กู้ฉีเร่งเดินทางมาถึงเมืองไท่ผิงอย่างไม่หยุดพักตลอดทั้งคืนทั้งวัน เมื่อมาถึงก็เพิ่งจะผ่านยามอู่ไป
สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเซียวเล็กน้อย เร่งเดินทางติดต่อกันมาสิบวันสิบคืน หากเปลี่ยนเป็เขาในเมื่อก่อนอาการป่วยคงกำเริบขึ้นมานานแล้ว
เมื่อกู้ฉีลงจากเกวียนก็หันไปถามทางหลิวผิงที่โค้งกายคำนับอยู่ด้านข้าง “คุณหนูโหยวล่ะ?”
“เรียนคุณชาย คุณหนูลูกผู้น้องพักอยู่ในลานบ้านพักขอรับ” หลิวผิงตอบอย่างเคารพนบนอบ
กู้ฉีหยุดชะงักไปเล็กน้อย “เช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ในลานบ้านพักงั้นหรือ?”
“เรียนคุณชาย สามวันมานี้คุณหนูลูกผู้น้องไปบ้านสกุลหูแต่เช้าตรู่ทุกวัน ตอนพลบค่ำจึงจะกลับมาพักผ่อนที่บ้านพักขอรับ” หลิวผิงมองสีหน้าของคุณชายอย่างระมัดระวัง
สีหน้ากู้ฉีเปลี่ยนไปดังคาด เดิมทีใบหน้าที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งครึ้มหนักขึ้นไปอีก
“คุณชาย มีจดหมายเร่งด่วนจากจวนส่งมาด้วยขอรับ” หลิวผิงรีบหยิบออกมาจากภายในลิ้นชักของโต๊ะคิดเงิน
จดหมายเร่งด่วน? กู้ฉีขมวดคิ้วแน่น รับซองจดหมายมาเปิดออกและกวาดตาอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ
ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปไม่น่ามองยิ่งกว่าเดิมทันที
เขาล้างหน้าบ้วนปากอยู่พักหนึ่งด้วยความเร่งรีบ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาด และเร่งไปยังหมู่บ้านวั้งหลิน
ทัศนียภาพที่คุ้นเคยและแปลกตาข้างถนน กู้ฉีเปิดหน้าต่างเกวียนปล่อยให้สายลมพัดผ่านเข้ามา
สายตาของเขาเรียบเฉย ทั้งที่จริงในใจกลับมีคลื่นั์ไหลเชี่ยว
อันซื่อนำเื่ที่ฉีกุ้ยเฟยเรียกเข้าพบบอกแก่บุตรชาย ฮ่องเต้ประชวรหนัก หากวันหนึ่งสิ้นพระชนม์ลง อาณาจักรต้าสยาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายทั้งภายในเองและการรุกรานจากภายนอก อันซื่อพูดคุยกับฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลกู้อยู่นาน คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ เพราะโสมคนชั้นยอดขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต แต่อาการประชวรของฮ่องเต้กลับรั้งไว้ได้อีกไม่นานแล้ว
คิดใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า อันซื่ออยากนำวัตถุดิบอาหารของครอบครัวสกุลหูขึ้นถวาย ขอเพียงไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียด นางรู้สึกว่าน่าจะไม่มีผลกระทบอะไรมาก
กู้ฉีกำหมัดแน่นทันที
จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร เพราะวัตถุดิบอาหารล้วนส่งไปจากฝูอันถังทั้งสิ้น ขอแค่เจตนาจะสืบหาก็สามารถตรวจสอบที่มาของวัตถุดิบอาหารได้แล้ว เอาสกุลหูไปวางไว้ในที่โล่งแจ้งเช่นนั้นก็เป็การจี้ตัวพวกเขาให้ไปย่างอยู่บนไฟอย่างไม่ต้องสงสัย
จะให้สถานการณ์ลุกลามไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ นั่นเป็การกระทำตอบแทนบุญคุณคนด้วยความแค้นและเนรคุณนัก
คิดถึงใบหน้ายิ้มแย้มที่งดงามดั่งทัศนียภาพของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม หัวใจของเขายิ่งแน่วแน่ขึ้นไปอีก จะไม่ยอมให้เื่ของสกุลหูเปิดเผยออกไปอย่างเด็ดขาด
กู้ฉีรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย ในตอนแรกไม่ควรบอกเื่ของสกุลหูกับผู้เป็มารดาเลย แม้นางเป็มารดาที่รักเขาอย่างสุดหัวใจ แต่การเป็ฮูหยินคนโตของจวนสกุลกู้ การกระทำและความคิดเห็นต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของจวนสกุลกู้ก่อนเป็ลำดับแรก
รถม้าควบอย่างรวดเร็ว เขตข้างหน้าจะเข้าสู่หมู่บ้านวั้งหลินแล้ว
“คุณชายขอรับ ทางเข้าของหมู่บ้านวั้งหลินผ่านการซ่อมแซมอย่างเรียบร้อย ปูถนนด้วยอิฐสีฟ้าราบเรียบและกว้างขวาง ดูแล้วน่าจะเป็ครอบครัวสกุลหูช่วยสร้างให้นะขอรับ” เฉินเผิงเฟยบังคับเกวียนขึ้นไปบนถนนอิฐสีฟ้าราบเรียบไร้การโคลงเคลงตามที่คาดไว้
กู้ฉีก็เห็นเช่นกัน เวลายามนี้ของปีที่แล้วยังเป็หมู่บ้านถนนลูกรังอยู่เลย ปีนี้กลับเปลี่ยนไปเป็อีกแบบแล้ว
ผิวถนนราบเรียบปลอดภัย รถม้าเลี้ยวเข้าสู่พื้นที่ส่วนบุคคลเล็กๆ ของสกุลหูด้วยความรวดเร็ว
ใบไม้สีแดงเต็มไปทั่วทั้งูเา ป่าทึบถูกย้อมแดงเป็ชั้นๆ ราวกับแสงสีแดงหนึ่งผืนของขอบฟ้า
ท่าทางของกู้ฉีเหม่อลอยเล็กน้อย เวลาเว้นไปหนึ่งปีเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้ง ใบหงเฟิงในป่าเขาเหมือนหนาแน่นขึ้นไม่น้อยเลย
คนใตู้เา... จะเหมือนเดิมอยู่หรือไม่นะ
บริเวณใกล้ประตูใหญ่บ้านสกุลหู มีรถม้าสี่ล้อเทียบอยู่หนึ่งเกวียน คนขับรถม้ากำลังหลับพักสายตาอยู่บนขอบเกวียน
รถม้าของกู้ฉีเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า คนขับรถม้าเปิดเปลือกตาสองข้างขึ้นแล้วหันมองพวกเขาอย่างดวงตาเป็คบเพลิง [1]
“เอ๋ ผู้ที่ขับรถม้าให้คุณหนูลูกผู้น้องเป็โหยวซานนี่เอง โอ้... หัวหน้าองครักษ์ของจวนสกุลโหยวก็ถูกส่งออกมาด้วย มิน่าเล่าที่คุณหนูลูกผู้น้องจึงกล้าออกจากเมืองหลวงผู้เดียวเช่นนี้” เฉินเผิงเฟยจุ๊ปากกล่าว
