ตอนที่ 3
เล่าจื๊อและถุงน่อง
อดีต
(ทำไมสอบรอบนี้คะแนนไม่ค่อยดีเลยล่ะลูก)
“...”
“ขอโทษครับแม่”
เล่าจื๊อกล่าวเสียงแ่ เมื่อได้ยินประโยคตำหนิผ่านปลายสาย...เมื่อไม่นานมานี้คือการสอบกลางภาค แม้จะสอบได้ในลำดับต้น ๆ ของห้อง แต่ก็ยังไม่เป็ที่พึงพอใจของผู้เป็แม่อยู่ดี
(ขยันอ่านหนังสือหน่อยสิ ไม่ใช่ว่าอยู่ห่างหูห่างตาแม่แล้วก็เริ่มี้เี)
เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น เขาอยากจะเถียงกลับไปเหลือเกินว่าพยายามมากเพียงใด เขาใช้เวลาแทบทั้งวันไปกับการอ่านหนังสือจนไม่สนใจกิจกรรมอื่น เขาี้เีและหย่อนวินัยเมื่อไรกัน...แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบและตอบรับเท่านั้น
“ครับแม่”
“ดูจักรพรรดิเป็ตัวอย่างสิ”
“...”
“รอบนี้เห็นว่าสอบได้คะแนนสูงที่สุดในห้องอีกแล้ว จื๊อต้องเอาอย่างเพื่อนให้มาก ๆ นะลูก”
ปลายสายเอ่ยด้วยความหวังดี ในมุมมองของเธอคงจะเป็เช่นนั้น ทว่ามันกลับส่งผลกระทบให้ผู้ฟังรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว เช่นเดียวกับความรู้สึกในแง่ลบที่มีต่อตัวเ้าของชื่อมากยิ่งขึ้น
อีกแล้ว
อะไร ๆ ก็จักรพรรดิ...วันหนึ่งหมอนั่นก็เอาแต่เล่นกีฬา วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ในขณะที่จื๊อต้องพยายามอ่านหนังสือทุกเช้า เย็น แต่ว่าแม้จะพยายามแทบตาย ก็ไม่สามารถเก่งเทียบเคียงอีกฝ่ายได้อยู่ดี อีกทั้งยังถูกเปรียบเทียบแทบทุกครั้งที่มีโอกาส
เขาทั้งเหนื่อยกว่า ถูกกดดันมากกว่า พยายามมากกว่าตั้งหลายเท่า ทำไมถึงยังเป็ฝ่ายเดินตามหลังหนึ่งก้าวให้ถูกเปรียบเทียบเสมอ...น่าเจ็บใจ
“...”
สายถูกตัดไปนานแล้ว ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คอยฟังเสียงโหวกเหวกจากห้องข้างๆ ที่ดังทะลุกำแพงมาถึงห้องพักของตน เห็นว่าเป็เด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน คงจะนัดรวมตัวเพื่อนมาเล่นเกมด้วยกันอีกตามเคย
ปัจจุบันเล่าจื๊อเป็นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ณ โรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร บังเอิญเหลือเกินที่ทั้งเขาและจักรพรรดิสอบเข้าได้ที่เดียวกัน อีกทั้งยังได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันอีกต่างหาก
เมื่อย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาเรียนต่อ จื๊อก็ได้พักอยู่ในหอพักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีญาติของจักรพรรดิเป็เ้าของ ในขณะที่อีกฝ่ายพักอยู่ที่บ้านกับครอบครัวในกรุงเทพฯ อยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก
เขาจำไม่ได้แล้วว่ามีความรู้สึกไม่ชอบใจในตัวจักรพรรดิั้แ่เมื่อไร แม้ว่า่อนุบาลและประถมจะอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ทว่าเมื่อขึ้นชั้นมัธยมต้น จื๊อก็เริ่มเป็ฝ่ายตีตัวออกห่าง เขาไม่ชอบที่จักรพรรดิชอบทำตัวยั่วโมโหใส่ ไม่ชอบที่ตนถูกนำไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายที่เป็เหนือกว่าทุกด้าน
...และไม่ชอบที่จักรพรรดิเอาแต่ตัวติดอยู่กับเขา ทั้ง ๆ ที่เ้าตัวก็มีเพื่อนใหม่มากมายจนนับไม่ถ้วน ทำเอาชีวิตเขาวุ่นวายตามไปด้วย
เสียเวลาคิดเื่ไร้สาระมานานเกินไปแล้ว...เล่าจื๊อรีบสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเดินไปเปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
.
.
.
