เมืองมู่เหย่ถูกทำลายก็ดี ตระกูลหนานกงและสำนักกระบี่ิญญา้าฆ่าเขาก็ดี จ้านอู๋มิ่งล้วนมิทราบเื่ และเขาก็แยแสสนใจ เวลานี้จ้านอู๋มิ่งมาถึงหนึ่งแสนมหาบรรพตของสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้ว
สำนักบริบาลเดรัจฉานตั้งอยู่ในเทือกเขาทางตอนใต้ของแคว้นมหาจักรพรรดิอ้านเยวี่ยตี้กั๋ว ตำนานเล่าว่าเทือกเขานี้ทอดยาวหลายหมื่นลี้ ยาวมิน้อยกว่าเทือกเขาป่าสัตว์อสูรของแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว ส่วนหนึ่งของเทือกเขาอยู่ในแคว้นชางเหยียน ส่วนใหญ่อยู่ในแคว้นมหาจักรพรรดิอ้านเยวี่ยตี้กั๋ว
สำนักบริบาลเดรัจฉานมีศักดิ์ฐานะเหมือนดั่งสำนักผู้พิทักษ์ดินแดนแคว้นมหาจักรพรรดิอ้านเยวี่ยตี้กั๋ว มีคำกล่าวว่าหนึ่งแสนมหาบรรพตหนึ่งแสนยอดเขา สำนักบริบาลเดรัจฉานเป็จ้าวแห่งรัตติกาลอยู่เพียงหนึ่งเดียว ความเกี่ยวข้องแตกต่างกับสำนักกระบี่ิญญาและแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว เนื่องเพราะสัตว์อสูรพาหนะจิติญญาแทบทั้งหมดของแคว้นมหาจักรพรรดิอ้านเยวี่ยตี้กั๋วล้วนมาจากสำนักบริบาลเดรัจฉาน นี่ก็เป็หนึ่งในเหตุผลที่แคว้นมหาจักรพรรดิเฮยอ้านตี้กั๋วสามารถผงาดยืนหยัดอยู่อย่างแข็งแกร่ง แต่ละแคว้นมหาจักรพรรดิล้วนมีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของตน กองทัพแข็งแกร่งไร้เทียมทานในดินแดนแคว้นมหาจักรพรรดิเฮยอ้านตี้กั๋วก็คือกองทัพอัศวินรัตติกาล
จ้านอู๋มิ่งเข้าสู่สำนักบริบาลเดรัจฉานด้วยประวัติล้ำเลิศ เข้าเป็ศิษย์หลักของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เป็ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าาุโทั้งสาม ได้รับมอบยอดเขาหลิงเฟิง ยิ่งใหญ่อลังการสุดเปรียบปาน สำหรับพิธีการเปิดประตูสำนักรับลูกศิษย์อย่างเป็ทางการ แม้กระทั่งราชันแห่งรัตติกาลจากแคว้นมหาจักรพรรดิเฮยอ้านตี้กั๋วก็ยังทรงเสด็จมาร่วมงานด้วยพระองค์เอง กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดเปรียบปาน
ครั้งนี้สำนักบริบาลเดรัจฉานได้รับผลลัพธ์มากมายในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว จำนวนศิษย์อัจฉริยะยังมากกว่าสำนักิญญาเร้นลับ สำนักใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้าเสียอีก ขณะเดียวกันยังได้จ้านอู๋มิ่งราชันแห่งอัจฉริยะของแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วมาเป็ศิษย์อีกด้วย สิ่งนี้ทำให้เลวี่ยเหวินซิวและฉินจวิน ผู้าุโสองซึ่งรับผิดชอบการรับศิษย์ในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วหน้าชื่นตาบานยิ่งนัก ควรทราบว่า ในอดีตสำนักบริบาลเดรัจฉานรับศิษย์นอกเหนือจากได้เปรียบเล็กน้อยในแคว้นมหาจักรพรรดิรัตติกาลแล้ว ในแคว้นมหาจักรพรรดิอื่นๆ ล้วนมีผลลัพธ์จำนวนจำกัด แต่ว่าครั้งนี้ผลงานยังดีกว่าการรับสมัครในแคว้นมหาจักรพรรดิรัตติกาลเสียอีก
……
สองเดือนต่อมา
ณ ยอดเขาฟ้าหอมขจรของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ผู่สือหน้านิ่วปานร่ำไห้แต่ไร้น้ำตาเผชิญหน้ากับฉางชิงจื่อ เ้าสำนักที่ใบหน้าเขียวคล้ำ คร่ำครวญว่า “ศิษย์พี่เ้าสำนัก ท่านดู หญ้าสัตว์อสูรเก้าดาราเหลือเพียงไม่กี่ต้นแค่นี้แล้ว เดือนนี้สามารถผ่อนผันสักหน่อยได้หรือไม่……”
