พอเฉิงชิงกล่าวว่า้าปลูกดอกไม้ที่เนินเขา ชาวนาจากตำบลอู่ซินก็ทำสีหน้าลำบากใจ
“ข้าน้อยปลูกดอกไม้ไม่เป็ นั่นเป็ของบอบบาง ข้าน้อยเป็เพียงชาวนาธรรมดาขอรับ…”
ปลูกข้าวปลูกผักนั้นเขาทำเป็ แต่ปลูกดอกไม้ไม่เป็จริงๆ
เนินเขาเล็กๆ แห่งนั้นนั้นดินไม่ดี หากสามารถปลูกพืชจนเติบโตขึ้นมาได้ก็คงถูกบุกเบิกนานแล้ว!
ที่ดินชั้นดีของหนานอี๋นั้นราคาแพง แต่เนินดินทั่วไปนั้นราคาถูก เพียงแค่เพาะปลูกติดต่อกันครบปี ถึงค่อยจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ที่ว่าการ ที่นาที่ถูกบุกเบิกที่ดินสามารถตั้งถิ่นฐานได้อย่างเป็ทางการ ดังนั้นพวกเขาจึงี้เีและไม่คิดจะบุกเบิกเนินดินรกร้าง ที่แห่งนั้นไม่อุดมสมบูรณ์เกินไป ไม่คุ้มกับแรงงาน
นายน้อยเฉิงชิงผู้นี้เกรงว่าต้นกุยช่ายกับต้นข้าวก็ยังแยกไม่ออก แต่้าปลูกดอกไม้บนเนินเขา ช่างเพ้อฝันจริงๆ
เฉิงชิงไม่รู้สึกใ
“ปลูกไม่เป็ก็เรียนรู้ บนเนินเขาต้นหญ้ายังเติบโตได้ ต้นไม้ต้นเล็กยังเติบโตได้ แล้วทำไมดอกไม้จะเติบโตไม่ได้? จะทำให้ดอกไม้เติบโตบนเนินเขาได้อย่างไรเป็เื่ที่พวกเ้าช่วยกันหาวิธี ตอนนี้ไม่ใช่่ยุ่งของการเพาะปลูก หากยินยอมบุกเบิกเนินเขาเพื่อข้า ข้าก็จะจ่ายค่าแรง เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ อุปกรณ์เครื่องมือและเชิญชาวสวนดอกไม้มาให้คำแนะนำ ทั้งหมดนี้ข้าเป็ผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น หากล้มเหลวพวกเ้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
ชาวนาเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
เฉิงชิงคือเ้าของเคหาสน์พร้อมที่นา ชาวนาพวกนี้ไม่มีที่นาภายใต้ชื่อของตนเอง ผู้ที่มีชีวิตภายใต้ที่นาชื่อของเฉิงชิงเพาะปลูกในที่นาของเฉิงชิง ทุกปีจะต้องส่งค่าเช่าให้เฉิงชิง
บางครั้งที่จับปลาได้ในลำธาร จับกระต่ายได้บนูเา ก็ยังต้องส่ง ‘บรรณาการ’ ให้แก่เฉิงชิง ด้วยกลัวว่าเฉิงชิงจะไม่ให้พวกเขาเพาะปลูกต่อ
ไม่เพียงแต่เฉิงชิง หากเปลี่ยนเป็ใครก็ตามที่เป็เ้าของที่ เหล่าชาวนาต่างปฏิบัติอย่างระมัดระวังเช่นนี้
มีเ้าของที่ดินที่โหดร้ายหรือใจกว้าง ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับดวงทั้งสิ้น
ด้วยสถานะที่แตกต่างกันทำให้ชาวนาเกรงกลัวเ้าของที่ดิน เฉิงชิงแจกแจงหน้าที่อะไรให้ชาวนาทำ จิตใต้สำนึกของพวกเขาย่อมไม่กล้าแย้ง แต่นั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยแตะต้องมาก่อน หากทำไม่ได้แล้วทำให้นายน้อยเฉิงโกรธจะทำอย่างไร?
