หลิวเต้าเซียงผู้ซึ่งขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อถึงตอนเที่ยงก็อาศัยการกินเนื้อหมูเค็มนึ่งหัวไชเท้าแห้งกับข้าวสามถ้วยเพื่อเรียกขวัญให้ตนเอง
จางกุ้ยฮัวเห็นดังนั้นก็มีความสุขและปลื้มใจ บุตรสาวชอบกินอาหารที่นางทำยิ่งนัก จากนั้นก็ย้อนนึกไปว่าตอนเด็ก มารดาได้สอนตนเองทำอาหารไม่น้อย นางจึงตัดสินใจว่าต่อไปต้องทำอาหารที่ลูกๆ ชอบกินให้มาก
ใครจะรู้ว่าเมื่อหลิวซานกุ้ยออกไปก็หายไปทั้งวันจนถึงพลบค่ำ เมื่อเห็นว่าอาหารค่ำใกล้เย็น สุดท้ายจึงได้ข่าวคราว
คนที่มาส่งข่าวเป็เด็กหนุ่มวัยสิบห้าถึงสิบหกปี กำลังเปล่งเสียงเอ่ยถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่านี่คือบ้านของนายท่านสามหลิวหรือไม่
สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านสามสิบลี้ นับว่ามีนิสัยเรียบง่ายและซื่อตรง นอกจากจะชอบเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ และอิจฉาผู้อื่นแล้ว นอกนั้นก็ไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายอันใด
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้กําลังมองหาใครสักคน ชาวบ้านแถวนั้นจึงะโเรียกจางกุ้ยฮัวให้ออกมา
หลิวเต้าเซียงก็วิ่งตามหลังออกมาราวกับเป็หางน้อย
“ไม่ทราบว่าเ้ากําลังมองหาใครอยู่?” จางกุ้ยฮัวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง หน้าตาของเด็กหนุ่มมองดูแล้วไม่ใช่คนละแวกนี้ ท่าทางของเขาสะอาดสะอ้าน มือคู่นั้นได้รับการดูแลเฉกเช่นหญิงสาว
“ข้าคือลูกชายคนโตของนายหน้าจาง” ผู้มาเยือนไม่ได้พูดให้มากความและกล่าวแนะนำตนเอง จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยต่อ “ไม่ทราบว่าขอเวลาสักครู่ได้หรือไม่?”
เป็เด็กหนุ่มที่มีวุฒิภาวะ!
หลิวเต้าเซียงรีบเชิญเขาไปนั่งในบ้านและไปรินชาอุ่นๆ ให้เขาหนึ่งถ้วย
เด็กหนุ่มรับไปอย่างสุภาพ แต่ไม่ได้ดื่ม เพียงแต่ถือไว้ในมือของเขา
“วันนี้ท่านอาหลิวไปดูที่ดินผืนนั้นและร่วมรับประทานอาหารเที่ยงกับบ้านข้า จากนั้นตอนบ่ายได้ไปดูบ้านหลังนั้น พ่อข้าเห็นว่าเวลายังเร็วอยู่ จึงบอกว่าวันนี้เร่งรีบเดินไปทางในอำเภอและค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน รุ่งเช้าจะได้ทำการโอนย้ายโฉนดได้”
“หืม เร็วเพียงนี้เชียว?” หลิวเต้าเซียงส่งเสียงเฮือกอย่างใ นี่ไม่เหมือนวิธีคิดของบิดาแม้แต่น้อย