“สวนสมุนไพรฟ้าหอมขจรคือรากฐานของสำนักบริบาลเดรัจฉานเรา หญ้าสัตว์อสูรเก้าดารานี้ยิ่งเป็สิ่งล้ำค่าของสำนักอีกด้วย เห็นชัดว่าเดือนที่แล้วยังมีนับร้อยต้นที่กำลังจะกลายเป็เก้าดารา ไฉนตอนนี้เหลือไม่กี่ต้นแค่นี้แล้ว? พวกเราควรทำเช่นไรกับธูปหอมสัตว์อสูรของเดือนนี้? ” สีหน้าของฉางชิงจื่อก็ครึ้มทะมึนแล้ว ปริมาณผลผลิตหญ้าสัตว์อสูรเก้าดาราลดลงติดต่อกันมาสองเดือน และปริมาณผลผลิตลดลงอย่างมาก ทำให้เขาขุ่นข้องรำคาญยิ่งนัก ถ้ามิใช่เพราะแต่เดิมมีธูปหอมสัตว์อสูรสะสมอยู่ไม่น้อย เกรงว่าเดือนนี้ของต้องขาดแคลนแล้ว ธูปหอมสัตว์อสูรเป็โอสถที่ศิษย์สำนักนิยมใช้กันมากที่สุด ถ้าของสิ่งนี้ขาดแคลนขึ้นมา แม้แต่เขาที่เป็เ้าสำนักคนนี้ก็ต้องปวดศีรษะแล้ว ถ้ามิใช่เพราะตู้เทียนซิงร้องเรียนขึ้นมา เขาก็ยังไม่ทราบเื่นี้เลย
“เ้ารู้จักแต่เอ็นดูจ้านอู๋มิ่งคนนี้ เขาเป็ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานเรา ศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือก็มิใช่ศิษย์ของสำนักแล้วหรือ? หากไม่มีธูปหอมสัตว์อสูรขึ้นมา พวกเขาจะระดมสัตว์อสูรจิติญญาได้อย่างไร? พาพวกมันออกไปฝึกฝนอย่างไร? ” ตู้เทียนซิงโกรธเคืองมาก จ้านอู๋มิ่งเพิ่งเข้าสำนักได้สองเดือน กลับนำเอาหญ้าสัตว์อสูรเก้าดารามากมายไปถึงเพียงนี้ นี่ยังมิต้องพูดถึงหมอนั่นแทบจะเป็บรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่ ไปถึงที่ใดล้วนทำให้ที่นั้นปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด วันนี้สัตว์อสูรจิติญญาพิทักษ์ูเาที่นี่หายไป พรุ่งนี้สัตว์อสูรจิติญญาตัวโปรดูเานั้นถูกลักพาตัวไป พอสัตว์อสูรจิติญญาหายไป ไปหาที่ยอดเขาพันใบไม้ของจ้านอู๋มิ่งต้องเจออย่างแน่นอน
ที่ทำให้เ้าของสัตว์อสูรจิติญญาพูดไม่ออกมากที่สุดก็คือ หลังจากสัตว์อสูรจิติญญาของตนถูกจ้านอู๋มิ่งลักพาตัว เวลาที่ไปตามกลับมาจากยอดเขาพันใบไม้ สัตว์อสูรจิติญญากลับสนิทกับจ้านอู๋มิ่งมากกว่าเ้าของเสียอีก รั้งอยู่ที่นั่นมิยินยอมกลับูเาแล้ว……
ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานโกรธแล้ว แต่ว่าทำสิ่งใดจ้านอู๋มิ่งไม่ได้ เพราะเหตุใดนะหรือ? เนื่องเพราะสัตว์อสูรจิติญญาพิทักษ์ยอดเขาพันใบไม้ของจ้านอู๋มิ่งคือสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว นั่นคือสัตว์อสูรจิติญญาที่เพิ่งจะทะลวงด่านระดับห้าสำเร็จเชียวนะ ไม่มีฐานบ่มเพาะจักรพรรดิาระดับขั้นกลาง ผู้ใดจะไปสู้กับสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวได้ล่ะ! ไปยืมตัวสัตว์อสูรมาต่อสู้เถอะ ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม สัตว์อสูรที่ท่านนำมาต่อสู้ยังมิทันได้ลงมือใดเลย ก็ทรยศหนีไปแล้ว จากนั้นยอมรับจ้านอู๋มิ่งเป็เ้านายแล้ว หากสัตว์อสูรจิติญญาคู่หูของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทรยศหนีไปแล้ว ก็เหมือนกับถูกตัดสองแขนขาดไป แล้วต่อไปจะทำเช่นไรดีล่ะ?
