ต้องบอกว่า บนตัวอาจารย์อวี้ผู้นี้มีกลิ่นอายของปัญญาชนโดยธรรมชาติจริงๆ แม้แต่เยวี่ยเจาหรานบุตรชายของมหาบัณฑิตเยวี่ยผู้ที่เรียกได้ว่าเป็บัณฑิตอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงก็ยังอยากจะคารวะให้สักสามครั้งอย่างอดไม่ได้ แต่ความถือทิฐิและความตรงไปตรงมาที่เป็ลักษณะเฉพาะของปัญญาชนบนตัวเขา กระทั่งเยวี่ยเจาหรานเองเห็นแล้วยังรู้สึกหงุดหงิด ไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้เป็ ‘นักรบ’ ที่ถือคติว่า ‘ผู้ที่ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากอ่านหนังสือนั่นคือนักปราชญ์’
ชั่วขณะนั้น เยวี่ยเจาหรานถึงได้เข้าใจเหตุผล ว่าเหตุใดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพียงแค่พบกับอาจารย์อวี้ก็พลันเกิดความตึงเครียดขึ้นมา และไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้
แต่การขอร้องให้คนช่วยก็ควรมีท่าทีอย่างคนมาขอร้อง ชายชาตรีอย่างเยวี่ยเจาหรานนั้นคือผู้มีศักยภาพในการยืดหยุ่นตามสถานการณ์อย่างเต็มเปี่ยม อย่างไรเสียเพื่อน้องสาวและตระกูลของตน แม้แต่การแสดงเป็ผู้หญิงเขาก็ยังทำได้เลยไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นเยวี่ยเจาหรานในตอนนี้แม้จะถูกโจมตีไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ยึดพื้นที่ไปง่ายๆ ถึงอย่างไรไม้ตายของตนก็ยังไม่ได้สำแดงออกมา จะยอมถูกตีพ่ายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
เยวี่ยเจาหรานโค้งคำนับให้กับอาจารย์อวี้ก่อน หลังจากนั้นถึงเอ่ย “มิกล้าเ้าค่ะ ท่านอาจารย์อวี้คือปราชญ์แห่งวงการการศึกษา ผู้คนต่างเคารพเลื่อมใส้าพึ่งพิง แม้แต่สามีของข้าเอง ก็คารวะเป็ศิษย์ของท่าน โดยหลักการแล้ว ข้าน้อยเองก็ควรจะเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ จึงจะตรงตามธรรมเนียม แล้วจะกล้าข่มขู่ท่านได้อย่างไรล่ะเ้าคะ?”
‘การบุกพิชิตอาจารย์อวี้’ ขั้นแรก คำเยินยอ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี คำพูดหวานหูใครเล่าจะไม่ชอบฟัง โดยเฉพาะปัญญาชนที่ถือหน้าตาเป็ที่สุด พวกเขาชอบที่จะฟังผู้อื่นชื่นชมตนเอง และคำชื่นชมนั้นจะต้องมีชั้นเชิง ทำให้พวกเขายากที่จะแยกแยะว่าจริงหรือหลอก นานเข้าก็จะ ‘เข้าใจผิด’ คิดว่าตนยอดเยี่ยมตามคำเยินยอของผู้อื่นจริงๆ
ท่าทีของอาจารย์อวี้กลับคืนมาเล็กน้อย เยวี่ยเจาหรานรู้ว่าหมากตานี้ได้ผล รู้สึกขอบคุณในใจที่อาจารย์อวี้ผู้นี้เป็ ‘คนอวดดี’ ไม่ต่างจากบิดาของตนนัก และชอบที่จะฟังผู้อื่นสรรเสริญเยินยอ ใช้อุบายเดียวกับที่ใช้รับมือบิดามารับมือเขาย่อมไม่พลาดแน่นอน
“อาจารย์? ข้ามิกล้าเป็หรอก วันนี้ขุนพลน้อยเยี่ยนก็บอกแล้วว่าข้าสอนเขา ก็เป็การเสื่อมเสียตำราปราชญ์ของบรรพชน!” สุดท้ายอาจารย์อวี้ก็ยังคงหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ เอ่ยคำพูดประชดประชันอย่างปากคอเราะราย แต่ละคำดั่งคมดาบทิ่มแทงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่อยู่ตรงนั้นเข้าอย่างจัง
เยวี่ยเจาหรานสีหน้ายิ้มแย้ม แทบอยากก้มหัวคารวะตรงหน้าอาจารย์อวี้เสียเดี๋ยวนั้น เขาคิดอยู่นานแต่ก็ยังอดทนไม่ยอมละทิ้งความหยิ่งในเกียรติของตนมากนัก “มนุษย์มักผิดพลาด จึงจะแก้ไขให้ถูกต้องได้ รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่ายอดเยี่ยมนัก”
