เข้าสู่สารทฤดู แมกไม้ผลัดใบเป็สีเหลือง ท้องฟ้าปรากฏพระอาทิตย์สีทองลอยแขวน แสงสีทองรำไรแทรกผ่านกำแพงสูงตระหง่าน กระทั่งสะท้อนกับไข่มุกบนรองเท้าปักลายของนางกำนัลที่กำลังวิ่งเหยาะๆ อย่างประจวบเหมาะ นี่เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับส่วนลึกของวังที่แสนอึมครึมแห่งนี้ ทว่าพวกนางกลับไม่ได้สนใจแสงวาววับเ่าั้แม้แต่น้อย ยังคงมุ่งหน้าวิ่งไปยังตำหนักซีเหอด้วยความกระวนกระวาย
ตำหนักที่เคยเงียบสงบบัดนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้า ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องบาดหูดังขึ้นเป็ระยะ
แสงสีทองค่อยๆ คล้อยลง แสงจางๆ ลอดผ่านหน้าต่างอาบไล้อยู่บนมือคู่หนึ่ง เ้าของมือสีชมพูนวลเนียนคู่นั้น แท้จริงแล้วยังเป็เพียงเด็กสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง แต่หน้าท้องของนางกลับนูนสูงขัดกับภาพลักษณ์นั้น มือคู่งามทุบลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักที่ไม่หนักและไม่เบา “ท่านป้า นางกล่าวว่าครั้งนี้ฮองเฮาทรงพระครรภ์นานถึงสิบหกเดือนเต็ม วันนี้ถึงจะประสูติ พระธิดาในพระครรภ์จะต้องเป็เทพธิดาเป็แน่” นางกำนัลาุโที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังบีบแขนนางพร้อมทั้งส่ายหัวแล้วกล่าวตอบ “อาจ้าว ท่านมิต้องกังวลไป ฮองเฮานางหาได้มีวาสนาถึงเพียงนั้น นางมิมีทางให้กำเนิดเทพธิดาได้ เด็กในท้องท่านต่างหากจึงจะเหมาะสมเป็เทพธิดา” กระนั้นมือคู่งามก็ไม่อาจหยุดทุบโต๊ะได้ นี่ประหนึ่งว่าร่วมบรรเลงไปกับเสียงกรีดร้องที่ยังคงดังแว่วมา เพียงนางทุบโต๊ะเบาๆ เสียงกรีดร้องนั้นก็ดังตามมาอีกระลอกเช่นกัน
ยามใบหน้าหญิงสาวปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆ เพียงชั่วขณะ ด้วยเหตุแห่งรอยยิ้มนั้นบรรยากาศภายในห้องก็พลันอ่อนโยนขึ้นทันตา “ท่านป้า ข้าคิดว่าข้าเองก็กำลังจะคลอดแล้วเช่นกัน” นางกำนัลาุโเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นอย่างรู้งาน ไม่มีอาการลนลานแม้แต่น้อย แล้วออกคำสั่งให้เหล่านางกำนัลเตรียมการอย่างเป็ระเบียบ
ขณะฮ่องเต้กำลังรออยู่ ณ ประตูตำหนักซีเหอ ครั้นได้ยินรายงานจากขันทีว่าทางจ้าวเฟยก็กำลังมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะชะงักงันไปครู่หนึ่ง ถึงเพิ่งจะคิดได้ว่าจ้าวเฟยคือสตรีคนใดของตน จ้าวเฟยคือหญิงบรรณาการที่แคว้นจิงส่งมา เข้ามาหลังจากสนมจ้าวมีพระครรภ์ นางนั้นนับว่ามีรูปโฉมงดงามหมดจน เรือนร่างสะโอดสะอง กระทั่งเขาเองที่ควบคุมตนเองได้ดีเสมอมาก็มิอาจหักห้ามใจไม่ให้ลุ่มหลงได้ แต่หลังจากที่ขุนนางเริ่มทัดทานในการกระทำของเขา จึงได้มีสติขึ้นมาว่าฮองเฮานั้นกำลังมีพระครรภ์แล้ว เป็่เวลาที่นาง้าการใส่ใจดูแลจากเขาที่สุด นับแต่นั้นเขาจึงเริ่มอุทิศเวลาทั้งหมดแก่ฮองเฮา และค่อยๆ ห่างเหินกับนางในที่สุด ในครั้งนี้หากมิใช่เพราะขันทีกล่าวเื่นางขึ้นมา เขาก็แทบจะนึกถึงใบหน้างดงามนั้นไม่ออกเสียแล้ว
