“คุณชาย ได้ยินมาว่าคุณหนูสามสกุลโม่ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ กล่าวกันว่าถูกของอัปมงคล อยู่ดีๆ ก็ล้มป่วย หลังจากนั้นพลังชีวิตก็ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ”
ภายในเรือนกลางน้ำ กลิ่นหอมเย็นของกำยานฟุ้งกำจาย ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวกระจ่างราวกับหิมะ ดีดพิณด้วยท่วงท่าสูงส่งสง่างาม เสียงพิณแว่วไปไกลโพ้น ดวงตาคู่นั้นหลับลง ฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยอารมณ์สงบนิ่ง แพขนตายาวทอดปกคลุมคล้ายผืนม่านของดวงตา
นิ้วมือเรียวงามละเมียดไล้ไปบนเส้นสาย เสียงพิณพลันหยุดชะงัก ภายในเรือนกลางน้ำเงียบลงไปชั่วขณะ สายลมลอดผ่านช่องหน้าต่างปิดสนิทใต้แพรโปร่งผืนงาม
เสียงครวญหวีดหวิวแห่งสายลมบูรพาแว่วผ่านหู เสียงริ้วคลื่นซัดกระทบฝั่งแม่น้ำสีเขียวมรกตอันสงบเงียบ ดั่งคลื่นอารมณ์ที่ซัดกระทบจิตใจคน
ความเงียบอันว่างโหวงพลันเย็นะเืชวนให้คนรู้สึกสะท้าน องครักษ์ขนลุกเกรียว ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงเรื่อยๆ ไม่กล้าเงยขึ้นมา
ใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งเทพบุตรยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสดใสทอดมองไปที่องครักษ์เงาซึ่งยืนอยู่ตรงข้าม หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวก่อนเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูสามสกุลโม่มีโรคแฝงอันใดมิใช่หรือ” น้ำเสียงเย็นคล้ายลอยลงมาจากฟากฟ้า ในความกระจ่างใสแทรกซ่านไปด้วยความสูงส่งสง่างาม
“แม้ว่าคุณหนูสามจะสุขภาพไม่ดี แต่ไม่มีโรคร้ายอันใด เพียงแค่ไม่ได้รับการบำรุงที่ดีพอ และเป็คนคิดมากคล้ายมีเื่กลัดกลุ้มเท่านั้นขอรับ ผู้ตกอยู่ในสถานการณ์มารดาสิ้นใจ บิดาไม่รัก เป็ใครก็ย่อมยากจะทำใจยอมรับได้ ข้าน้อยให้คนตรวจสอบแล้ว คุณหนูผู้นี้ไม่ใช่เ้านายที่จะยอมให้ผู้ใดข่มเหงง่ายๆ จึงเป็ไปไม่ได้ที่จะถูกบีบคั้นจนเืลมติดขัดกระอักโลหิตออกมา”
องครักษ์เงาทราบดีว่าเ้านายของตนเป็คนรอบคอบพิถีพิถันเป็ที่สุด ก่อนที่จะมารายงาน จึงตรวจสอบโม่เสวี่ยถงจนกระจ่างทุกเื่ แม้กระทั่งยามที่นางยังอยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิง
เขายังรู้สึกประหลาดใจที่เห็นคุณชายให้ความสำคัญกับสตรีผู้นี้ ทว่าก็เป็เื่ธรรมชาติ สตรีที่มีรูปโฉมล้ำเลิศเช่นนี้ แม้จะยังไม่เติบโต แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะต้องกลายเป็บุปผาบานสะพรั่ง งดงามปานล่มเมืองเป็แน่ คุณชายเป็ผู้มีกลยุทธ์อันปราดเปรื่อง มีความคิดเช่นนี้ถือเป็เื่ปรกติ สตรีที่มีความงามสะท้านแผ่นดินคือยอดอาวุธร้ายกาจที่สามารถพังปราการของคู่ต่อสู้ได้ เชื่อว่าผู้เป็บุรุษได้พบกับหญิงงามเช่นนี้ย่อมเกิดความหวั่นไหว ฮองเฮาและองค์ชายใหญ่จะต้องแตกหักกันด้วยเหตุนี้