สองเดือนผ่านไป ทั้งคนระดับบนล่างของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนรู้จักจ้านอู๋มิ่งแล้ว ลูกศิษย์ไปร้องเรียนที่ยอดเขาเปลวเพลิงโหมกระหน่ำของเลวี่ยเหวินซิวทุกวัน แต่เลวี่ยเหวินซิวมิได้พูดอะไร บอกว่ากำลังกักตัวเข้าด่านฝึกฌาน ยามกะทันหันออกมาไม่ได้ ผู้ใดมิทราบเลวี่ยเหวินซิวหลบหน้ามิกล้าพบปะผู้คนเล่า! คำร้องเรียนมากเกินไปแล้ว แต่ลูกศิษย์คนนี้เป็คนโปรดหัวแก้วหัวแหวน ปฏิเสธคำร้องเรียนหรือ คาดว่าเ้าสำนักจะต้องลดสถานะของยอดเขาเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างดุดัน รับคำร้องเรียนไว้หรือ แล้วจะไปอธิบายให้ศิษย์ฟังอย่างไรล่ะ? ไหลเลยจะตัดใจไปพูดจาตำหนิศิษย์คนโปรดได้ลงคอเล่า พูดขึ้นมาแล้วเด็กฝึกงานคนนี้กำลังนำเสนอการแสดงดีๆ เหล่าบรรดาศิษย์และคนในสำนักบริบาลเดรัจฉานที่ระดับต่ำกว่าจักรพรรดิาแห่งนิกายอสูร มิว่าผู้ใดพอได้ยินว่าจ้านอู๋มิ่งกำลังจะไปหา ล้วนตื่นเต้นกันแทบตาย นำสัตว์อสูรจิติญญาในเรือนของตนทั้งหมดเข้าไปอยู่ในถ้ำเหมือนกับป้องกันขโมยก็ปาน ไม่ให้ออกมาข้างนอก นอกจากนี้จ้านอู๋มิ่ง้าไปเยี่ยมเยียนยอดเขาผู้อื่น แทบมิมีผู้ใดกล้าปฏิเสธ ถ้าวันนี้ปฏิเสธพรุ่งนี้ก็จะสูญเสียสัตว์อสูรจิติญญา นั่นก็มิใช่เื่สนุกแล้ว ดังนั้นสถานที่จ้านอู๋มิ่งผ่านไปล้วนโอดครวญร้องทุกข์กันเป็แถว
ตู้เทียนซิงมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับจ้านอู๋มิ่ง ศิษย์ของตนหลายคนล้วนถูกจ้านอู๋มิ่งเอาเปรียบ เสียรู้ให้กับจ้านอู๋มิ่ง ลูกศิษย์มาร่ำไห้ร้องทุกข์กับตน เขาบันดาลโทสะขึ้นมาจึงไปหาเลวี่ยเหวินซิว ผู้ใดจะไปทราบว่าไอ้เฒ่าคลั่งจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา มิสนใจทั้งไม้แข็งไม้อ่อน เขาโกรธจนแทบจะลงไม้ลงมือต่อสู้กับเลวี่ยเหวินซิวขึ้นมาแล้ว เขาก็ทราบเช่นกัน ในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องด้วยกัน เลวี่ยเหวินซิวคนนี้ก็คือผู้งมงายในยุทธ์คนหนึ่ง พูดถึงพลังการต่อสู้ ในขอบเขตระดับเดียวกันมีคู่ต่อสู้น้อยยิ่งนัก ต่อสู้กับเขาขึ้นมาสุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือตนเอง ดังนั้นจึงได้แต่อดทนอดกลั้นแล้ว
เดือนนี้เมื่อมาที่ผู่สือเพื่อเก็บสมุนไพรสัตว์อสูรเก้าดารา พบว่าสวนสมุนไพรที่ผู่สือดูแลถูกจ้านอู๋มิ่งคว้าเอาไปล่วงหน้าอีกแล้ว จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร แต่ว่าผู่สือแม้จะดูแล้วจริงใจ แต่พอมีเื่ราวขึ้นมาก็มิยอมผู้ใดเช่นกัน ไม่มีหนทางใด เขาจึงได้แต่ร้องเรียนเื่นี้ถึงอาจารย์ลุงเ้าสำนักที่นี่แล้ว