โหยวซานเป็หัวหน้าองครักษ์ของจวนท่านโหวเหวินชาง คอยดูแลป้องกันและรักษาความปลอดภัยของทั้งจวนท่านโหวเหวินชาง ฝีมือและความรู้ไม่ธรรมดาอย่างมาก ในฐานะที่เฉินเผิงเฟยเป็องครักษ์ของกู้ฉีมานาน ย่อมคบค้าสมาคมกับเขาเป็ธรรมดา
โหยวซานจำคนที่มาได้ เขาจึงลงจากรถม้ามายืนอยู่ด้านข้างอย่างมั่นคง
“โอ้โห โหยวซาน คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะมาพบกันที่นี่” เฉินเผิงเฟยทักทายด้วยความสนุกสนาน
พวกเขาที่เป็องครักษ์เหล่านี้ มักติดตามเ้านายไปงานเลี้ยงทุกหนทุกแห่ง การอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดจึงเกิดขึ้นค่อนข้างมาก
“องครักษ์เฉิน” เทียบกับความกระตือรือร้นของเฉินเผิงเฟยแล้ว โหยวซานเพียงพยักหน้าน้อยๆ อย่างเ็านัก
เฉินเผิงเฟยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ โหยวซานวางตัวเคร่งขรึมไม่ชอบพูดคุยและยิ้มแย้มสักเท่าไร เขาเป็เช่นนี้มาโดยตลอด
เมื่อกู้ฉีลงจากรถม้า โหยวซานเดินไปทำความเคารพด้านหน้า
“คุณหนูของพวกเ้าออกมานานแค่ไหนแล้ว?” กู้ฉีถาม
“เรียนคุณชายกู้ ออกมายามเฉิน [2] ขอรับ” โหยวซานตอบ
ยามเฉิน? ขณะนี้ยามเว่ย [3] แล้ว นั่นไม่ใช่ว่าอยู่มาเกือบทั้งวันแล้วหรืออย่างไร? กู้ฉีปวดศีรษะทันที
นางอยู่ในบ้านคนอื่นเขานานเพียงนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?
เฉินเผิงเฟยเดินไปข้างหน้าเคาะประตูอย่างคุ้นเคย
“มีคนเคาะประตูแล้ว ท่านอา เปิดประตู… เปิดประตู…” เสียงเด็กน้อยทะลุออกมาจากในลานบ้านเบาๆ
ประตูลานบ้านเปิดออกอย่างรวดเร็ว เป็จ้าวหงยู่ที่พาซิ่วจูออกมาเล่นอยู่หน้าบ้าน
“…ม้า …ม้า ม้าตัวใหญ่ ท่านอา ม้าตัวใหญ่” เด็กสาวตัวเล็กอ้วนจ้ำม่ำวิ่งออกมาจากหลังประตู ชี้ไปยังม้าแข็งแรงที่ลากเกวียนของกู้ฉี แล้วกล่าวเสียงดังติดๆ กัน
“เฮ้อ... ซิ่วจู รีบกลับมาเลย ท่านพี่เ้ากล่าวไว้แล้วนะว่าหากเ้าออกไปนอกประตูอีก พรุ่งนี้จะไม่ให้เ้าออกจากบ้านแล้ว” จ้าวหงยู่รีบไปข้างหน้าดึงซิ่วจูไว้ อย่ามองว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็เด็กเล็กและไร้ฤทธิ์เดชเชียวล่ะ ฝีเท้าเร็วอย่างมาก ไม่ทันระวังเพียงนิดก็วิ่งออกไปไม่เห็นเงาแล้ว
กู้ฉีมองเด็กสาวจ้ำม่ำที่มายืนอยู่ข้างกายเขาด้วยความประหลาดใจ นี่เป็น้องสาวคนเล็กของเจินจูกระมัง ปีที่แล้วตอนที่เห็นนางยังเป็เพียงทารกน้อยหัดเดินเตาะแตะอยู่เลย ปีนี้วิ่งเล่นไปทั่วลานบ้านได้แล้ว
“ที่แท้เป็คุณชายสกุลกู้มานี่เอง เชิญท่านเข้ามาก่อน” จ้าวหงยู่อุ้มซิ่วจูขึ้น และเชิญคนเข้ามาด้านใน