กิจวัตรในแต่ละวันของจื๊อมีอยู่ไม่กี่อย่าง ไปเรียนทุกวันไม่ให้ขาด หลังจากเลิกเรียนแล้วก็แบกกระเป๋าไปเรียนพิเศษต่อ หากวันใดไม่มีเรียนพิเศษก็จะมานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียน จนกว่าบรรณารักษ์จะมาไล่ออกไป อย่างเช่นวันนี้
ตุบ!
“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือไง”
กระเป๋าเป้ถูกโยนลงบนโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นจักรพรรดิในสภาพเสื้อนักเรียนที่ปล่อยชายออกนอกกางเกง เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ คงจะเล่นกีฬาอีกตามเคย ่นี้ใกล้กีฬาสีแล้วเสียด้วย อีกฝ่ายลงสมัครแข่งขันกีฬาหลายประเภท ในขณะที่จื๊อไม่สนใจสิ่งเ่าั้เลยสักนิด เขาเพียง้าอ่านหนังสือเพื่อทำคะแนนสอบให้ดีในครั้งต่อไปก็เท่านั้น
“...” เด็กหนุ่มเงียบไม่ตอบ เพียงก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป
“กลับเถอะ จะมืดอยู่แล้ว”
ไม่ว่าเปล่า ยังแย่งหนังสือจากมือไปโดยพลการอีก คราวนี้จื๊อขมวดคิ้วแล้วช้อนสายตาขึ้นมองกันอย่างไม่พอใจ รีบแย่งหนังสือกลับมาด้วยความว่องไว
ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้เช่นนี้ก็ต้องนึกถึงคำพูดของแม่เมื่อไม่กี่วันก่อนทุกครั้ง หลังจากวันนั้น เขาก็ตั้งใจอ่านหนังสือหนักกว่าเดิมถึงสองเท่า เล่าจื๊อพบว่าตนเองเป็คนหัวไม่ดี เรียนรู้ได้ช้าและต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็เท่าตัวในการทำความเข้าใจอะไรสักอย่าง
อย่างไรก็ตาม พอได้เห็นคนที่ไม่ต้องพยายามอะไร อีกทั้งยังได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานสมวัย ก็อดจะรู้สึกอิจฉาลึก ๆ ไม่ได้...ั้แ่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาเอาตัวเองเข้าไปแข่งขันกับอีกฝ่าย
“สอบครั้งต่อไป เราจะทำคะแนนให้มากกว่านาย”
“จะเอาจริงเอาจังไปถึงไหนวะจื๊อ มันก็แค่คะแนนสอบ”
คนหนึ่งมองว่าเป็เื่ไร้สาระ และนั่นทำให้จื๊อรู้สึกขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด เขาเติบโตมาพร้อมกับระบบความคิดที่ชูเื่คะแนนสอบเป็สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง คนที่ไม่ต้องพยายามตั้งใจเรียนแต่ก็ยังโดดเด่นและได้ดีอย่างเ้าตัวจะมาเข้าใจอะไรเขากันล่ะ
จื๊อยังคงทำหน้ามุ่งมั่น คนที่ยืนกอดอกอยู่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย สักพักก็มองกลับด้วยสีหน้าและรอยยิ้มยั่วโมโหอย่างที่ชอบทำ
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูนะ”
จื๊อรู้สึกว่ากำลังถูกเยาะเย้ย ยิ่งมองหน้าก็ยิ่งเจ็บใจ
“นายกลับบ้านไปสิ เย็นแล้วไม่ใช่เหรอ”
จักรพรรดิไม่ตอบ ทำเป็หูทวนลมแล้วนั่งลงเท้าคางที่ฝั่งตรงข้ามกัน หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นฆ่าเวลาเงียบ ๆ โดยไม่ต่อบทสนทนาอะไรด้วยอีก
รออีกแล้ว...
มันมักจะเป็อย่างนี้ทุกครั้ง...จักรพรรดิมักจะมานั่งรอเขาที่ห้องสมุดหรือสถาบันเรียนพิเศษ เพื่อกลับบ้านพร้อมกันอย่างเช่นทุกวัน อีกฝ่ายทำเหมือนเขาเป็พวกดูแลตัวเองไม่ได้ แม้แต่กลับหอพักก็ต้องเดินตามส่ง
“ก็เธอดูเหมือนพวกไก่อ่อน ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้”
“ทางผ่านบ้านพอดี ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เดินมาส่งหรอก”
จื๊อเจ็บใจ ไม่ว่าจะเป็การกระทำ คำพูดและการแสดงทางสีหน้า มักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็คนอ่อนหัดที่ถูกเยาะเย้ยอยู่เสมอ
วันนั้นจื๊อหน้าบูดตลอดทาง แม้กระทั่งเข้าห้องแล้วก็ยังแอบมองร่างสูงที่เดินกลับบ้านของตัวเองหลังจากส่งเขาเข้าหอพักเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยแววตาไม่เข้าใจและขุ่นเคือง
...ทำไมทุก่เวลาของชีวิตจะต้องมีอีกฝ่ายอยู่ด้วยตลอดเลยนะ
เขาเกลียดจักรพรรดิ...เขาเกลียดผู้ชายที่ชื่อจักรพรรดิจริง ๆ !
