“พวกท่านหลบออกไปก่อนและอย่าส่งเสียงอะไร หากรบกวนสมาธิของข้าจนการฝังเข็มผิดพลาด พวกท่านต้องรับผิดชอบผลที่ตามมากันเอาเอง” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างเ็าหลังจากทำการฆ่าเชื้อเข็มเงินแล้ว
“วางใจได้เลยท่านหมอเฉิน พวกเราจะไม่รบกวนท่านโดยเด็ดขาด” จีอวิ๋นโหยวและจีชิงเสวี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกัน พลางก้าวถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ เพื่อให้เยี่ยเฉินเฟิงได้ทำการรักษา
“ฟู่ ท่านเตรียมพร้อมหรือยัง ข้าจะเริ่มการฝังเข็มแล้วนะ”
เยี่ยเฉินเฟิงปรับจังหวะลมหายใจเข้าออกสักพัก ใช้ปลายนิ้วหนีบเข็มเงินจำนวนหนึ่งขึ้นมา โคจรทักษะเข็มนภาทมิฬ ส่งพลังิญญาให้ไหลเวียนไปบรรจุอยู่ภายในตัวเข็ม แล้วปักลงในแต่ละจุดปราณบนร่างกายของจีเหยียนเจิ้ง
ครู่ต่อมา ภายในร่างกายของจีเหยียนเจิ้งก็ปรากฏพลังงานความร้อนผสมปนเปกับพลังงานความเย็น แทรกซึมลึกลงไปถึงในไขกระดูกของเขา ขจัดพิษร้ายของเสียที่ยังตกค้างอยู่ภายในร่างกาย ฟื้นฟูอาการาเ็เรื้อรังในร่างกายของเขาให้ดีขึ้น
จุดลมปราณที่ถูกกระตุ้นเริ่มทวีความรุนแรง จีเหยียนเจิ้งรู้สึกราวกับว่าร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาจมดิ่งสู่ธารน้ำแข็งพันปี ส่วนอีกครึ่งหนึ่งร่วงลงในเตาเผา บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาจำนวนมาก ร่างกายที่ร่วงโรยตามกาลเวลาชักกระตุกถี่ๆ อย่างไม่อาจควบคุม
แม้ว่าวิธีการรักษาของเยี่ยเฉินเฟิงจะทำให้อีกฝ่ายเ็ปทรมานอย่างแสนสาหัส ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาดีมาก พิษตกค้างที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของจีเหยียนเจิ้งถูกขับออกมาทีละเล็กทีละน้อย เส้นลมปราณที่เคยอุดตันก็ปลอดโปร่งขึ้นมากกว่าเดิม
ทว่าอาการาเ็ของจีเหยียนเจิ้งสาหัสมากเกินไป อาศัยทักษะเข็มนภาทมิฬเพียงอย่างเดียวไม่อาจรักษาให้หายขาดได้
หลังจากใช้พลังิญญาควบคุมเข็มเงินในการรักษาอยู่นาน พลังิญญาของเยี่ยเฉินเฟิงก็ถูกเผาผลาญอย่างหนักหน่วง เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกเหงื่อชุ่มจนมองเห็นทะลุ สติสัมปชัญญะเริ่มจะสั่นคลอนเกิดอาการวิงเวียน เยี่ยเฉินเฟิงไม่คิดจะฝืนตัวเองต่อ รีบถอนเข็มเงินออกมาจากจุดลมปราณบนร่างของจีเหยียนเจิ้งทันที หยุดพักการรักษาไว้เพียงเท่านั้น
“ประมุขจี ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เยี่ยเฉินเฟิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยถามจีเหยียนเจิ้งที่ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา
“รบกวนท่านแล้ว ข้ารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” เมื่อััได้ว่าอาการาเ็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ในใจของจีเหยียนเจิ้งก็ราวกับมีคลื่นั์ก่อตัวและซัดโถม
“ท่านปู่ วิธีรักษาของท่านหมอเฉินได้ผลจริงๆ หรือ” จีชิงเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“อืม ได้ผลดีมากทีเดียว ทำให้ข้าเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งแล้ว” ใบหน้ามีริ้วรอยของจีเหยียนเจิ้งที่เริ่มมีสีเืฝาดพยักหงึกหงัก พลางกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านหมอเฉินได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์ท่านใด อายุยังหนุ่มแน่นแต่กลับมีความสามารถมากถึงเพียงนี้แล้ว”
“วันนี้จะพักการรักษาเอาไว้เท่านี้ก่อน ข้าจะเขียนเทียบยาทิ้งเอาไว้ให้ พวกท่านก็หาซื้อยาตามที่เขียนบอกไว้มาต้มให้ประมุขจีดื่มละกัน คงมีผลช่วยให้อาการดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย
เยี่ยเฉินเฟิงไม่ได้ตอบคำถามของจีเหยียนเจิ้ง เขาคว้าหยิบกระดาษและพู่กันบนโต๊ะมาขีดเขียนเทียบยาลงไป
ตัวอักษรงดงามตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้นบนแผ่นกระดาษ ลายมือสง่างามลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆคล้อย เรียบง่ายสบายตา
“ตัวอักษรดี เป็ตัวอักษรที่งดงามมาก”
จีอวิ๋นโหยวตาลุกวาวเมื่อเห็นเทียบยาที่เยี่ยเฉินเฟิงเขียนขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของตัวเทียบยาหรอก ลำพังแค่ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษนั่นก็มีค่าหลายตำลึงแล้ว
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน ข้าต้องขอตัวกลับก่อน อีกสามวันข้างหน้าข้าจะกลับมาใหม่”
เยี่ยเฉินเฟิงที่ค่อนข้างจะเหนื่อยล้าเก็บเข็มเงินลงตลับ เตรียมจะกลับออกไป
“ท่านหมอเฉิน ไม่ทราบว่าท่านพักอยู่ตรงไหนของเมืองหลวงหรือ? หากยังไม่มีที่พัก มิสู้อาศัยที่คฤหาสน์ตระกูลจีของพวกเราก่อนล่ะ” จีอวิ๋นโหยวกล่าวโน้มน้าวให้อยู่ต่อ
“ไม่เป็ไร ข้ามีที่พักแล้ว” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้ากล่าวปฏิเสธและหมุนกายเดินออกไปด้านนอก
“ถ้างั้นก็ช่างเถิด ชิงเสวี่ย ออกไปส่งท่านหมอเฉินสิ”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเฉินเฟิงพูดจบประโยคก็เดินหนีไปทันทีไม่แม้แต่จะเอ่ยคำล่ำลา จีเหยียนเจิ้งก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างจนใจ ปรายตามองจีชิงเสวี่ยพลางเอ่ยขึ้น
“อื้ม!”
จีชิงเสวี่ยเหลือบตามองแผ่นหลังอ้างว้างของเยี่ยเฉินเฟิงพลางนึกถึงตัวตนที่คลุมเครือของอีกฝ่าย ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามไปให้ทัน
เมื่อััได้ว่าจีชิงเสวี่ยเดินตามหลังมา เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่คิดจะชะลอฝีเท้าลงเลยสักนิด ทำราวกับเขาไม่รู้ตัวว่ามีสาวงามดุจนางเซียนอย่างจีชิงเสวี่ยเดินตามอยู่ด้านหลัง
“ท่านหมอเฉิน ข้ามีข้อสงสัยบางอย่าง ท่านช่วยตอบคำถามของข้าได้หรือไม่?” หลังจากเดินตามเยี่ยเฉินเฟิงทัน จีชิงเสวี่ยก็เหลือบมองใบหน้าด้านข้างที่แสนเ็าไร้อารมณ์ของเขา แอบขบเม้มปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ข้อสงสัยอะไรล่ะ?”
“ท่านหมอเฉินคือคนที่ช่วยข้ากับไป๋ซีหย่าเอาไว้ตอนที่อยู่ในหุบเขาไป๋อวิ๋นใช่หรือไม่” จีชิงเสวี่ยเอ่ยถามอย่างมีความหวัง
“ไม่ใช่หรอก เ้าน่าจะจำผิดคนแล้ว” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายศีรษะ ปฏิเสธอย่างเฉยเมย
“เอาล่ะ ถึงประตูทางออกแล้ว เชิญคุณหนูจีกลับเข้าไปเถอะ”
กล่าวจบ เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่สนใจแววตาข้องใจของจีชิงเสวี่ย เขาก้าวเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลไป๋และหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำ
มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนลับตาไป ในใจของจีชิงเสวี่ยก็รู้สึกคับข้องหมองใจเป็อย่างมาก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็ครั้งแรกที่นางถูกคนอื่นเมินเฉยขนาดนี้
นอกจากน้ำเสียงอันห่างเหินของเขาแล้ว นางััได้ว่ามีความโกรธเคืองปะปนอยู่ด้วย แต่คิดไม่ออกจริงๆ ว่านางเผลอไปล่วงเกินเขาเมื่อไหร่กัน เขาถึงได้จงเกลียดจงชังนางถึงเพียงนี้
“หรือเป็เพราะข่าวลือเื่ที่ข้ากับเยี่ยเฉินเฟิงตกลงแต่งงานกันทำให้เขาเข้าใจผิด” คิดไปคิดมา จีชิงเสวี่ยก็นึกถึงเื่ที่อาจจะเป็สาเหตุขึ้นมาได้
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ข้าจะต้องสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเขาให้จงได้ แล้วทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อข้าซะ” จีชิงเสวี่ยกำมือทั้งสองข้างแน่น ลอบสาบานกับตัวเองในใจ
หลังออกมาจากตระกูลจีแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงที่ค่อนข้างจะเหนื่อยล้าก็จับััได้ว่ามีคนสะกดรอยตามมา จึงได้หามุมที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก เตรียมจะเดินทางไปโรงเตี๊ยมเพื่อพักอาศัยและเก็บตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ที่จะจัดขึ้นในไม่ช้า
“โรงเตี๊ยมโยวอวิ๋น บรรยากาศไม่เลวเลย ่สองสามวันนี้พักอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เยี่ยเฉินเฟิงเดินมาเรื่อยๆ จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นสง่างามของสวนพืชพรรณ เขารู้สึกถูกใจที่แห่งนี้เป็อย่างมาก
“โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตระกูลเซินถูของข้าเหมาจองไว้ทั้งหมดแล้ว พวกเ้ารีบออกไปซะ อย่ามารบกวนบรรดาคุณหนูคุณชายของพวกข้า” เยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะก้าวเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยม เด็กสาวสวมชุดกี่เพ้าสีขาวลายรากบัว รูปร่างสูงเพรียว รูปโฉมงดงามพอใช้ได้คนหนึ่งออกมายืนขวางหน้าเขา นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและสีหน้าเยี่ยอหยิ่ง
“ตระกูลเซินถู ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง”
เยี่ยเฉินเฟิงพอจะรู้จักตระกูลเซินถูอยู่บ้าง รู้มาว่าพวกเขาเป็ตระกูลยุทธ์โบราณที่อาศัยอยู่รอบนอกแคว้นจื่อจิน พื้นเพของวงศ์ตระกูลอยู่เหนือกว่าสามตระกูลใหญ่ของแคว้นจื่อจิน การที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้น่าจะมาจากสาเหตุเดียวกันกับเขา คือเพื่อการทดสอบเข้าสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันหลังจากนี้
“บังอาจ เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครกัน ตระกูลเซินถูของข้าใช่สิ่งที่เ้าจะวิจารณ์ได้หรือ ยังไม่รีบขอโทษข้าอีก”
ในตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงหันหลังเดินกลับออกมา เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น เด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวทอจากแพรต่วนสีแดงสด เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนทั้งสองข้าง ใบหน้างดงามแฝงความดุร้าย นางมองเยี่ยเฉินเฟิงด้วยความโมโหพร้ะคอกถามเสียงดังลั่น
“ขอโทษ? ทำไมข้าจะต้องขอโทษด้วย?”
เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองเด็กสาวผู้เยี่ยอหยิ่งจองหองและเอาตนเองเป็ใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย เอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา
เมื่อเห็นสายตาดูแคลนของอีกฝ่ายที่มองมา เด็กสาวที่ั้แ่เล็กจนโตไม่เคยถูกใครเมินเฉยเช่นนี้ก็พลันเดือดดาล นางะโสั่ง “เ้ากล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดคุยกับข้าหรือ ข้าจะตัดขาสุนัขของเ้าทิ้งซะ”
เด็กสาวคนนั้นโมโหจนขาดสติ ปรากฏร่างจิตอสูรจิ้งจอกขาวขึ้นซ้อนทับร่างกายของนาง ก่อนที่สองขาเรียวยาวของนางจะปลดปล่อยพลังออกมาอย่างฉับพลัน ดีดตัวกระโจนลงมาจากบันไดไม้ขั้นสูงพุ่งเข้าถีบเยี่ยเฉินเฟิงพร้อมลมปราณขาอันรุนแรง
เมื่อได้ยินเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นเบื้องหน้า เยี่ยเฉินเฟิงก็เอี้ยวตัวหลบอย่างฉับไว มวลพลังงานไหลไปบรรจุอยู่ในกำปั้นข้างขวา หมัดข้างหนึ่งพุ่งออกไปชนประสานกับลมปราณขาอันรุนแรงของอีกฝ่าย จนเด็กสาวที่ะโถีบลงมาถูกซัดจนกระเด็นปลิวออกไป
“ตูม!”
เสียงข้าวของแตกกระจายดังขึ้นเกรียวกราว โต๊ะจำนวนมากถูกร่างที่ซวนเซเสียการควบคุมของเด็กสาวชนจนแตกหัก นางล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง นอนหมอบอยู่นานยังไม่อาจลุกขึ้นมาได้
เพียงหมัดเดียวก็ต่อยเด็กสาวจนกระเด็นได้ เยี่ยเฉินเฟิงกวาดสายตามองคนของตระกูลเซินถูที่ยืนอึ้งอยู่ ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปอย่างไม่รีบร้อน
