพี่สาวจะไม่เกรงใจ” หลิวเสวี่ยชักกระบี่ออกมาก็พุ่งเขาโจมตีในระยะประชิด
ฉินชูชักกระบี่ออกจากฝักที่สะพายอยู่ข้างหลังออกมาตั้งรับทันที
ปรากฏแสงเรืองรองไปทั่วใบกระบี่ ต่อมากระบี่ยาวของหลิวเสวี่ยก็เปล่งแสงออกมากินรัศมีสามคืบ จากนั้นนางก็โจมตีใส่ฉินชูไม่หยุด
ฉินชูยังไม่อาจปลดปล่อยพลังปราณออกสู่ภายนอกได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้พลังปราณเคลือบกระบี่เลย แต่ด้วยพละกำลังและพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายทำให้กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานสำแดงพลังออกมาได้ไม่แพ้กัน สามารถปัดป้องการโจมตีของหลิวเสวี่ยเอาไว้ได้ทั้งหมด
ดูเผินๆ กระบวนท่าของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระบวนท่าโจมตีของหลิวเสวี่ยรุนแรง หนักแน่นและเฉียบคมไร้อื่นใดเปรียบ กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของฉินชูกลับนิ่งสงบผิดวิสัย แต่สามารถป้องกันตัวเองได้อย่างไร้ช่องโหว่ สกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดของหลิวเสวี่ยเอาไว้ด้านนอกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
หลิวเสวี่ยตระหนักได้ถึงการป้องกันอันร้ายกาจที่ไม่อาจทะลวงผ่านเข้าไปได้ของฉินชู ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่ััได้ คนดูรอบๆ ก็ััได้เช่นกัน
หากเปรียบการโจมตีต่อเนื่องของหลิวเสวี่ยเป็น้ำตกที่ไหลร่วงสู่พื้นดินไม่ขาดสาย เช่นนั้นการป้องกันของฉินชูก็เปรียบดั่งหินกล้าอันแข็งแกร่งใต้น้ำตกที่ไม่สะทกสะท้านต่อสายน้ำที่ไหลลงมา
“หลิวเสวี่ยออกมาเถิด เ้าทะลวงการป้องกันของเ้าหนูบ้าบอนี่ไม่ได้หรอก” เหลยอินะโขึ้นเสียงดังลั่นอีกครั้ง
หลิวเสวี่ยะโถอยหลังไปสองสามก้าว “การป้องกันของศิษย์น้องช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ศิษย์พี่ผู้นี้ก็ถนัดการป้องกันเช่นกัน เ้าอยากลองดูหรือไม่ หากเ้าทำลายการป้องกันข้าได้ จะถือว่าเ้าชนะไปโดยปริยาย แต่ถ้าทำลายไม่ได้ ศิษย์สายในอันดับหนึ่งเช่นข้าก็ถือว่าคู่ควรแล้ว”
“ไม่ดีกว่า สู้กันเท่านี้พอแล้ว” ฉินชูไม่รับคำท้า
ท่าทางพูดจาว่าง่ายของฉินชูทำเอาลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋และหลัวเจินแปลกใจเป็ยิ่งนัก โดยปกติฉินชูจะต่อสู้อย่างดุดันและเอาเป็เอาตายทุกครั้ง มีที่ไหนที่เขาจะยอมเลิกต่อสู้ง่ายๆ เช่นนี้
อันที่จริงทุกคนเข้าใจเขาผิด อีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู อีกฝ่ายไม่มีจิตสังหารจ้องเล่นงานเขาถึงตาย ดังนั้นฉินชูจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความเคารพนับถือ
“เ้าช่างดูไม่เหมือนตัวเ้า ข้าพอได้ยินชื่อเสียงของเ้ามาบ้างว่าเป็พวกบ้าการต่อสู้” หลิวเสวี่ยพูดกับฉินชู
“เข้าใจผิดแล้ว เ้าคนเมื่อครู่้าจะฆ่าข้าจริงๆ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้กลับ” ฉินชูอธิบายขึ้น