แต่สิ่งที่ทำให้องครักษ์เงาตกตะลึงก็คือ คุณหนูสามสกุลโม่ที่ลือกันไปทั่วเมืองหลวงว่าเป็คนไร้ความสามารถ จองหองอวดดี แท้ที่จริงแล้วทั้งเฉลียวฉลาดเ้าแผนการยิ่ง ไหนเลยจะยอมลำบากโดยไม่ขัดขืนสักนิด แต่ก็มิได้เอ่ยถามซอกแซก ให้คุณชายเป็ผู้วินิจฉัยด้วยตนเองก็พอ
ความเด็ดขาดในการตัดสินใจของคุณชาย คือสิ่งที่องค์รักษ์ยอมรับนับถือด้วยใจจริง
“สอบถามมาครบถ้วนแล้ว?” ไป๋อี้เฮ่าขยับลุก ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายแม้อยู่ในท่วงท่าที่กำลังยืนขึ้นก็ดูสูงส่งสง่างามเป็ธรรมชาติ เรือนผมสีดำสนิทดุจน้ำหมึก ใบหน้าประณีตดังหยก ดวงตาอ่อนโยนงดงาม รอยยิ้มบางๆ ที่แต่งแต้มเสริมให้ใบหน้าคมสันหล่อเหลาดูสว่างสดใสคล้ายจันทราเดือนสาม ลอยล่องประหนึ่งเทพเซียน
“ชัดเจนถ้วนทั่วทุกด้านแล้วขอรับ” องครักษ์ลอบถอนใจเบาๆ เขารู้นิสัยของเ้านายตนเองดี เื่ใดไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง แต่เื่ใดที่ยื่นมือไปแตะแล้วจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมมูล ดังนั้นนับั้แ่รู้ว่าคุณชายสนใจในตัวคุณหนูสามสกุลโม่ เขาก็เริ่มจัดการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโม่เสวี่ยถง บัดนี้บันทึกรายงานเกี่ยวกับคุณหนูสามสกุลโม่เขียนออกมาเป็เล่มเสร็จเรียบร้อย รอให้คุณชายพิจารณา
“ทางฮองเฮาเป็อย่างไรบ้าง” นิ้วมือของไป๋อี้เฮ่ากระตุกพิณสายหนึ่งเพียงเบาๆ ทว่าสายพิณนั้นกลับขาดผึง เสียงบาดแก้วหูแทรกผ่านอากาศทำลายบรรยากาศสงบเงียบ
“นับั้แ่องค์ชายใหญ่ได้รับภาพวาดนั้นไปก็ปิดเื่เงียบมาโดยตลอด แม้แต่ขันทีและนางในที่รับใช้ข้างกายยังไม่รู้เื่ แต่ฮองเฮาก็ยังสามารถสอดแนมจนรู้ได้ ทว่ามิได้มีความเคลื่อนไหวอันใด พระนางยังคงแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชายใหญ่เหมือนเดิมขอรับ” องครักษ์เงาไม่กล้าปิดบัง รายงานข่าวทั้งหมดที่ส่งมาจากแคว้นเยี่ยนอย่างละเอียด
“เมื่อเป็เช่นนี้ ก็ถอยออกไปได้แล้ว” ใบหน้าของไป๋อี้เฮ่าทอยิ้มอย่างงดงาม ไล่องครักษ์ออกไป
“ขอรับ” องครักษ์เงากล่าวรับคำ ไม่กล้าพูดมาก พลิ้วเงาร่างหายวับไปจากเรือนริมน้ำ
เรือนกลางน้ำเงียบสงัด อาภรณ์ของชายหนุ่มโชยพลิ้วไปตามสายลม ใบหน้าคมสันเ็าขึ้นหลายส่วน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งอีกครั้งอย่างมั่นคง เบื้องลึกดวงตาจมดิ่งสู่ความมืด นิ้วมือเคาะลงไปบนสายพิณเบาๆ สองสามครา ทว่ามิได้ดีดออกมาเป็ท่วงทำนอง...