บุตรชายคนโตของนายหน้าจางหัวเราะ “น้องสาวคงคิดว่าน่าแปลก ซื้อที่ดินไม่จำเป็ต้องเร่งด่วน เดิมที พ่อเ้าบอกว่าวันมะรืนจะไปที่อำเภอ ใครจะรู้ว่า ขณะที่พ่อข้ากำลังเตรียมเกวียนลาจะมาส่งเขา ก็เจอกับคนของเ้าของบ้านที่นั่น พ่อบ้านท่านนั้นจัดการธุระเสร็จ กำลังจะไปยังอำเภอและเตรียมกลับไปในตัวเมืองเขต จู่ๆ ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้รับข่าวจากทางนี้ จึงส่งคนมาถาม หากมีคนซื้อบ้าน ก็ให้พ่อข้าพาคนผู้นั้นไปที่อำเภอ วันรุ่งเช้าเมื่อที่ทำการเปิด ก็จะได้ทำการโอนย้าย พ่อบ้านท่านนั้นเร่งรีบจะกลับตัวเมืองเขต ดังนั้นจึงได้ดำเนินการเช่นนี้ พวกเ้าไม่ต้องกังวล มีพ่อข้าอยู่ ท่านอาหลิวต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
หลิวเต้าเซียงจึงรู้ความเป็ไปและคิดในใจว่า ถ้าได้เจอกับพ่อบ้านนั้นก็ไม่เลว หากพ่อของนางกล้าต่อรองราคา ไม่แน่ว่าอาจจะได้ราคาถูกลงหน่อย
จางกุ้ยฮัวบอกว่าไม่กังวล จากนั้นก็เชิญให้เขาร่วมทานอาหารค่ำด้วยกัน
บุตรชายคนโตของนายหน้าจางโบกมือปัด บอกว่ามารดายังคงรอเขากลับไปทานอาหารที่บ้าน ่ที่เลิกเรียนกลับถึงบ้านมาได้ข่าวนี้ จึงกลัวว่าคนฝั่งตระกูลหลิวจะเป็ห่วง จึงรีบเดินทางมาส่งข่าวก่อน
อีกอย่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดค่ำแล้ว เขาไม่ควรอยู่นาน เพราะเป็ห่วงว่าเส้นทางในตอนกลางคืนจะเดินทางไม่สะดวก
คำพูดทั้งหมดสมเหตุสมผล
หลังจากที่บุตรชายคนโตของนายหน้าจางกลับไป จางกุ้ยฮัวทอดถอนใจ สมกับเป็ผู้มีการศึกษา คำพูดคำจานั้นมีเหตุผลยิ่งนัก ทำให้คนมิอาจสงสัยได้แม้แต่นิดเดียว นางกำลังคำนวณว่า ต่อไปหากบุตรสาวทั้งสาม้าเล่าเรียนเท่าไรก็จะส่งเสียให้ถึงที่สุด ถึงอย่างไรการเล่าเรียนให้มากก็จะทำให้การพูดจา หรือการวางท่าทางได้เหมือนกับบุตรชายนายหน้าจาง ทำให้คนฟังแล้วสบายใจยิ่งนัก
เนื่องจากหลิวซานกุ้ยไม่อยู่บ้าน พวกนางสี่แม่ลูกจึงนอนเบียดด้วยกัน
กลางคืนหลิวเต้าเซียงนอนหลับไม่สนิท เพราะว่าจางกุ้ยฮัวพลิกตัวไปมา ทุกครั้งที่นางกำลังจะง่วง แต่พอมารดาขยับ ความง่วงก็ใจนหนีหายไปหมด
นางถอนหายใจพร้อมกับคิดว่าตนเองนั้นเ็าเกินไปหรือไม่ พ่อผู้แสนดีไปอำเภอคนเดียว นางกลับไม่ได้เป็ห่วงแม้แต่น้อยว่าพ่อจะถูกเอาไปขาย คิดๆ แล้วก็หัวเราะโดยไม่ส่งเสียง!
หลังจากค่ำคืนที่ไร้เสียงผ่านไป รุ่งเช้า จางกุ้ยฮัวตื่นขึ้นเร็วที่สุด
ส่วนหลิวเต้าเซียงในขณะนี้กำลังนอนหลับ กางแขนขาอ้าซ่า!
จนกระทั่งไก่ขันสามหน ในบ้านเริ่มมีเสียงดังขึ้น นางจึงพยายามออกแรงยกเปลือกตาขึ้น เมื่อคืนผล็อยหลับไปตอนกลางดึก ขณะนี้ยังนอนไม่เต็มอิ่มจึงรู้สึกว่าหัวหนัก จากนั้นชันตัวลุกขึ้นแล้วมองไปรอบเตียง นอกจากนางที่ยังนอนอยู่ก็มีน้องสามหมูตัวน้อย ส่วนพี่สาวนั้นตื่นไปทำงานบ้านพร้อมกับมารดาแล้ว
นางมีบุญจริงๆ!