กู้ฉีพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปทางลานบ้าน
“โหยวซาน เ้าช่วยเฝ้ารถม้าหน่อยนะ ข้าจะตามคุณชายเข้าไปทักทายเสียหน่อย” เฉินเผิงเฟยกล่าวพลางหัวเราะ
โหยวซานพยักหน้าอย่างเ็า
ในห้องโถงของบ้านสกุลหูคึกคักอย่างมาก
เจินจูกับโหยวอวี่เวยกำลังห่อเกี๊ยวกันเอง
เมอเมอหวังและจื่อยู่ยืนอยู่ข้างหลังนาง คอยชี้แนะการกระทำบนมือของนาง
บนโต๊ะยังวางเกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วบิดๆ เบี้ยวๆ อยู่ไม่กี่ตัว
เจินจูมองเกี๊ยวเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็กางไม่หุบ
เกี๊ยวที่นางห่อมักดูตลกที่สุดในบ้านมาโดยตลอด แต่เทียบกับโหยวอวี่เวยแล้วกลับดูดีกว่าอย่างมาก
“คุณหนู ต้องแตะน้ำก่อนสักหน่อยถึงจะบีบได้แน่นเ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา ท่านแตะมากไปแล้ว…”
“บีบเบาหน่อยเ้าค่ะ ต้องมีจีบคดเคี้ยวซ้อนกันจึงจะสวยงามนะเ้าคะ”
“ท่านใส่ไส้เยอะเกินไปแล้ว เกี๊ยวจะปริออกมาแล้วเ้าค่ะ”
เจินจูมองอย่างสนุกสนานยิ่ง โหยวอวี่เวยเป็คนที่น่าสนใจนัก อยู่เป็เพื่อนนางมาไม่กี่วันนี้สนุกสนานไม่น้อยเลย
เกี๊ยวที่นางบีบเริ่มก่อตัวเป็รูปเป็ร่าง จึงวางลงในถาดอย่างระมัดระวัง
การเคลื่อนไหวนอกลานบ้าน นางได้ยินชัดเจนดี
กู้ฉีมาแล้ว...
ก็ใช่... ที่โหยวอวี่เวยมา กู้ฉีก็ควรจะมาด้วย
ไม่ว่าเนื่องด้วยเหตุผลอะไร เื่ที่กู้ฉีเป็ผู้นำมาเขามักหาทางออกด้วยตนเองเสมอ
การกระทำของเขาสำหรับเจินจูแล้ว ค่อนข้างเข้าใจอยู่บ้าง
คนหนึ่งกลุ่มเดินอ้อมฉากกั้นมาปรากฏอยู่นอกประตูห้องโถง
“คุณหนู คุณชายห้ามาเ้าค่ะ” จื่อยู่ค้นพบกู้ฉีได้ด้วยสายตาเฉียบคม
โหยวอวี่เวยแสดงออกอย่างอืดอาด แต่ไม่ได้หยุดการกระทำในมือลงเลย
เจินจูหยัดกายลุกขึ้นยืน หยิบผ้าสะอาดบนโต๊ะมาเช็ดมือ
นางเดินไปต้อนรับยังด้านหน้าสองก้าว “พี่ชายกู้อู่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
เด็กสาวท่าทางงดงาม ดวงตาเป็ประกายฟันขาวสะอาด กล่าวด้วยเสียงไพเราะอย่างมีความสุข เหมือนกับบุคลิกในหัวที่เขาคิดถึงอยู่เสมอ
“น้องสาวเจินจู ไม่ได้เจอเ้านานเลย”
เจินจูยิ้ม โบกมือให้เฉินเผิงเฟยที่ติดตามอยู่ด้านหลังของเขา “องครักษ์เฉิน ไม่ได้เจอท่านนานเช่นกัน”
เฉินเผิงเฟยรีบฉีกยิ้มและกล่าวทันที “แม่นางหู ไม่ได้พูดคุยกับเ้ามาหนึ่งปีแล้ว”
โหยวอวี่เวยเห็นพวกเขาทักทายกันอย่างสบายใจจึงวางเกี๊ยวในมือลง หยัดกายขึ้นและเดินไปข้างหน้า ชำเลืองมองกู้ฉีแวบหนึ่งแล้วจึงทักทายด้วยความเ็า “พี่ห้า ท่านมาได้อย่างไร?”