“เ้าบอกข้ามาตรงๆ จ้านอู๋มิ่งเอาไปแล้วใช่หรือไม่? ” ฉางชิงจื่อถามเสียงเฉียบขาด
“เรียนอาจารย์ลุง เื่นี้ก็มิอาจโทษจ้านอู๋มิ่ง……” ผู่สือมิ้าล่วงเกินศิษย์หลานน้อยคนนี้ ในสายตาศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเขา จ้านอู๋มิ่งก็คือแก้วตาดวงใจ ้าสิ่งใดมิเคยปฏิเสธมาก่อน ผู่สือใช้ความสะดวกที่ตนเป็ผู้ดูแลสวนสมุนไพร กลายเป็อาจารย์อาที่จ้านอู๋มิ่งชื่นชอบที่สุด จ้านอู๋มิ่งเป็แขกประจำของูเาสมุนไพรที่นี่ คัดสรรสมุนไพรประเภทต่างๆ ได้ก่อนใคร ที่ทำให้ผู่สือประหลาดใจและยินดีก็คือ จ้านอู๋มิ่งมักจะมอบเม็ดโอสถบางส่วนที่ทำให้เขาตื่นเต้นประหลาดใจ อย่างเช่นเม็ดโอสถัคะนองพยัคฆ์ลำพองนั่น ของสิ่งนั้นมันอัศจรรย์เกินไปแล้ว……
“เ้าในฐานะผู้าุโทำหน้าที่ดูแลเขาสมุนไพรฟ้าหอมขจร กลับไม่สามารถดูแลรักษาเขาสมุนไพรเล็กๆ ให้ดี ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ให้ลงโทษค่าปรับรายรับหนึ่งปี ส่วนใช่จ้านอู๋มิ่งเอาไปหรือไม่ เ้าไปตามจ้านอู๋มิ่งมาให้ข้าถามดูก็ทราบแล้ว” ฉางชิงจื่อมองดูท่าทีของผู่สือแล้ว พลันรู้สึกทั้งน่าโมโหและน่าขบขันพูดตำหนิขึ้น
“อา ท่านอาจารย์ลุง ค่าปรับรายรับหนึ่งปีมากเกินไปแล้วกระมัง……” พลันผู่สือรู้สึกห่อเหี่ยวไปแล้ว ร่ำไห้โอดครวญวิงวอนขึ้นมา
ตู้เทียนซิงมองผู่สือคราหนึ่งด้วยความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น สายเืพี่น้องกลุ่มนี้ล้วนมีนิสัยเช่นนี้ เพียงแค่ปรับเงินค่าแรงหนึ่งปีเท่านั้น ก็ร่ำไห้จนแทบขาดใจตรงนี้ สามารถเห็นเ้าอ้วนคนนี้ต้องพ่ายแพ้ก็เป็เื่ที่เบิกบานใจเื่หนึ่งจริงๆ
“ท่านอาจารย์ลุงเ้าสำนัก จะให้ข้าไปที่ยอดเขาพันใบไม้ตามจ้านอู๋มิ่งมาตอนนี้หรือไม่? ” ตู้เทียนซิงถามขึ้น
ฉางชิงจื่อคิดๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปที่ยอดเขาพันใบไม้โดยตรง ดูว่าไอ้หนูนั่นกำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่ สองเดือนนี้ยังไม่เคยหยุดเลย”
ผู่สือพอได้ยินรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที รีบพูดว่า: “ท่านอาจารย์ลุงเ้าสำนัก ข้าก็ตามพวกท่านไปด้วยกัน”
……