อย่างน้อย นางก็ไม่ได้ตรากตรำหลายปีเช่นเดียวกับหลิวชิวเซียง
เมื่อคิดว่าเด็กน้อยเพียงหนึ่งขวบก็หลุดพ้นจากย่าจอมชั่วร้ายได้ พอคิดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าน้องสามมีชีวิตที่ดีกว่านางอีกสินะ?
หลิวเต้าเซียงส่ายหัวอย่างขบขัน เมื่อตื่นแล้วก็ไม่อยากลงไปนอนกลิ้งต่อ จึงวางแผนว่าอีกเดี๋ยวจะไปไหนและทำอะไร
“เต้าเซียง เต้าเซียง!” เสียงที่คมชัดน่าฟังดังขึ้น
หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ เพื่อนสาวตัวอ้วนหลี่ชุ่ยฮัวมาแล้ว
“อยู่นี่!”
นางตอบอย่างสดชื่นจากในห้องและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว
เมื่อใส่เสื้อผ้าเสร็จ เ้าแก้มกลมก็กระโจนเข้าหานาง
“เต้าเซียง ในที่สุดข้าก็ได้เล่นทั้งวัน”
ั้แ่หลี่ชุ่ยฮัวเรียนการเลี้ยงไก่ หนทางของนางก็รุ่งขึ้นทุกวัน
น่าเสียดายที่พระโพธิสัตว์สูงหนึ่งคืบ มารสูงหนึ่งศอก นางยังคงไม่อาจหลุดพ้นจากเขาหัตถ์พระยูไล
หลังจากลูกไก่ฟักออกมา ป้าหลี่ก็คอยกำกับให้นางนำเก้าอี้มานั่งตากแดดและเรียนเย็บปัก
ชื่อภารกิจที่สวยงามก็คือ ดูแลลูกไก่!
ตอนนั้น ใบหน้าอ้วนกลมของหลี่ชุ่ยฮัวเบียดจนเป็ก้อน
หลังจากต่อรองกับมารดา ในที่สุดนางก็ชนะ
อืม ทุกๆ เก้าวัน นางจะได้รับอิสระหนึ่งวัน
“เต้าเซียง เต้าเซียง ดอกหยางไหว [1] ในหมู่บ้านกำลังจะบานแล้ว เราไปเก็บดอกหยางไหวกันเถิด!”
หลี่ชุ่ยฮัวมาชวนนางไปเล่นจริงๆ
หลิวเต้าเซียงหวั่นไหว
ดอกหยางไหวสามารถลดการอักเสบ ปวดบวมและลดอาการร้อนใน สามารถเก็บมาทำอาหารได้ ของสิ่งนี้ทำอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเอามาผัดพริกแห้ง หรือผัดไข่ย่อมได้ แล้วยังเอามาทำกับปลาได้ หรือไม่ก็ทำเป็ซาลาเปาหมูดอกหยางไหวได้อีกด้วย เมื่อคิดถึงอาหารเหล่านี้ หลิวเต้าเซียงก็กลืนน้ำลาย นางอยากกินเกี๊ยวดอกหยางไหวแล้ว
“ข้าจะไปเรียกท่านพี่ ใช่สิ ต้นหยางไหวในหมู่บ้านเรามีมากมาย หรือไม่เราก็ไปชวนเพื่อนมาอีก?”
หลิวเต้าเซียงเป็คนี้เี นางจึง้าหาพรรคพวกที่เป็เด็กหนุ่มมาช่วย
“ทางที่ดีขอคนที่ปีนต้นไม้เก่ง ชุ่ยฮัว เ้าคงไม่คิดจะให้เราไปปีนต้นไม้เล่นกันสองคนหรอกนะ!”
แม้ว่าตอนที่นางข้ามมิติมาก็เคยทำเื่อย่างการปีนต้นไม้หารังนกอะไรเทือกนั้น แต่นั่นก็เพียงเพื่อเล่นสนุก
“ใช่ ข้าลืมเื่นี้ไปได้อย่างไร หรือเราจะไปหาพี่หูจื่อกันดี? เขาต้องมีวิธีแน่!”
ความคิดแรกของหลี่ชุ่ยฮัวคือาาเด็กประจำหมู่บ้าน หวงเสียวหู่จอมพลัง!