“เรียนคุณชาย คุณชายลั่วมาแล้วขอรับ” เสียงบ่าวรับใช้ลอยเข้ามาจากด้านนอก ระเบียงคดอยู่ห่างไกลจากที่นี่พอสมควร และจากจุดนั้นถือว่าเป็ทิศทวนกระแสลม บ่าวรับใช้จำเป็ต้องตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้นจึงจะได้ยินมาถึงที่นี่ได้
“เชิญคุณชายลั่วเข้ามา” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้น ดวงตาเผยแววยิ้ม เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ลั่วเหวินโย่วมาเพราะเื่โม่เสวี่ยถงกระมัง มารวดเร็วเร่งด่วนเยี่ยงนี้ ดูไม่เหมือนพฤติกรรมของเขาในยามปรกติ คงจะมีใครใช้ให้มาเป็แน่
ไป๋อี้เฮ่าย่อมรู้และเข้าใจสถานการณ์และปัญหาของบ้านตน สถานะของเขาในต้าฉินค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ หนึ่งเขาเป็หลานนอกที่ไทเฮาทรงโปรดปรานที่สุด จักรพรรดิจงเหวินตี้แม้จะทรงชื่นชมแต่กลับมิได้ลบล้างสถานะองค์ประกันให้ รถม้าคันใหญ่ของเขาสามารถวิ่งบนถนนใหญ่ของเมืองหลวงได้อย่างอิสระ สามารถจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ชมบุปผาและจันทราได้ตามใจชอบ ด้วยฐานะ ความสามารถและรูปโฉม จึงเป็ที่ดึงดูดของเหล่าสตรีอย่างแรงกล้า ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยใส่ใจ
เมื่อจักรพรรดิจงเหวินตี้ทรงหมายชุบเลี้ยงให้เขาเป็ผู้มีชื่อเสียงโดดเด่น เช่นนั้นเขาย่อมต้องทำตามพระประสงค์ ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิจงเหวินตี้จึงโปรดปรานเขามาก แม้จะไม่ได้ถึงกับเชื่อฟังทุกอย่าง แต่เขาก็ทำตามเงื่อนไขอันสมควร ประการแรกคือไม่แตะต้องเื่การเมือง เพราะหากผูกติดกับการเมืองแล้ว เขาก็จะมิใช่พระภาดาของจักรพรรดิจงเหวินตี้อีกต่อไป แต่เป็องค์ประกันแคว้นฉินและรัชทายาทแคว้นเยี่ยน
เหล่าเสนาอำมาตย์ของจักรพรรดิจงเหวินตี้ต่างเข้าใจดี ดังนั้นแม้พวกเขาจะชื่นชมในความสามารถสูงส่งของไป๋อี้เฮ่า เชิญมาร่วมเป็เกียรติในงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ เหล่าสตรีสูงศักดิ์มากมายต่างมองเขาด้วยสายตาหวานซึ้ง หวังเพียงแค่เขาหันกลับมามองสักครั้ง แต่เมื่อผูกโยงเข้ากับการเมือง เหล่าขุนนางแคว้นฉินย่อมไม่กล้าเข้าใกล้ไป๋อี้เฮ่ามากเกินไปนัก
ขุนนางบางกลุ่มเนื่องจากคาดเดาพระทัยจักรพรรดิไม่ออก จึงเพียงรักษามารยาท ยามเจอหน้าก็แสดงความเคารพให้เกียรติ แต่ไม่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
ในจำนวนนี้ย่อมมีจวนฝู่กั๋วกง แม้ว่าลั่วเหวินโย่วจะสนิทกับเขา แต่ไม่กล้าพาไปที่จวนบ่อยนัก ด้วยเกรงว่าจะนำปัญหามาให้ครอบครัว ยามนี้สกุลโม่กำลังเป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิ หากไป๋อี้เฮ่าเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมเกินควรอาจทำให้ทรงคลางแคลงพระทัยได้ แม้ว่าลั่วเหวินโย่วจะอยากให้เขาไปช่วยญาติผู้น้องของตนเองก็ต้องคิดแล้วคิดอีก แล้วค่อยไปถามความเห็นของผู้าุโในตระกูล ไหนจะความประสงค์ของโม่ฮว่าเหวินอีก ต้องไตร่ตรองให้ดีถึงสามรอบจึงจะดำเนินการ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน
ไม่มีทางมาอย่างเร่งด่วนเหมือนยามนี้เด็ดขาด เพียงไม่กี่ชั่วยามลั่วเหวินโย่วก็มาขอร้องตนเองถึงที่นี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยทำมาก่อน ดูท่าเื้ัของลั่วเหวินโย่วคงจะมีผู้สูงศักดิ์คนใหม่ปรากฏขึ้นอีกคนแล้วกระมัง แต่จะเป็ผู้ใด... ไป๋อี้เฮ่าสงสัยเป็อย่างยิ่ง ยอดฝีมือย่อมยากจะหาเจอ จู่ๆ เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
รอยยิ้มบนริมฝีปากดูผ่อนคลายไร้กังวล อาภรณ์ตัวยาวพลิ้วเบา เส้นผมลอยละลิ่วไปตามแรงลม เดินมาหน้าประตูเพื่อต้อนรับลั่วเหวินโย่ว สายตามองไปที่ระเบียงคด เห็นเงาร่างของลั่วเหวินโย่วเดินจ้ำเข้ามาอย่างรีบร้อน เบื้องลึกดวงตาพลันทอยิ้มเยือกเย็น
รีบร้อนมากมายขนาดนี้ เห็นทีลั่วเหวินโย่วคงมิใช่แค่เอ็นดูญาติผู้น้องของตนเองแบบสามัญทั่วไปเสียแล้ว จวนฝู่กั๋วกงให้ความสำคัญกับหลานนอกผู้นี้อย่างแท้จริง ช่างยอดเยี่ยม!
ในเรือนชิงเวย โม่เสวี่ยถงนอนเงียบอยู่บนเตียง ขนตายาวงามงอนสีดำสนิทเหมือนขนแปรง จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากขาวซีดไร้สีเื เห็นแล้วชวนให้รู้สึกปวดใจ ผมยาวดุจแพรไหมสยายคลุมหมอนหนุนปักลายบงกช ใบหน้าประหนึ่งหยกใสที่ทอประกายแวววาว แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาพรรณนาความงดงามได้
แม้จะนอนนิ่งอยู่เช่นนี้ ก็ยังเฉิดฉันจนน่าตื่นตะลึง
ดวงตาของไป๋อี้เฮ่านิ่งขรึม นิ้วมือเรียวค่อยๆ แตะลงบนข้อมือเล็กจ้อยขาวซีดไร้เรี่ยวแรง หลังจากนั้นก็หลับตาลงช้าๆ
ในห้องเงียบสงบยิ่ง ไม่มีใครเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว โม่อวี้และโม่หลันยืนอยู่ด้านข้างด้วยใจระทึก แม้แต่หายใจแรงก็ยังไม่กล้า สายตาจับจ้องมือของไป๋อี้เฮ่าที่กำลังตรวจชีพจรให้โม่เสวี่ยถง นับั้แ่หมดสติไปจนถึงบัดนี้ก็เป็เวลาใกล้ค่ำ ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว ภายในห้องจุดตะเกียงไว้สี่ห้าดวง เพื่อให้ไป๋อี้เฮ่ามองเห็นได้ชัดเจน
โม่ฮว่าเหวินไม่อยู่ เพิ่งถูกเรียกตัวเข้าวังเมื่อตอนเย็น ผู้ที่อยู่เป็เพื่อนไป๋อี้เฮ่าก็คือลั่วเหวินโย่ว ยามนี้สีหน้าของเขาดูตึงเครียดยิ่งกว่าสาวใช้ทั้งสอง คิ้วขมวดมุ่น มือไพล่หลัง มองไป๋อี้เฮ่าเงียบๆ แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังรู้สึกหนักใจ
แม่นมสวี่ยืนเฝ้าอยู่ที่หัวเตียงอีกด้านด้วยจิตใจไม่สงบ มองโม่เสวี่ยถงเป็ระยะ ก่อนจะเลื่อนสายตามาที่ไป่อี้เฮ่าอย่างคาดหวัง มือขยำม่านเตียง เหงื่อไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะที่มองคนทั้งสองก็ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนแม้แต่น้อย