ณ ยอดเขาพันใบไม้ เสียงลิงค่างกู่ร้องและนกขับขานอย่างร่าเริงครื้นเครงเสนาะหู นี่ก็คือสวนสัตว์อสูรแห่งหนึ่งดีๆ นี่เอง สัตว์อสูรชนิดต่างๆ หลายหลากสายพันธุ์ล้วนมีอยู่ที่นี่ ั้แ่ลิงค่างแข็งแกร่งขอบเขตระดับสี่สูงสุดไปจนต่ำไร้ระดับอย่างกระต่ายน้อย วิ่งวนไปรอบๆ วุ่นวายสับสน นกบินว่อนไปมาสุนัขะโโลดเต้น เหมือนข้าวต้มเลอะเทอะหม้อหนึ่ง
เจี่ยชิงคลานออกมาจากรังพร้อมกับศีรษะเต็มไปด้วยขนนก ถือไข่ขนาดเท่าในหน้าฟองหนึ่งรีบวิ่งออกมาอย่างตื่นเต้น ปากะโเสียงดัง “ไข่ของอีแร้งจิติญญาจันทรารัตติกาลมาแล้ว……”
“เืของนกฟีนิกซ์พันขนข้าก็ได้มาแล้ว……” หลิ่วหว่านอวี๋ก็วิ่งออกจากป่าไม้ด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน ในมือถือขวดหยกเล็กๆ ใบหนึ่ง
“ปัง!” เกิดเสียงะเิดังขึ้นในกระท่อมมุงจากบนยอดเขาพันใบไม้ ทันใดนั้นก็มีควันหนาทึบพวยพุ่งอย่างพลุ่งพล่านขึ้นจากกระท่อมมุงจาก
“ว้าก ไฟไหม้แล้ว! ” เหยียนอี้รีบยกถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ก่อนหน้านี้วางไว้นอกกระท่อมขึ้น “บูมมม” สาดน้ำลงบนกระท่อมมุงจากที่ควันกำลังพวยพุ่งทันที เพิ่งจะสาดน้ำเสร็จเหยียนอี้ใวูบ เขาพบเงาร่างหลายสายทะยานลงบนยอดเขาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ในบรรดาคนเหล่านี้เขารู้จักแต่ผู่สือ ส่วนฉางชิงจื่อเขามิเคยมีโอกาสได้พบเลย ในฐานะเ้าสำนักบริบาลเดรัจฉานดำรงอยู่เบื้องสูงเสมอมา เหยียนอี้เป็เพียงผู้ติดตามของศิษย์สายหลักเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญในสำนัก ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นฉางชิงจื่อมาก่อน แต่สายตาที่รู้จักมองวิเคราะห์ผู้คนนั้นเขาย่อมมีอยู่ ชายชราบุคลิกภาพดุจเทพเซียนสูงส่งลึกซึ้งสุดหยั่งคาดผู้นี้ที่ยืนอยู่หน้าผู่สือ ยืนอยู่อย่างสบายๆ ง่ายๆ ในที่ใดก็เหมือนหลอมรวมเข้าเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน แขกที่แวะมายอดเขาพันใบไม้มิมากตลอดมา พวกเขามักจะเป็ศิษย์ที่มาจากตีนเขาวนเวียน้าจะนำสัตว์อสูรกลับไป มีแค่อาจารย์ลุงกับอาจารย์อาของจ้านอู๋มิ่งไม่กี่คนเท่านั้นที่เหินบินตรงขึ้นมาบนยอดเขาแบบนี้
ผู่สือและฉางชิงจื่อทะยานร่างลงบนยอดเขา เป็เวลาเดียวกับที่กระท่อมมุงจากเกิดไฟไหม้ เสียงะเิทำให้พวกเขาใจนสะดุ้งโหยง พวกเขายังมิทันทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เงาร่างสีดำมะเมื่อมสายหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกระท่อมที่ถูกไฟไหม้ ในหน้าดำสนิท เลอะเทอะจากควันดำเหมือนเพิ่งมุดออกจากเตามิมีผิด เงาร่างนั้นยังอุ้มตัวน้อยๆ ที่มีขนดกปุกปุยไว้ในอ้อมแขนของเขา