หลานชายสุดที่รักของหลี่เจิ้ง
“พี่หูจื่อไม่ได้ถูกท่านย่าหวงส่งไปเรียนที่สถาบันในตำบลแล้วหรือ?”
หลิวเต้าเซียงจําได้ว่าตอนที่ท่านย่าหวงมาช่วยเคยพูดไว้แบบนี้ พอเห็นท่าทางปวดศีรษะของนางแล้ว ก็รู้ว่าหวงเสียวหู่ไม่ใช่คนที่รักการเรียนเท่าใด
หลี่ชุ่ยฮัวพูดพลางทำสีหน้าลึกลับ “ข้าเพิ่งเห็นพี่หูจื่อเมื่อครู่ เขากำลังเล่นสือสั่ว [2] อยู่ในบ้าน”
หลิวเต้าเซียงรู้จักสือสั่ว นั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษของบ้านหลี่เจิ้งถ่ายทอดกันมา เหมือนว่าข้างบนปู่ทวดจะมีพละกำลังอย่างมาก ตอนนั้นเป็่ที่สุ่มคัดเลือกชายหนุ่มแข็งแรงไปสู้รบ ได้ยินว่าต่อมาได้ตำแหน่งหัวหน้ากองร้อย ตระกูลหวงจึงเริ่มมีที่มาเช่นนี้
“เขาจะไม่เรียนแล้วหรือ? ข้าจำได้ท่านปู่หลี่เจิ้งบอกว่า พี่หูจื่อเกเรเกินไป จึงถูกพ่อแม่ส่งกลับมาชนบท เพื่อให้เขาตั้งใจและมีสมาธิกับการเรียนนี่นา”
“ข้าก็เคยได้ยินเื่นี้ แต่จากที่ข้าดูคงเพราะท่านย่าหวงใจอ่อนอีกแล้ว ไม่รู้ว่าพี่หูจื่อไปโน้มน้าวท่านย่าหวงอย่างไร”
หลี่ชุ่ยฮัวเป็เด็กน้อยอายุแปดขวบจริงๆ เพียงแค่ได้เล่นกับเพื่อนก็พอใจมากแล้ว
หลิวเต้าเซียงคิดดูแล้วจึงเอ่ย “ข้าจะไปล้างหน้าล้างตาก่อน เ้าไม่ต้องรอในห้อง เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้น้องสามตื่น อีกเดี๋ยวป้าหลี่จะถลกหนังเ้าอีก”
“อื้อ เ้ารอข้าก่อน เหตุใดข้าจึงลืมเื่เมื่อวานไปหมดสิ้น เรารีบไปเถิด จะได้ไม่ทำให้น้องเ้าตื่น”
หลี่ชุ่ยฮัวเพียงแค่นึกถึงเสียงร้องเต็มพลังของหลิวชุนเซียงก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
ขอเพียงได้ยินเสียงร้อง มารดาของหลี่ชุ่ยฮัวก็จะคิดว่านางจงใจแกล้งแหย่ให้หลิวชุนเซียงร้องไห้
ในความเป็จริง เด็กสาวตัวอ้วนก็มักจะเล่นกับน้องสามของหลิวเต้าเซียงเช่นนี้จริงๆ
หลิวเต้าเซียงไปที่แปลงผักด้านหลังโรงครัวเพื่อตามหาพี่สาวที่กำลังช่วยมารดาถอนหญ้าอยู่ จากนั้นบอกกล่าวเื่ที่นางจะไปเล่นกับหลี่ชุ่ยฮัว
หลิวชิวเซียงลังเลพร้อมกับมองไปที่แปลงผัก วันนี้ทั้งเช้านางเพิ่งถอนหญ้าไปได้แค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
จางกุ้ยฮัวเห็นว่านางเงียบ จึงเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “น้องสาวเ้ากับชุ่ยฮัวชวนเ้าไปเล่น เ้าอยากไปก็ไปเถิด ตอนนี้บ้านเรามีปากท้องแค่สี่ห้าคน แปลงผักไม่จำเป็ต้องมีมากมายเช่นแต่ก่อน เ้าอย่าลืมสิ ครอบครัวเราแยกบ้านมาแล้ว”
หากหลิวเต้าเซียงคือบุตรสาวที่ได้รับการปรนเปรอตามใจจากบิดามารดามากที่สุด เช่นนั้นหลิวชิวเซียงก็คงเป็ที่หวงแหนมากที่สุดเช่นกัน
หลิวเต้าเซียงนั่งย่อลงข้างๆ พี่สาว ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าวอย่างมีความสุข “ใช่แล้ว ท่านพี่ ไปเถิด เราไปเก็บดอกหยางไหวมาต้มปลากิน แล้วก็ทำเกี๊ยวปลาดอกหยางไหวกัน”
หลิวชิวเซียงเม้มปากแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “เต้าเซียง บ้านเราไม่มีแป้งแล้ว”
แม้จะไม่อยากให้น้องรองผิดหวัง แต่สิ่งที่นางพูดคือความจริง เพราะจะปล่อยให้น้องสาวไปเก็บดอกหยางไหวมามากมาย แต่กลับบ้านมาพบว่าไม่มีแป้ง เช่นนั้นคงทำให้นางโศกเศร้า!