“เข้ามาเถิด ข้าไม่กลัวความพ่ายแพ้หรอก” หลิวเสวี่ยตวัดกระบี่พลางพูด
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ในเวลาแบบนี้ หากข้าไม่จริงจัง มันเท่ากับว่าข้าไม่ให้เกียรติเ้า” ฉินชูเปลี่ยนใจชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้งและเริ่มโจมตี
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ ท่าทางของฉินชูก็เปลี่ยนไป สีหน้าเขาฉายแววเอาจริงออกมา
กระบี่ในมือของหลิวเสวี่ยเริ่มวาดลวดลายสำแดงเคล็ดวิชากระบี่์และเริ่มร่ายกระบวนท่าป้องกัน เคล็ดวิชากระบี่์เป็ท่าไม้ตายของปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาเชียนหลัวรุ่นแรกที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น จุดเด่นของมันคือกระบวนท่าที่ไหลลื่นต่อเนื่อง
ครั้นฉินชูเริ่มสำแดงเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ กระบวนท่ากระบี่ของเขาก็รวดเร็วขึ้นอย่างทวีคูณ ทว่ากระบวนท่าป้องกันของเคล็ดกระบี่์ก็แข็งแกร่งทนทานสมกับที่หลิวเสวี่ยบอกจริงๆ แม้ว่าเธอจะถูกแรงกระแทกจนถอยหลัง แต่การป้องกันก็ยังคงเสถียรอยู่เหมือนเดิม
ฉินชูเริ่มกำหนดจิตรวมศูนย์ นำจิตตัวเองจมลงสู่ภวังค์แห่งจิติญญากระบี่ ทันทีที่เข้าสู่สภาวะขั้นเจี้ยนหลิง มวลพลังทั่วร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับร่างกายทั้งร่างของเขาเป็กระบี่เล่มหนึ่ง ประหนึ่งกระบี่หลอมรวมกับส่วนหนึ่งของร่างกายเขาและมีจิติญญาเป็ของตัวเอง
ติ๊ง!
บังเกิดเสียงกระทบดังกังวาน ปลายกระบี่ของฉินชูพุ่งเข้าไปแทงจุดหนึ่งบนใบกระบี่ของหลิวเสวี่ย นับจากปลายกระบี่ลงมาสามนิ้ว นั่นคือจุดบอดของกระบวนท่า เป็เหตุให้กระบวนท่าป้องกันของหลิวเสวี่ยแปรปรวน
ครั้นช่องโหว่ปรากฏขึ้น ฉินชูพลิกข้อมือหันสันดาบออกและฟันสันดาบไปที่แขนของหลิวเสวี่ยเพื่อขัดห้วงจังหวะกระบวนท่าป้องกันของนาง ก่อนชักกระบี่กลับมาและชี้ปลายกระบี่จ่อคอ
ทั้งสองนิ่งค้างอยู่สักพัก จากนั้นก็เก็บกระบี่เข้าฝัก
หลิวเสวี่ยยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็เก็บกระบี่ใส่ฝักเช่นกัน “ศิษย์รับใช้ผู้แข็งแกร่ง สมคำร่ำลือจริงๆ”
“สมแล้วที่ได้เป็อันดับหนึ่งของเหล่าศิษย์สายใน” ฉินชูประสานมือคารวะหลิวเสวี่ย จากนั้นก็เดินออกจากลานประลอง แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้หวายในกระโจมที่พักของยอดเขาชิงจู๋เช่นเดิม
ก่อนนั่งลง ฉินชูประสานมือคารวะเหลยอิน
ส่วนเหลยอินก็ยังคงเอ็นดูเขาอยู่เหมือนเดิม ความเอ็นดูนี้ คุ้มค่าแก่การเคารพ
หลิวเสวี่ยออกจากลานประลองเช่นกัน นางแพ้แล้ว แต่เป็การแพ้ที่ไม่หน้าอาย ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะฉินชูได้ แต่เมื่อเทียบกับลูกศิษย์ของยอดเขาหลักแล้ว ศักดิ์ศรีของหลิวเสวี่ยดูสูงส่งกว่ามาก
หลังจากการต่อสู้ของหลิวเสวี่ยและฉินชู ซูซานเหอกลั้นใจประกาศสิ้นสุดการประลองยุทธ์จัดอันดับด้วยใบหน้าอึมครึม จากนั้นก็มอบรางวัล