“ส่งคนไปดูเสีย” สิ้นคำบัญชา เขาก็ยังคงเดินวนเวียนอยู่ใต้ต้นอู๋ถงโบราณในตำหนักซีเหอ
ตำหนักซีเหอมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถประทับได้ สาเหตุนั้นก็เพราะเ้าต้นอู๋ถงนี้เอง
เพราะฮองเฮานั้นเปรียบดั่งหงส์เกาะอู๋ถง
ใต้ต้นอู๋ถงโบราณต้นนี้ ฮ่องเต้หนุ่มกับฮองเฮาเคยร่วมดื่มชา อ่านหนังสือ และเดินหมากอยู่เป็นิตย์
แต่บัดนี้กลับมีเพียงเขาผู้สวมชุดคลุมัอันศักดิ์สิทธิ์ ทำได้เพียงกระวนกระวายใจอยู่ใต้ไม้ต้นเดิม ฟังเสียงฮองเฮาของตนกรีดร้องอย่างน่าสงสาร บุตรคนนี้คือบุตรคนแรกของเขา ซ้ำยังอยู่ในท้องของนางนานถึงสิบหกเดือน เขารู้ว่านี่จะต้องเป็นิมิตหมายแห่งความเจริญรุ่งเรืองไม่ผิดแน่
ในทุกเช้า สิ่งแรกที่เขาทำคือมายังตำหนักซีเหอแห่งนี้ เพื่อถามไถ่ความเป็อยู่ของฮองเฮาของตน
ทว่าขณะนี้เขาเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าตนนั้นเดินวนอยู่ใต้ต้นอู๋ถงต้นนี้ไปแล้วกี่รอบ ในใจยุ่งเหยิงดุจใยป่าน ความปีติในยามแรกเปลี่ยนเป็ความกังวลอย่างสุดแสน
นางกำนัลนางหนึ่งกำลังถืออ่างเข้าไปในห้องคลอด ด้วยความเร่งรีบนางถึงกับบุ่มบ่ามใช้แผ่นหลังของตนดันเปิดประตูเสีย แสงสีทองลอดผ่านรอยแยกระหว่างช่องประตูตำหนักที่แสนหนักอึ้งนี้ มันสาดกระทบลงบนเตียงไม้อู๋ถงให้เปล่งแสงเรืองรอง
“อุแว้!” เสียงทารกน้อยดังก้องขึ้น
ทันทีที่ได้ยินเสียงทารก ฮ่องเต้ราวกับตกอยู่ในภวังค์ คลอดแล้ว… ฮองเฮาของเขาคลอดแล้ว เขาแทบลืมเื่อื่นไปสิ้น รีบรุดเข้าไปในห้องคลอดทันที เหล่านางกำนัลเมื่อเห็นฮ่องเต้ปรากฏตัวก็พลันเปลี่ยนเป็อลหม่าน แต่ถึงกระนั้น ยามนี้ใบหน้าของฮ่องเต้หนุ่มกลับปรากฏเพียงความปรีดา
ฮองเฮานั้นหลังจากผ่านพ้น่เวลาแห่งความเ็ปมาได้ ใบหน้างดงามจึงปรากฏรอยยิ้มผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน ฮ่องเต้หลังจากแน่ใจว่าฮองเฮาปลอดภัยดี จึงรับทารกน้อยเข้ามาในอ้อมอก เ้าตัวน้อยใบหน้ายับยู่นี้ กระทั่งใช้เงินเป็พันตำลึงมาแลก ก็เกรงว่าจะไม่พอ
“ช่างขี้ริ้วขี้เหร่นัก หลังจากนี้ก็เรียกชื่อเล่นเ้าว่าอาโฉ่วแล้วกัน ส่วนชื่อจริงก็ชื่อเฉินโย่ว ขอเทพยดานอกจากจะคุ้มครองเ้าแล้ว ขอโปรดช่วยคุ้มครองแคว้นเชินของเราเช่นกัน”
เวลาเดียวกันนี้เองหน้าประตูก็ปรากฏเงาของขันทีร่างท้วม เมื่อขันทีผู้นี้เห็นใบหน้าแห่งความปีติของฮ่องเต้ ก็รีบรุดรายงาน “ฝ่าา จ้าวเฟยก็ประสูติองค์หญิงน้อยแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าาโปรดประทานพระนามแก่องค์หญิงน้อยด้วยเถิด”
ฮ่องเต้ที่กำลังเย้าแหย่พระธิดาน้อย เมื่อได้ยินรายงานพลันเหลือบตามองขันทีร่างท้วม สำหรับเขาแล้ว ความทรงจำที่มีต่อสนมจ้าวมันช่างคลุมเครือ เขาจึงเพียงพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ทว่ายังคงรั้งอยู่ในตำหนักของฮองเฮา แล้วจึงกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลายต่อขันทีว่า “จ้าวเฟยหน้าตาหมดจด ลูกของนางก็ให้ชื่อว่าอีเหรินก็แล้วกัน”