“แค่ก แค่ก……” ทันทีที่ร่างสีดำพุ่งออกมาจากกระท่อมมุงจากก็ไอขึ้นมา หลังจากไอเสร็จเรียบร้อยก็พบว่ามีคนอยู่บนยอดเขาอีกหลายคน จึงรีบเก็บซ่อนเ้าตัวน้อยๆ ขนฟูปุกปุยไว้ในอ้อมแขนไปด้านหลังทันที
“อู๋มิ่ง! นี่มันเื่อะไรกัน? ” ตอนนี้ผู่สือเพิ่งจะจำขึ้นมาได้ คนที่มุดตัวออกมาจากกระท่อมมุงจากคือจ้านอู๋มิ่งนั่นเอง เห็นสภาพเขินอายของจ้านอู๋มิ่ง เขาแทบจะปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมา คนดำเมี่ยมเพราะเลอะเขม่าควันไปทั้งตัว มีเพียงปากที่เปิดครึ่งเดียวโชว์ฟันขาวซี่ใหญ่ทั้งปาก สีดำและขาวตัดกันชัดเจน คู่กับดวงตาขาวๆ ที่กำลังกลอกมองไปมา เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ศิษย์หลานน้อยผู้นี้ก็มีวันนี้เช่นกัน
“จ้านอู๋มิ่งน้อมพบท่านอาจารย์ปู่ อาจารย์อาเจ็ด อาจารย์อาเทียนซิง” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะขึ้นมาอย่างเคอะเขิน
“ในมือเ้าคือสิ่งใด? ” ฉางชิงจื่อหยีตา จ้องมองท่าทางมีพิรุธของจ้านอู๋มิ่งถามขึ้น
“นี่คือ นี่คือของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ศิษย์ทำออกมาโดยมิตั้งใจเท่านั้นเอง ไม่น่าจะอยู่ในสายตาท่านอาจารย์ปู่เ้าสำนัก……” จ้านอู๋มิ่งพูดขึ้นมาอย่างขุ่นข้องหงุดหงิด
“เอามาให้ข้าดูสักครา” ฉางชิงจื่อรู้สึกถึงพลังธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาชนิดหนึ่ง ในฐานะที่เป็เ้าสำนักบริบาลเดรัจฉาน ตลอดชีวิตเขาได้ัักับสัตว์อสูรจิติญญามามากมายนับมิถ้วน ขณะที่เขาััได้ถึงพลังธรรมชาติอันแปลกประหลาดนี้ ในใจอดหวั่นไหวขึ้นมาไม่ได้
“สิ่งนี้……” จ้านอู๋มิ่งอับจนปัญญา ได้แต่นำเ้าตัวน้อยขนดกฟูปุกปุยตัวนั้นออกมา
“จิ้งจอกจิติญญาเก้าหาง! ” ฉางชิงจื่ออดที่จะสูดลมหายใจหนาวเหน็บคราหนึ่งมิได้ อุทานขึ้น
“จิ้งจอกจิติญญาเก้าหาง เป็ไปได้ยังไงกัน! ” ตู้เทียนซิงก็อดที่จะอุทานขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
ฉางชิงจื่อตื่นเต้นสุดเปรียบปานแย่งคว้าเอาสัตว์น้อยๆ ขนยาวปุกปุยสีขาวตัวนั้นมาจากมือของจ้านอู๋มิ่ง พิจารณามองขึ้นและลงตรวจสอบอย่างละเอียดเที่ยวหนึ่ง สีหน้าดวงตาฉายแววที่รู้สึกเหลือเชื่อ พึมพำขึ้นว่า “จิ้งจอกจิติญญาเก้าหางตัวนี้เพิ่งเกิดได้ไม่นาน หรือว่าบนแผ่นดินใหญ่นี้มีสัตว์เทพในตำนานชนิดนี้อยู่จริงๆ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้