สายตาของกู้ฉีย้ายมาบนกายนาง วันนี้เด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวผ้าไหมสีเหลืองอ่อนสว่างไสว ดูเรียบง่ายและสง่างาม มวยผมสีดำปักปิ่นหยกลายดอกไม้เรียบๆ หนึ่งชิ้น เมื่อก่อนรูปร่างหน้าตาสวยงามและสดใส ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยนไปงดงามละเอียดอ่อนและดูสุภาพมีความหมายแฝงลึกซึ้งขึ้น บุคลิกลักษณะแตกต่างไปค่อนข้างมาก
“เ้าออกจากเมืองหลวงมาสถานที่ไกลเช่นนี้คนเดียว ข้าจะไม่มาได้หรือ” กู้ฉีน้ำเสียงจนปัญญาอยู่เล็กน้อย
หากเป็เมื่อก่อนโหยวอวี่เวยต้องเต็มไปด้วยความดีใจอย่างแน่นอน น่าเสียดายนางในตอนนี้กลับเบะปากไม่กล่าวอะไร
“คุณชายห้า!”
จื่อยู่กับเมอเมอหวังรีบโค้งกายทำความเคารพ
กู้ฉีมองพวกเมอเมอหวังแวบหนึ่ง แล้วจึงแสดงท่าทีให้พวกนางไม่ต้องมากพิธี
เฉินเผิงเฟยก็รีบทำความเคารพโหยวอวี่เวยเช่นกัน
เจินจูเชิญให้กู้ฉีนั่งลง หลังจากนั้นรับซิ่วจูมาจากมือจ้าวหงยู่ รบกวนให้นางไปยกน้ำชาร้อนๆ มาให้พวกเขา
“ท่านพี่ ข้างนอกมีเ้าม้าด้วย… เ้าม้าตัวใหญ่มาก…” มือป้อมของซิ่วจูทำท่าทางความสูง ดวงตาเป็ประกายดำวิบวับ
“อื้ม นั่นเป็ม้าของพี่ชายท่านนี้ ซิ่วจู เรียกพี่ชายสกุลกู้สิ” เจินจูอุ้มเด็กสาวจ้ำม่ำตัวน้อย และให้นางทักทายคน
ซิ่วจูมองไปมาอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ แล้วจึงะโเสียงเด็กน้อยน่ารักออกมา “พี่ชายสกุลกู้…”
“น้องสาวซิ่วจู” กู้ฉีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขาล้วงเอาถุงผ้าไหมสีสวยปักลายไผ่กวนอิมหนึ่งใบออกมาจากในอกด้วยความเคยชิน “นี่... อันนี้ให้เ้าเอาไว้เล่น”
การเดินทางครั้งนี้เขาเร่งรีบไปหน่อย นำติดตัวมาเพียงของติดกายเล็กน้อยกับเงินเท่านั้น
ถุงผ้าไหมสีงดงามใบนี้เป็เขาฉวยใส่ในอกเสื้อไว้
นำมาให้แม่นางน้อยใช้เป็ของเล่นได้พอดีเลย
พอเจินจูมองก็รู้ได้ว่าด้านในคืออะไร
ครั้งก่อนกู้ฉีเห็นผิงซั่นก็ให้เม็ดทองหนึ่งถุงเช่นกัน
ซิ่วจูใช้ฟันงับนิ้วมือตัวเอง และมองผู้เป็พี่สาวของตน
“รับไว้เถอะ กล่าวขอบคุณพี่ชายด้วยนะ” เจินจูพยักหน้า เม็ดทองเม็ดเงินนางก็มีมากแล้วเช่นกัน น่าเสียดายหยิบออกมาใช้ไม่ได้ง่ายๆ เลย
“ขอบคุณพี่ชาย…” เสียงเด็กน้อยอายุสองปีออดอ้อนน่ารักจนหัวใจคนแทบละลาย