“เอ่อ!” หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าพี่สาวช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย เวลานี้ควรจะคล้อยตามคำพูดของนางและควรบอกว่าเกี๊ยวดอกหยางไหวหอมนุ่มสดใหม่ น่าร่อยไม่ใช่หรือ!
หลิวเต้าเซียงปล่อยมือของหลิวชิวเซียง แล้วไปตื๊อจางกุ้ยฮัวแทน “ท่านพี่ เราไม่มีแป้งก็ไปซื้อได้นี่นา ท่านแม่ ข้าอยากกินเกี๊ยวดอกไหว ท่านแม่ ท่านตามใจข้าหน่อยเถิด!”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าแยกครอบครัวออกมาแล้ว บุตรสาวอยากกินอะไรก็ควรเติมเต็ม และชดเชยความทุกข์ยากที่ผ่านมาตลอดหลายปี
ขณะนี้เมื่อหลิวเต้าเซียงออดอ้อน จางกุ้ยฮัวก็รีบชูธงขาว “ตามใจเ้าก็ได้ เ้าไปเก็บดอกหยางไหวมาให้เยอะๆ ต้องมีสักปีที่เ้าจะกินจนเอียน”
จางกุ้ยฮัวคิดแผนเมื่อคืนว่าปีนี้ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เมื่อหลิวเต้าเซียงออดอ้อนเช่นนี้ ความคิดเ่าั้ก็ถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง
พูดตามตรง นางเองก็ไม่ได้กินเกี๊ยวดอกหยางไหวมาหลายปีแล้ว
ในอดีตตอนอยู่ที่บ้านเดิม นางพาบุตรสาวคนโตไปเก็บดอกหยางไหวมาอย่างยากลำบาก แต่ก็ถูกหลิวฉีซื่อนำไปทำขนมหยางไหวให้แก่บรรดาฮูหยินเซียงเซิน มีเพียงหลิวต้าฟู่ หลิวฉีซื่อ รวมถึงหลิวเสี่ยวหลันกับหลิววั่งกุ้ย สี่คนที่ได้กินอาหารที่ทำจากดอกหยางไหว หรือไม่ก็เป็ซาลาเปาหรือเกี๊ยว
หลิวชิวเซียงหันไปมองน้องรองที่ยิ้มร่าดุจแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ มุมปากของนางยกขึ้นสูง รอยยิ้มเบิกบานกว่าเดิม
โฉมงามดุจภาพวาด บุปผาบานสะพรั่งเต็มสวน!
แสงอาทิตย์นวลสาดส่องในเดือนมีนาคม เสียงหัวเราะของเด็กสาวสะท้อนเข้าไปในหัวใจของผู้ใหญ่ ราวกับมีโอกาสอันดีงามเกิดขึ้นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น
-----
เชิงอรรถ
[1] ดอกหยางไหว 洋槐花 yáng huái huā ตามรูปภาพประกอบ

[2] สือสั่ว 石锁 คือแท่งหินที่ไว้ใช้ฝึกกำลังในสมัยก่อน ซึ่งคล้ายกับดัมเบลในสมัยนี้ดังรูป