แต่ดูเหมือนเมื่ออาจารย์อวี้ได้ยินคำพูดที่ไร้เหตุผลเช่นนั้นแล้ว กลับทำให้เขาเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อ ‘แม่นาง’ ผู้นี้ไม่น้อย เขาคิดว่าผู้หญิงไร้สามารถถือเป็จรรยา ทว่า ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ผู้นี้ก็น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ มีคารมคมคายไม่พอ ยังตอบกลับด้วยภาษาของนักปราชญ์ นับเป็ผู้รู้ เก่งกาจกว่าสามีไร้แววผู้นั้นของนางมากนัก
“อวิ๋นเฟยกลับไป เขาเองก็รู้สึกเสียใจมาก เพียงแต่เก้อเขินเกินกว่าจะมาขอขมาท่าน จึงขอให้ข้าออกหน้าให้ ท่านอาจารย์อวี้ ท่านเป็ผู้ใหญ่อย่าได้เอาความกับผู้น้อยเลย ปล่อยเขาไปสักครั้งเป็อย่างไรเ้าคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยวี่ยเจาหรานไม่แปรเปลี่ยน ยามเอ่ยคำพูดเองก็เคารพนอบน้อม ไม่กล้าทำเมินเฉยเลยแม้แต่น้อย อาจารย์อวี้สะบัดแขนเสื้อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วนั่งกลับลงที่เดิม แม้ว่าน้ำเสียงจะยังคงเฉยเมย แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่ไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด “ข้าอวี้ เป็เพียงคนธรรมดาในเจียงหนาน ทั้งยังเป็เมืองที่ค่อนข้างเล็ก ทว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวงแห่งนี้ กลับถูกนักเรียนคนหนึ่งล้อเลียนปั่นหัว... เ้าคิดว่า นี่เป็สิ่งที่คนเป็ครูพึงได้รับหรือไม่?”
“ในใจท่านกรุ่นโกรธ ข้าเข้าใจ อวิ๋นเฟยเองก็รู้ดี หากท่านพึงใจภาพวาดของจ้าวอารามดอกท้อ [1] วันนี้ข้าได้เตรียมของขวัญเล็กน้อยมาให้ ขอท่านอย่าใส่ใจ วันหน้าหากมีโอกาส อวิ๋นเฟยก็จะมาขอขมาท่านต่อหน้าเช่นกัน”
ได้เวลาแสดงฝีมือที่แท้จริงแล้ว! ดวงตาเรียวเล็กของเยวี่ยเจาหรานหรี่ลง รู้ว่าเวลามาถึงแล้ว จึงหยิบของขวัญที่ตนนำมาออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส ของขวัญพิเศษเพื่ออาจารย์อวี้โดยเฉพาะ “ภาพวิจิตรขุนเขา” อันโด่งดังของถังหยิน! จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ยกนี้แล้ว ประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยจริงๆ !
เยวี่ยเจาหรานค่อยๆ คลี่ “ภาพวิจิตรขุนเขา” ในมือออก จากนั้น ผลงานจริงของถังหยินก็เผยออกมาเบื้องหน้าของอาจารย์อวี้ “นี่คือ ‘ภาพวิจิตรขุนเขา’ อันโด่งดังของถังหยินเ้าค่ะ ข้าคิดว่าท่านอาจารย์อวี้นั้นเป็บัณฑิต มีความเข้าใจในภาพวาดและอักษรวิจิตรเหล่านี้เป็อย่างดี หวังว่าภาพนี้ จะสามารถทำให้ท่านใจเย็นลง และให้อภัยอวิ๋นเฟย...”
เขาเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย ทั้งไม่เป็การบีบบังคับและไม่ได้ขอร้องวิงวอนอย่างชัดเจน เพียงแต่เป็การติดสินบนเล็กๆ น้อยๆ อย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ในเมื่อของขวัญก็เป็ที่ต้องใจ ทั้งมือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ [2] แม้อาจารย์อวี้จะเย่อหยิ่งเพียงใด ก็ไม่สมควรจะทำให้หญิงสาวลำบากใจมากไปกว่านี้ไม่ใช่หรือ?
ถึงแม้ในใจนั้นจะยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย แต่เสน่ห์ของภาพวิจิตรขุนเขานั้นก็ทำให้เยวี่ยเจาหรานรู้สึกมั่นใจขึ้นมาไม่น้อยจริงๆ เขาสันนิษฐานว่าทันทีที่ภาพนี้ปรากฏ เื่ก็ได้สำเร็จไปแล้วสองในสามส่วน คงจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว
“ภาพวิจิตรขุนเขา? เ้ามีภาพนี้ได้อย่างไร!”
