จริงๆ แล้ว ที่ตระกูลฉีติดหนี้บุญคุณบิดาของซ่งอวี้ ขอเพียงซ่งอวี้ไม่ยอม ผู้าุโทั้งห้าท่านในตอนนั้นก็ไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้นนี้แน่นอน แต่ด้วยนิสัยของซ่งอวี้ที่ขี้ขลาดเกินไป ยายฉีร้องห่มร้องไห้และอ้อนวอนเพียงสองสามคำ ซ่งอวี้ก็ยอมแล้ว เช่นนั้นพวกเขาที่เป็ผู้าุโจะทำอย่างไรได้?
แน่นอนว่าต้องถอนหมั้นไปโดยปริยาย
"ก็ความหมายว่า อันที่จริงบิดาของข้ามีบุญคุณต่อตระกูลฉีกระนั้นหรือ?" ซ่งอวี้สรุปในใจแล้วค่อยเอ่ยออกมา
"ใช่ ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วย ไม่มีทางเข้าใจผิดแน่นอน บิดาของเ้ามีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อตระกูลฉี สองปีก่อนการกระทำของพวกเขาก็ถือว่าเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าแล้ว แต่เ้าไม่เอาเื่ ต่อให้พวกข้าที่เป็ผู้าุโก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"
ลุงสือโถวแสดงท่าทางจนปัญญากับนิสัยของซ่งอวี้เมื่อสองปีก่อน
เอาเถอะ นิสัยของเ้าของร่างเดิมมีปัญหามากจริงๆ แต่สำหรับซ่งอวี้แล้วก็ยังถือว่ามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ ฉะนั้นซ่งอวี้แค่กระแอมกระไอแห้งๆ สองที ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร
"เช่นนั้นหลังจากถอนหมั้นแล้ว ตระกูลฉีทำอะไร แล้วข้าทำอะไร?" นี่ถึงจะเป็ประเด็นที่ซ่งอวี้มาที่นี่
นางอยากรู้ว่าหลังจากถอนหมั้นแล้วซ่งอวี้ไม่ได้ไปเอาสัญญาหมั้นหรือว่าคนของตระกูลฉีไม่ให้กันแน่
เพราะว่านางเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าด้วยนิสัยอกตัญญูและพฤติกรรมไร้คุณธรรมของตระกูลฉี หรือว่าสัญญาหมั้นนี้ไม่ใช่ว่าซ่งอวี้ไม่อยากไปขอ แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะคืนั้แ่แรกอยู่แล้ว
ลุงสือโถวนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียด "หลังจากพวกเราเหล่าาุโออกหน้า ตระกูลฉีเพียงแค่ส่งของมาขอโทษขอโพยเ้าพอเป็พิธี อย่างไรฝ่ายชายก็เป็ฝ่ายถอนหมั้น นี่เป็ธรรมเนียม แต่ภายหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เ้าส่งของไปคืนพวกเขา หลังจากนั้นพวกเ้าก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก"
ไม่มีการเอ่ยถึงสัญญาหมั้นเล่มนั้น หรือว่าลุงสือโถวจะไม่รู้?
แววตาของซ่งอวี้ทอประกายครู่หนึ่ง แล้วแสร้งพูดอย่างฉงน “ข้าส่งของกลับไปหรือ? เป็ไปไม่ได้กระมัง หลังจากถอนหมั้นและส่งสัญญาหมั้นมาให้ถือเป็ธรรมเนียมปฏิบัติ จะเป็ไปได้อย่างไรที่ข้าจะส่งกลับไป?”
ลุงสือโถวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงตั้งใจครุ่นคิดและพูดด้วยความไม่แน่ใจ “ตอนนั้นที่เ้าโดนถอนหมั้น เหมือนมักจะมีคนหาว่าเ้าไม่รอบคอบเอง แล้วยังหาว่าเ้าค่อนข้างไม่ลงรอยกับพ่อพวงมาลัย อื้อ…..หลังจากเ้าคืนของพวกนั้นกลับไป ข่าวลือเหล่านี้ก็แทบจะหายไปหมด”
เอาเถอะ นี่ก็ถือเป็ข้อสงสัยอย่างหนึ่ง ซ่งอวี้แอบจดจำไว้ในใจแล้ว พอพิจารณาดูแล้ว สุดท้ายนางก็ตัดสินใจบอกเื่ที่ตระกูลฉีจ้องจะหาเื่นางให้ลุงสือโถวฟัง
ตอนนี้ขาของลุงสือโถวยังไม่หายดี อย่างไรก็ต้องเข้าข้างนาง ต่อให้บอกเื่นี้ให้เขาฟังซ่งอวี้ก็เชื่อว่าลุงสือโถวไม่มีทางพูดออกไป
“ลุงสือโถว ตอนนั้นตระกูลฉีถอนหมั้นกับข้า กลับไม่เคยคืนสัญญาหมั้นให้ข้า ตอนนี้พวกเขายังอยากใช้สัญญาหมั้นฉบับนั้นมาเล่นงานข้า” ซ่งอวี้เม้มปาก
ลุงสือโถวลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าดูแย่มาก
“เ้าว่าอะไรนะ? พวกเขาคิดจะใช้สัญญาหมั้นฉบับนั้นมาเล่นงานเ้ากระนั้นหรือ นี่ เ้าออกเรือนแล้ว เหตุใดพวกเขายังคิดจะเล่นงานเ้าเช่นนี้?”
เกรงว่าทั้งแคว้นเป่ยเฉินคงไม่มีตระกูลที่สองที่เอาสัญญาหมั้นมาเล่นงานคนอื่นแล้ว
แม้สัญญาหมั้นจะสำคัญมาก แต่ตอนที่ได้ใช้ประโยชน์มากกว่าก็คือตอนนับญาติ เพียงแค่คนรอบข้างรู้ว่าพวกเ้าหมั้นหมายกันแล้ว เ้ามีคู่ครองแล้ว เช่นนั้นมันก็แค่กระดาษแผ่นเดียวต่อให้คนอื่นเก็บได้ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
ดังนั้น ซ่งอวี้เลยเล่าเื่ที่ตระกูลฉีจ้องจะเล่นงานตัวเองให้ลุงสือโถวฟังอย่างละเอียด
สีหน้าของลุงสือโถวหม่นหมองราวกับน้ำหมึกสีนิล โมโหจนตบโต๊ะอย่างแรง “ไม่เกรงกลัวกฎแห่งกรรมเลยจริงๆ ! แม้แต่เื่สมรสยังกล้าเอามาเป็เครื่องมือเล่นงานคนอื่น คนรุ่นหลังคนอื่นๆ จะเอาเป็เยี่ยงอย่าง คนพวกนี้ร้ายกาจเหลือเกิน!”
กล่าวถึงการหมั้นหมายในยุคสมัยนี้นอกจากดูฐานะทางตระกูลของอีกฝ่ายแล้ว ยังต้องดูความนิยมในหมู่บ้านว่าเป็เช่นไรด้วย เหมือนตระกูลฉีที่เอาสัญญาหมั้นของซ่งอวี้มาเล่นงานนางให้แต่งเข้าตระกูลฉี พูดได้ว่าเป็การกระทำเลวทรามมาก ทันทีที่เื่นี้แพร่งพรายออกไป ต้องกระทบกับหนุ่มสาวที่ไม่ได้หมั้นหมายกันโดยตรงแน่นอน
นี่ก็คือเหตุผลที่ลุงสือโถวโมโหเช่นนี้ เขายังมีบุตรชายหนึ่งคนที่ยังไม่หมั้นหมาย ถ้าคนของตระกูลฉีชนะขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ทั้งหมู่บ้านเสี่ยวหนิวคงจะซวยไปด้วย
ลุงสือโถวยิ่งคิด สีหน้าก็ยิ่งแย่ ในใจยิ่งรู้สึกร้อนรน ยิ่งทำให้นั่งไม่ติดแม้แต่วินาทีเดียว “ยัยหนูซ่ง เ้ารอก่อน วันนี้ข้าจะไปเอาสัญญาหมั้นกลับมาให้เ้า ข้าอยากเห็นเหมือนกันว่าใครหน้าไหนจะกล้าไม่ให้ข้า”
เมื่อลุงสือโถวว่าเช่นนั้น ซ่งอวี้ก็รีบห้ามเอาไว้ “ถึงอย่างไรพวกเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีนี้เล่นงานข้าแล้ว ตราบใดที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ พวกเขาไม่มีทางคืนให้ให้แน่นอน อีกอย่างสัญญาหมั้นของข้าอยู่ที่ตระกูลฉีั้แ่เด็ก นอกจากคนของตระกูลฉีแล้วใครก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แค่พวกเขายืนยันว่าไม่อยู่ในมือพวกเขาก็จะกลายเป็ว่าพวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ความจริงก็เป็เช่นนี้จริงๆ ลุงสือโถวจึงยอมนั่งลง สีหน้าดูแย่ยิ่งกว่าซ่งอวี้ ราวกับว่าคนที่ถูกเล่นงานเป็ตัวเขาเอง
ซ่งอวี้พึมพำสักพักก็ถามขึ้น “ลุงสือโถว ถ้าข้าอยากจะเอาชนะเื่นี้ ผู้าุโคนอื่นๆ จะสนับสนุนข้าหรือไม่?” ครั้งนี้ตระกูลฉีเล่นงานได้เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่สัญญาหมั้นหมายนั่น ซ่งอวี้พอจะมีวิธีเอาสัญญาหมั้นกลับมาแล้ว ทว่านางไม่อาจเอากลับมาเงียบๆ ได้
ฉะนั้นนางอยากรู้ว่าผู้าุโคนอื่นๆ ในหมู่บ้านจะมีทีท่าอย่างไร
ลุงสือโถวเลิกคิ้วขึ้น “เ้ามีวิธีหรือ?”