แต่เมื่อเฉิงชิงยืนยันว่าและกล่าวว่าหากบุกเบิกพื้นที่จะได้ค่าแรง ชาวนาก็ตื่นเต้นขึ้นหลายส่วนแล้ว
ยากที่จะขุดหาของกินจากใต้ดิน หากสามารถได้เงินจำนวนมากย่อมมีคนขายแรงงาน
เฉิงชิงมองดูสีหน้าของเขาแล้วก็มีแผนการในใจ ยังกล่าวสำทับอีกประโยค
“โบราณว่าไว้ ถ้าให้รางวัลอย่างงามต้องมีผู้กล้าออกมาทำงาน ข้าไม่เพียงให้ค่าแรงพวกเ้าเท่านั้น ผู้ใดสามารถปลูกดอกไม้ให้อยู่รอดได้ ยิ่งหลายชนิดก็ยิ่งดี ข้าจะมีรางวัลเพิ่มให้อีก!”
เมื่อกล่าวคำพูดนี้ สองตาของชาวนาก็เปล่งประกายดังเปลวเทียน กระตือรือร้นที่จะบุกเบิกพื้นที่ในทันที
ซือเยี่ยนมองอย่างไม่เข้าใจ
นายน้อยเฉิงชิง้าทำอะไรกันแน่!
ยามปกตินอกจากเื่อาหารการกินแล้ว นายน้อยก็ไม่สนอย่างอื่นนัก เหตุใดจึงคิดจะปลูกดอกไม้ขึ้นมา?
การวางตัวอย่างบัณฑิตไม่ค่อยเข้ากับนายน้อยเฉิงชิงนัก นายน้อยมักจะเน้นลงมือปฏิบัติจริงโดยตลอด
หาก้าจะปลูกดอกไม้ให้เต็มเนินเขา เหตุใดถึงต้องจ่ายหลายร้อยตำลึงเงิน จ่ายเงินมากมายขนาดนี้ ความเครียดของนายน้อยจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ซือเยี่ยนยังไม่ทันคิดออก พลันได้ยินเฉิงชิงก็เรียกชื่อตน
“ซือเยี่ยน ข้าคิดจะมอบหมายเื่นี้ให้เ้ารับผิดชอบ เ้าคิดว่าจะสามารถทำได้หรือไม่? ข้าต้องได้เห็นดอกไม้ที่ปลูกชุดแรกออกดอก อย่างช้าที่สุดคือฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า”
“ข้าน้อยยินดีทำเพื่อนายน้อยอย่างเต็มที่!”
ดูท่าแล้ว หลังจากนี้เขาก็จะเป็ผู้ช่วยทำสิ่งเหล่านี้แทนนายน้อย ส่วนซือโม่อยู่ข้างกายนายน้อย ซือเยี่ยนไม่มีอะไรให้ลังเล พอเขามีหน้าที่รับผิดชอบหน้าที่ในมือ จากเด็กรับใช้ก็กลายเป็ผู้จัดการแล้ว เพียงแต่ยามนี้สมบัติตระกูลในหนานอี๋ของครอบครัวเฉิงชิงมีเพียงเคหาสน์พร้อมที่นาหนึ่งร้อยหมู่ อำนาจของซือเยี่ยนจึงค่อนข้างน้อย
พอเฉิงชิงมีทรัพย์สินตระกูลเพิ่มมากขึ้น ซือเยี่ยนย่อมได้ดีตามไปด้วย
เด็กที่เกิดในครอบครัวรู้หนังสือแตกต่างกับชาวนาในที่นาเพาะปลูก นางไม่จำเป็ต้องกระตุ้นเป็พิเศษ เฉิงชิงชอบความกล้ารับผิดชอบในหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของซือเยี่ยน
“ข้าจะให้เงินสองร้อยตำลึงเงินแก่เ้าก่อน ก่อนหน้านั้นรวบรวมคนมาบุกเบิกพื้นที่ อย่าลืมหาคนสวนดอกไม้ด้วย”
เฮ้อ นางยังไม่มีโอกาสได้ใช้จ่ายเงินสองร้อยตำลึงเงินที่ได้จากมือเ้าอ้วนชุยเลย แต่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องคิดถึงเงินลงทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใน่แรก