สิ่งที่เยวี่ยเจาหรานคาดไม่ถึงก็คือ อาจารย์อวี้ผู้แสดงท่าทีเฉยเมยต่อผู้อื่นมาตลอดจะถึงกับละทิ้งการควบคุมสีหน้าไปด้วย ‘ความลุ่มหลง’ ในภาพวิจิตรขุนเขา เขาพลันดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นจึงปราดเข้าไปตรงหน้าของเยวี่ยเจาหรานได้อย่างไรก็ไม่รู้ ดวงตาแทบจะติดอยู่บนภาพวิจิตรขุนเขาภาพนั้นไปแล้ว
เยวี่ยเจาหรานสงบอารมณ์ ก้าวถอยไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ย “ข้ากับอวิ๋นเฟยเพียงบังเอิญเจอภาพนี้เข้า เพียงแต่เกรงว่าพวกเรานั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาพวาดของท่านถังหยินมากนัก หากเก็บไว้กับเราก็คงจะเป็ดั่งวานรได้แก้ว ช่างน่าเสียดายยิ่ง...”
ไม่รู้ว่าหากมหาบัณฑิตเยวี่ยผู้เป็เ้าของที่แท้จริงมาได้ยินคำพูดนั้นเข้า คงจะก่นด่าลูกชายของตนว่าเห็นขี้ดีกว่าไส้หักหลังกันได้ลงคอ ถึงกับกล้าพูดว่าผลงานจริงของถังหยินมาอยู่ในมือบิดาตนแล้วเหมือนไก่ได้พลอยวานรได้แก้ว น่าเสียดายยิ่ง?!
แต่โชคยังดี ที่มหาบัณฑิตเยวี่ยไม่ได้ยิน ยิ่งไปกว่านั้นหาก “ภาพวิจิตรขุนเขา” นี้สามารถทำให้เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ก็ถือเป็กุศลกรรมเื่หนึ่ง ไม่แน่ว่าแม้แต่ตัวถังหยินเองที่สู่สุขคติไปแล้วก็ยังยิ้มปริ่มอิ่มบุญไปด้วยเลยกระมัง?
ไม่รู้ว่าคำเยินยอไม่กี่คำหลังของเยวี่ยเจาหรานนั้นได้เข้าหูของอาจารย์อวี้ที่กำลังจดจ่ออยู่กับภาพวาดผู้นั้นหรือไม่ เห็นเพียงดวงตาทั้งสองของเขาเอาแต่จ้องเขม็ง “ภาพวิจิตรขุนเขา” อย่างเอาเป็เอาตาย มือเมื่อได้ััก็ไม่ยอมปล่อยอีกเลย ในใจของเยวี่ยเจาหรานแม้จะเ็ปแต่ก็รู้สึกพึงพอใจเล็กน้อยเช่นกัน อดไม่ได้ที่เอ่ยซ้ำไปซ้ำมาในส่วนลึกของจิตใจ พูดพันคำเอ่ยหมื่นครั้ง สินบนนี่แหละมีประโยชน์ที่สุด
ภาพวิจิตรขุนเขาที่ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยช่วยให้เยวี่ยเจาหรานถอนตัวออกมาได้ เขาออกจากห้องอาจารย์อวี้ด้วยจิตใจเบิกบาน ส่วนหายนะที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก่อไว้นั้น แน่นอนว่าได้ภาพนั้นช่วยคลี่คลายไปพอสมควรแล้ว คราวนี้ต้องขอบคุณเยวี่ยเจาหรานที่กอบกู้สถานการณ์ไว้ได้จริงๆ
เพียงแต่ว่า อาจารย์อวี้เป็คนที่จะผ่านไปได้ง่ายๆ เสียที่ไหน ยิ่งกว่านั้นก็ควรจะให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วชดใช้ในเื่ที่ทำลงไปด้วยความหุนหันพลันแล่นเสียบ้าง แม้ครั้งนี้เยวี่ยเจาหรานขโมยภาพของบิดาตนมาช่วยนางแก้ไขปัญหาได้ แล้วครั้งหน้าล่ะ? ถังหยินในครั้งหน้าจะให้เยวี่ยเจาหรานไปขโมยมาจากที่ไหนอีก?
เื่ทุกเื่ขอแค่จำได้เพียงหนึ่งครั้ง อีกร้อยครั้งต่อไปก็จะไม่พลาดอีก ระหว่างทางกลับไปยังเรือนปีกตะวันออก เยวี่ยเจาหรานเองก็สาบานกับตนเองว่าจะต้องให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปขอโทษอาจารย์อวี้ให้ได้ มีเพียงแบบนี้เท่านั้นนางถึงจะหลาบจำ คราวต่อไปหากก่อเื่อีกก็จะได้คำนึงถึงความอับอายขายหน้าที่ตนต้องไปขอขมา และไม่ทำตัวเหลวไหลไม่ยั้งคิดอีก
เชิงอรรถ
[1] จ้าวอารามดอกท้อ (桃花庵主) ฉายาของถังหยิน (ถังป๋อหู่)
[2] มือที่ยื่นไปย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ (伸手不打笑脸人) หมายถึงหากทำผิดแล้วยอมรับผิดแต่โดยดี อีกฝ่ายย่อมไม่อาจใจแข็งกระทำการรุนแรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้