“เ้าค่ะ แต่ถึงเวลานั้นอาจจะเกิดเื่วุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ข้าเลยอยากรู้ว่าท่าทีของผู้าุโคนอื่นๆ เป็อย่างไร” ซ่งอวี้ไม่อยากปิดบัง จึงพูดให้กระจ่างออกมาตรงๆ
อันที่จริงก็ถือว่าเป็การสืบฐานะของตัวเองในหมู่บ้านนี้
นางอยากรู้ว่าฐานะของตัวเองในหมู่บ้านเป็เช่นไร วันข้างหน้าหากเจอเื่เช่นนี้อีกนางจะได้ลงไม้ลงมือเองได้เลย ไม่ใช่ว่าต้องมานั่งกังวลเื่นี้กังวลเื่นั้น
ลุงสือโถวพูดเสียงเหี้ยม “ไม่ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น พวกผู้าุโอย่างพวกเราต้องสนับสนุนเ้าแน่นอน เ้าทำๆ ไปเถอะ”
ไม่เพียงเพื่อชื่อเสียงของหมู่บ้านเสี่ยวหนิวเท่านั้น แต่เพราะซ่งอวี้เป็หมอเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน ทั้งยังมีฝีมือทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศ
หลังจากซ่งอวี้มาถึงเรือน นางก็ไม่ได้พูดเื่ที่คุยกับลุงสือโถวให้คนอื่นฟัง เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องหนึ่งวันเต็มๆ ตอนนางออกมา แม้กระทั่งเสี่ยวหมานที่ใสซื่อยังรู้สึกว่าซ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เหมือนว่า...เปลี่ยนไปจนอ่านใจไม่ออกแล้ว
อาฝูและเสี่ยวหมานแอบพูดกันอยู่สักพัก ต่างฝ่ายต่างรู้สึกนี่เป็เื่ดี จึงไม่ได้ถามอะไรมาก แค่ทำหน้าที่ของตัวเองดูแลครัวเรือนให้เคร่งกว่าเดิมเล็กน้อย
หรงจิ่งอยู่บ้านซ่งอวี้หลายวันแล้ว อาการดีขึ้นมาก ขอแค่ไม่ออกกำลังกายหนักแผลก็จะไม่ปริอีก แต่ซ่งอวี้ก็ยังให้เขากินยาทุกวันอย่างต่อเนื่อง ยาตัวนั้นย่อมขมมากเป็ธรรมดา แต่ทุกครั้งที่หรงจิ่งดื่มสีหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแม้แต่ครั้งเดียว
วันนี้เสี่ยวหมานเป็คนนำยาไปให้เขาตามเคย แต่ตอนที่เดินไปถึงประตู จู่ๆ ซ่งอวี้ก็ปรากฏตัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ข้าจะวัดชีพจรให้เขา เ้าเอายาให้ข้าเถอะ ข้าจะได้เอาเข้าไปด้วย"
เสี่ยวหมานไม่สงสัยอะไร เอายาต้มที่ยังมีไอร้อนระเหยขึ้นมาให้ซ่งอวี้ แล้วไปช่วยงานก่อสร้างที่อยู่ด้านข้าง นางกินเยอะขนาดนี้ทุกวันกลับไม่มีความสามารถอื่น ดังนั้นจึงอาสารับผิดชอบงานขนของในงานก่อสร้าง