สายตาของทุกคนต่างไปรวมกันที่ไป๋อี้เฮ่า ท่านหมอมากมายที่มาตรวจอาการไม่มีผู้ใดให้คำตอบที่แน่นอนได้แม้แต่คนเดียว ครั้งนี้จึงฝากความหวังที่มีเหลือน้อยเต็มทีไว้ที่ไป๋อี้เฮ่า ภายในห้องเงียบสนิทจนแทบได้ยินเสียงหัวใจของทุกคน เสียงครวญจากสายลมด้านนอกทำให้คนเกิดความตึงเครียดและกดดันโดยไม่รู้ตัว
รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แม่นมสวี่เหงื่อผุดจากหนังศีรษะ มือที่บีบม่านแพรโปร่งแน่นโดยไม่รู้ตัวทำให้แสงสว่างจากด้านข้างผ่านเข้ามามากขึ้น จึงยิ่งมองสีหน้าของโม่เสวี่ยถงได้ชัดเจน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋อี้เฮ่าค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน โม่อวี้อ้าปากเผยอขึ้น แต่ยังไม่ทันเอ่ยถ้อยวาจาก็ถูกโม่หลันกระตุกแขนเสื้อไว้ จึงรีบหุบปากลง
“เป็อย่างไร ญาติผู้น้องของข้าเป็อย่างไรบ้าง” ลั่วเหวินโย่วถามด้วยความร้อนใจ
“ญาติผู้น้องของเ้า...” ดวงตาของไป๋อี้เฮ่าเลื่อนไปที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถง เผยรอยยิ้มบางๆ แล้วหมุนตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง แม่นมสวี่ขยิบตาส่งสัญญาณบอกว่าน้ำชาเย็นชืดหมดแล้ว โม่อวี้จึงรีบไปชงน้ำชามาให้เขาใหม่
“อี้เฮ่า ญาติผู้น้องของข้าป่วยเป็อะไรกันแน่” ลั่วเหวินโย่วเดินตามไป
“คุณหนูสามสบายดี” ไป๋อี้เฮ่ายิ้มอ่อนโยนสง่างาม แล้วหยิบถ้วยชาที่โม่อวี้ชงมาใหม่ขึ้นจิบคำหนึ่งอย่างใจเย็น
“สบายดี? หมายความว่าอย่างไร” ลั่วเหวินโย่วตะลึงงัน หน้าซีดเล็กน้อย นึกว่าเขากล่าวในสิ่งที่มีความหมายตรงข้าม หากญาติผู้น้องเป็อะไรขึ้นมาจริงๆ ท่านย่าจะรับไหวได้อย่างไร
“ก็หมายความว่าสบายดีอย่างไรเล่า คุณหนูสามไม่ได้ป่วยไข้อะไร” แววตาใสกระจ่างของไป๋อี้เฮ่ายังอยู่ที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถง ใบหน้าเล็กอ่อนเยาว์ ขนตายาวที่แผ่คลุมลงอย่างอ่อนแรงอยู่บนเปลือกตา ชวนให้คนรู้สึกสงสาร
เป็แค่เด็กคนหนึ่ง ไฉนจึงต้องทำตัวให้ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก ไฉนจึงสิ้นหวังเช่นนี้ หว่างคิ้วมุ่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขากลอกไปอีกด้านหนึ่ง สีหน้าไร้พลังหมดกำลังใจจะมีชีวิตอยู่ต่อของนาง ทำให้หัวใจของเขาเหมือนรู้สึกถูกกดทับจนอึดอัดหายใจไม่ออก แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็รักษาไว้ไม่อยู่
สำหรับคนที่มีประโยชน์ เขามักจะมีความเมตตากรุณาให้เสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน มันจะต้องเป็เช่นนี้!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้