ลูกศิษย์สายนอกและลูกศิษย์สายในที่ผ่านเข้ารอบสิบอันดับแรกล้วนได้รับรางวัล เพื่อเป็การสนับสนุนและให้กำลังใจแด่การเติบโตก้าวหน้าของพวกเขา นอกจากอู๋เฉิงที่สู้แพ้ ซ้ำยังทำผิดกฎจนเป็เหตุต้องถึงแก่ความตาย
หลัวเจินประสานมือคารวะปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาที่เหลือทั้งห้าคน ยกเว้นซูซานเหอที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง จากนั้นก็พาเหล่าลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋กลับไป
การประลองยุทธ์จัดอันดับของลูกศิษย์ในสำนักครั้งนี้ ยอดเขาชิงจู๋กลายเป็ผู้ชนะและผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง สาเหตุหาใช่อื่นใด ทั้งหมดทั้งมวลต้องยกความดีความชอบให้กับฉินชูที่เอาชนะศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งกับอันดับสองได้เพียงคำท้า และเอาชนะศิษย์สายในด้วยการท้าประลอง มิหนำซ้ำยังฆ่าอดีตศิษย์สายในอันดับสองอย่างอู๋เฉิงที่ทำผิดกฎสำนักอย่างไร้ความปรานี หากผู้ใดยังอยากลองดีอีกก็เข้ามา
เมื่อกลับมาถึงประตูทางเข้ายอดเขาชิงจู๋ หลัวเจินก็มองมาทางฉินชู “หลังจากกลับไปก็จงตั้งมั่นฝึกตนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้”
“เื่ในวันนี้เสร็จสิ้นแล้วหรือขอรับ” ฉินชูมองหลัวเจินอย่างมีเลศนัย วันนี้เขาทำให้ยอดเขาชิงจู๋มีหน้ามีตาขึ้นมาเชียวนะ
“เ้ายังมีเื่อะไรอีก” หลัวเจินถามกลับ
“คนอื่นล้วนได้รับรางวัล หรือว่าการกระทำวันนี้ของศิษย์เสียเปล่า” ฉินชูจำเป็ต้องพูด เพราะไม่เช่นนั้นหลัวเจินคงแสร้งทำไปเฉไฉต่อไป
“จะเป็ศิษย์สายนอกหรือไม่ ทุกเดือนจะได้รับโอสถหนิงหยวน จะเป็ศิษย์สายในหรือไม่ ทุกเดือนจะได้รับโอสถเจินหยวน แต่ว่าต้องเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่เป็เวลาและมีงานบังคับ สวัสดิการถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว หากเ้าทำได้ ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้เ้าเดี๋ยวนี้” หลัวเจินถามฉินชู
เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่เป็เวลาและมีงานบังคับ...ถ้าเป็แบบนั้น ฉินชูไม่้า หากเป็ศิษย์สายนอกคงไม่มีอิสระเท่าตอนนี้ เป็ศิษย์รับใช้แบบนี้สบายกว่า อย่างน้อยจะทำอะไรก็ได้ทำ
“ดูเ้าสิ เป็เพราะเ้าไม่เอาเอง ดังนั้นอย่ามาโทษข้าว่าไม่มีรางวัลให้ ส่วนเื่โอสถและอาวุธ ตัวเ้าก็ทำภารกิจสะสมแต้มคุณูปการแล้วเอาไปแลกเอง จะว่าไป เ้าก็สามารถแย่งมาจากผู้อื่นได้ไม่ใช่หรือ ยัง้าอะไรจากข้าอีก เอาไว้มีเื่ใหญ่จริงๆ ค่อยมาขอข้า ส่วนเื่เล็กๆ ก็จัดการเอง!” หลัวเจินกวาดตามองฉินชูหนึ่งรอบ ก็พาคนจากไป เขาเริ่มรู้จักนิสัยและตัวตนของฉินชูขึ้นเรื่อยๆ ฉินชูในตอนนี้ไม่ทางไปจากหอศิษย์รับใช้ที่นี่แน่ เพราะเขาเริ่มผูกพันกับที่นี่แล้ว
“เฮ้อ... ช่างแล้งน้ำใจเหลือเกิน” ฉินชูกุมขมับ รู้สึกตัวเองขาดทุนอย่างไรก็ไม่รู้