แต่เงินสองร้อยตำลึงเงินไม่พอจะเปิดกิจการนี้ นางยังต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อหาเงินทุนเริ่มต้น
กลับไปขอเงินจากคนในครอบครัวไม่น่าได้ นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามทำงานเย็บปักหาเลี้ยงชีพ รวบรวมเงินจากที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมาส่งนางเล่าเรียน ปีหน้าจะไปสอบที่ไหนก็ล้วนต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น หากนางหลิ่วรู้ว่านางจ่ายเงินจำนวนมากมายขนาดนี้เพื่อปลูกดอกไม้ คงได้ร้อนใจเป็แน่
ดังนั้นนอกจากขาดเงินแล้วนางยังต้องคิดหาวิธีเองด้วย
เฮ้อ ทุกวันนี้ทุกข์ทนอยู่ในสถานศึกษา อยากหาเงินก็ยาก แคว้นเว่ยไม่เหมือนยุคสมัยปัจจุบันที่ข่าวสารก้าวไกล หากเงินไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวก็สามารถหาเงินได้ หากคิดจะได้เงินจากการค้าขายย่อมต้องเป็นางที่วิ่งไปหาโอกาสทางธุรกิจเอง
แต่นางเพียงคนเดียวก็ไม่อาจแบ่งสมองเป็สองส่วนได้ เงื่อนไขก่อนหน้าในการรวบรวมทรัพย์สินตระกูลคือไม่อาจทำให้การเรียนล่าช้า นี่ค่อนข้างน่ากังวลแล้ว... ถึงอย่างไรพวกโง่ที่ใช้แต่เงินตามคนอื่นไม่ทันแบบเ้าอ้วนชุยเช่นนั้นก็เห็นได้น้อย เฉิงชิงรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
ตอนกลางคืนยามนางทำบัญชีปลอมก็ถอนหายใจสั้นบ้างยาวบ้าง เมิ่งไหวจิ่นจึงวางพู่กันลงแล้วมองนาง
คืนที่เฉิงชิงทำบัญชีปลอม เมิ่งไหวจิ่นก็จะอยู่ในสถานศึกษาด้วย ทั้งสองคนไม่ก่อกวนกันและยังหลีกเลี่ยงการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
เฉิงชิงหัวเราะอย่างเขินอาย “ศิษย์พี่เมิ่ง ข้าเพียงแค่…”
“เ้าเพียงแค่ฝึกคัดตัวอักษรมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีพัฒนาการ ละทิ้งความอดทนแล้ว?”
หืม?
ไม่ได้คัดตัวอักษรอยู่นะ นางทำบัญชีปลอมอยู่โอเคไหม เพื่อความรวดเร็ว นางไม่สนใจที่ลายมือจะอ่านไม่ออก… เดี๋ยวนะ สีหน้าของเมิ่งไหวจิ่นค่อนข้างแปลก
สติสัมปชัญญะของเฉิงชิงตึงเครียดในชั่วพริบตา เมิ่งไหวจิ่นออกห่างโต๊ะหนังสือ หยิบดาบบนกำแพงลงมาแล้ว
หยิบดาบมาทำอะไร ตลอดเวลามานี้นางนึกว่าดาบที่แขวนบนกำแพงนั้นคือของตกแต่ง!
เงาคนแวบผ่านสายตานางไป เมิ่งไหวจิ่นไปถึงด้านนอกห้องแล้ว เร็วขนาดที่เฉิงชิงตาลาย
ประกายดาบแวบไปมาหลายครั้ง ภายในเรือนเกิดเสียงกรีดร้องดังก้องขึ้น กลุ่มก้อนสีดำและกลมสิ่งหนึ่งตกจากยอดกำแพง เมิ่งไหวจิ่นสวมชุดยาวแขนเสื้อเปิดกว้าง ถือดาบเป็แนวตั้งแล้วกดปลายดาบไปยังลำคอของเงาดำ เพียงการขยับเล็กน้อยก็สามารถแทงลำคอของอีกฝ่ายเกิดเป็รูเืได้แล้ว
“ศิษย์พี่!”