โหยวอวี่เวยมองกู้ฉีด้วยความอิจฉาตาร้อน วันก่อนนางซื้อกำไลกับสร้อยกระดิ่งเงินเป็ชุดมอบให้ซิ่วจู แต่ซิ่วจูมองอยู่สองทีก็ไม่สนใจแล้ว
กู้ฉีมอบเม็ดทองให้ เด็กสาวตัวเล็กกลับสนใจเล่นอย่างร่าเริง
หากรู้เร็วกว่านี้นางก็จะมอบให้หนึ่งถุงเช่นกัน ในห้องเก็บของของนางสะสมเม็ดเงินเม็ดทองที่ผู้าุโให้เป็รางวัลไม่น้อยเลย
นางห่อเหี่ยวใจเล็กน้อย และเริ่มห่อเกี๊ยวของนางต่อ
เจินจูใช้สายตากวาดผ่านคนสองคน เด็กสาวที่ไล่ตามกู้ฉีไปทั่วผู้นั้นทำไมลักษณะนิสัยถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันได้ ไม่คิดเลยว่าจะเมินเฉยใส่เขาเช่นนี้
กู้ฉีก็ไม่เข้าใจเช่นกัน การที่โหยวอวี่เวยร่าเริงมีชีวิตชีวามาตลอดได้เปลี่ยนไปจนเงียบสงบไม่พูดไม่จา เขารู้สึกว่าพอนางเป็เช่นนี้แล้วไม่ชินเลยจริงๆ
เป็ไปตามคาด บรรยากาศเงียบสงบขึ้นในฉับพลัน
เจินจูอุ้มซิ่วจูขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่คิดว่าจะทำลายสถานการณ์นี้อย่างไรดี
จ้าวหงยู่ก็ได้ประคองน้ำชาเดินเข้ามา
ยกน้ำชาให้และถือโอกาสอุ้มซิ่วจูออกไป
เจินจูเลี่ยงไม่ได้จึงเอ่ยปากถาม “พี่ชายกู้อู่ ท่านมาถึงเมืองไท่ผิงตอนไหนหรือ?”
“อืม... เพิ่งมาถึงเมื่อตอนกลางวัน” กู้ฉีตอบ
เพิ่งถึงตอนกลางวัน? แล้วก็รีบมาเลยเนี่ยนะ ดูท่าว่าจะตามโหยวอวี่เวยมา แต่ดูจากอารมณ์ของสองคนแล้วคล้ายกับมีความลึกซึ้งอยู่บ้าง โหยวอวี่เวยท่าทางเ็าจ้องอยู่ที่เกี๊ยวตรงหน้า แต่หูที่ตั้งตรงขึ้นของนางกับสายตาที่แอบมองอยู่เป็ระยะ ล้วนทรยศความคิดภายในใจของนางออกมาจริงๆ
เบ้าตาของกู้ฉีคล้ำลงไปหน่อย ลักษณะท่าทางหดหู่ไปบ้าง น่าจะเร่งเดินทางมาแล้วเหน็ดเหนื่อย แต่เขายังรีบมาหาโหยวอวี่เวย ทว่าในดวงตาที่เขามองไปทางนางราวกับไม่ได้มีความรักความผูกพันอยู่เลย สรุปแล้วเขาให้ความสำคัญ? หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกันแน่?
เื่ราวซับซ้อนเกินกว่าจะแยกออกได้ชัดเจนจริงๆ เลย
เชิงอรรถ
[1] ดวงตาเป็คบเพลิง หมายถึง การมองด้วยความโกรธเคือง หรือดวงตาเป็ประกาย สว่างไสวฉลาดเฉียบแหลม
[2] ยามเฉิน หรือ 辰时 คือ เวลา 7.00 - 8.59 น.
[3] ยามเว่ย หรือ 未时 คือ เวลา 13.00 - 14.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้