เฉิงชิงป้องกันประตูอยู่จึงไม่กล้าขยับ
นางกลัวว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามาในสถานศึกษา กลัวกว่าโจรที่แอบในความมืดจะชิงลงมือกับนาง สมุดบัญชีนั้นสำคัญ แต่ชีวิตของนางสำคัญยิ่งกว่า!
“ศิษย์น้องเฉิงอยู่กับที่อย่าขยับ โจรผู้นี้ถูกข้าจับตัวไว้แล้ว ผู้คุ้มกันของสถานศึกษาได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วจะรีบมา ข้าจะดูว่าผู้ใดที่กล้าบุกรุกสถานศึกษา!”
โอ๊ะ คนของสถานศึกษาจะมาด้วยหรือ?
เฉิงชิงรีบคว้าสมุดบัญชีไปซ่อนทันที
เงาดำที่ถูกเมิ่งไหวจิ่นชี้ใช้มือหนึ่งข้างจับบ่า เืที่ไหลผ่านซอกนิ้วของเขาหยดติ๋งๆ เมื่อได้ยินว่าผู้คุ้มกันของสถานศึกษาจะมา สุดท้ายก็สงบนิ่งต่อไปไม่ไหว
“ศิษย์พี่เมิ่ง เป็ข้าเอง…”
เมิ่งไหวจิ่นไสดาบเข้าไป “หยุดเรียกมั่วซั่ว ข้าผู้แซ่เมิ่งไม่มีศิษย์น้องเป็โจร”
เงาดำโกรธเคืองสุดชีวิต ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย
“ข้าเอง อวี๋เสี่ยน!”
เฉิงชิงคาดไม่ถึง
เมิ่งไหวจิ่นจับโจร แต่กลับจับได้อวี๋ซานแทน?
ตอนกลางคืนอวี๋ซานไม่หลับไม่นอน ทำลับๆ ล่อๆ ปีนยอดกำแพงของเมิ่งไหวจิ่นทำอะไร ถ้าจะขโมยบุปผาลักหยก[1]ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะลงมือกับเมิ่งไหวจิ่น เฉิงชิงถูกความคิดของตนเองทำให้หนาวะเื เดี๋ยวก่อน ที่นางรู้สึกว่าถูกคนจ้องมองใน่หลายวันนี้ อย่าบอกนะว่าจะเป็อวี๋ซาน?
เฉิงชิงนำเชิงเทียนไปยังประตูทางเข้า พอแสงเทียนส่องสว่าง นางก็เห็นอวี๋ซานหมอบอยู่บนพื้นในสภาพทุลักทุเล
“อวี๋ซาน ข้าสงสัยว่าสมองของเ้าจะมีปัญหาจริงๆ ศิษย์พี่ขอรับ ส่งตัวเขาให้สถานศึกษาดีกว่า มาโดยไม่ได้รับเชิญก็คือโจร!”
อวี๋ซานกอดไหล่ “เ้าและศิษย์พี่เมิ่งสิที่ทำลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ทำอะไรกิจลับอะไรอยู่ที่ให้ใครเห็นไม่ได้——”
เมิ่งไหวจิ่นสะบัดข้อมือ เอาดาบไปใกล้หนังศีรษะของอวี๋ซานแล้วตัดผมทิ้งกระจุกใหญ่
“เ้าหาเื่เฉิงชิงที่สถานศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า ยั่วยุเขาไปทุกที่ เฉิงชิงไม่จัดการเ้าไม่ใช่เพราะเ้าเก่งกาจ แต่เป็เพราะเ้ามีบิดาดี อวี๋ซาน เ้าไม่ควรล่วงเกินถึงข้า ถึงข้าพลั้งสังหารเ้าแล้วก็ยังสามารถไปอธิบายต่อหน้าใต้เท้าอวี๋ได้ เ้าเชื่อหรือไม่?”
[1] ขโมยบุปผาลักหยก หมายถึงการมีความสัมพันธ์ลับระหว่างชายหญิง