...
ปัจจุบัน
หลายวันต่อมา
16.30 น.
“เฮ้อ...เสร็จสักที”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอย บนโต๊ะทำงานกระจัดกระจายไปด้วยแผ่นกระดาษและอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย
เนื่องจากจื๊อเริ่มเข้ามาทำงานใน่สิ้นเดือนพอดี นอกจากจะต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว ก็ยังต้องพบกับกองทัพตัวเลขมากมายที่สะสมมาตลอดทั้งเดือนอีกต่างหาก…ตอนนี้เขาเริ่มทำงานมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่ค่อยรู้จักคนใหม่ ๆ สักเท่าไร เนื่องจากต้องจมอยู่กับการทำบัญชีอยู่ในห้องจนหัวฟู
เขาเริ่มสงสัยอย่างจริงจัง...ว่าในอดีต ตนอาจจะถูกผีเข้าหรือสมองกลับจริง ๆ ก็เป็ได้ ถึงได้เลือกเรียนคณะบัญชีและเดินสายงานที่น่าปวดหัวอย่างนี้
คิดเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ก่อนจะสะบัดศีรษะเรียกสติแล้วตั้งท่าจะเริ่มลงมือจัดการกับความเละเทะบนโต๊ะ เป็จังหวะเดียวกันที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามากะทันหัน
“ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะคะ”
“น้องหญิง?”
ภาพที่เห็นคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย มีเส้นผมสีบลอนด์เทาและอยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีกรมท่ายืนอยู่ที่หน้าห้อง...เ้าหญิง คือลูกสาวคนเล็กของตระกูลเทพวงษ์สา
เท่าที่เขารู้ บ้านหลังนี้มีพี่น้องอยู่ทั้งหมดสามคน พี่คนโตชื่อฮ่องเต้ ปัจจุบันคือเ้าของค่ายมวยและเป็ผู้ถือหุ้น 50% ของ THE EMPEROR ร่วมกันกับจักรพรรดิซึ่งเป็ลูกคนกลาง และเ้าหญิงคือน้องคนเล็ก อีกทั้งยังเป็ผู้หญิงเพียงคนเดียว
พ่อและแม่ของพวกเขามีฐานะร่ำรวย หากแต่มีปัญหาจนต้องหย่าร้างกันไป ฝ่ายผู้หญิงตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนไปสร้างบ้านหลังใหม่ที่ต่างจังหวัด โดยพาจักรพรรดิไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียว...นั่นเป็สาเหตุที่เขาได้พบกับอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนข้างบ้าน
เ้าหญิงเพิ่งจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไม่นาน ปัจจุบันกำลังพยายามสร้างแบรนด์รองเท้าเป็ของตัวเอง แน่นอนว่ารวมถึงสินค้าจำพวกถุงเท้าและถุงน่องด้วย
เด็กสมัยนี้เก่งกันจริง ๆ จื๊อหันกลับมามองความลำบากของตัวเองแล้วก็ได้แต่แอบน้ำตาตกในใจคนเดียวเงียบ ๆ
ชายหนุ่มยืนทำหน้าสงสัยอยู่นาน ฝ่ายคนเข้ามาใหม่ก็คล้ายจะอ่านใจกันได้ จึงอธิบายคลายความสงสัยให้
“วันนี้น้องมีธุระทั้งวันเลยค่ะ พี่จักรเพิ่งจะไปรับมา”
“อ้อ...”
จื๊อคิดว่าเขาควรจะรีบกลับบ้านได้แล้ว หากจักรพรรดิไปรับน้องสาวมา นั่นหมายความว่าตอนนี้เ้าตัวก็คงจะอยู่ที่นี่ด้วย...เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเก็บของ รวบรวมกระดาษที่กระจัดกระจายไปเก็บที่มุมหนึ่งของห้อง ระหว่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมาตลอดจนเริ่มแอบรู้สึกร้อนหลัง
“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
สุดท้ายก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เ้าหญิงเดินนวยนาดไปนั่งไขว่ห้างบนโซฟาซึ่งอยู่ไม่ไกล เอานิ้วชี้จิ้มกันจึ้ก ๆ คล้ายกับอาย ก่อนจะเอ่ยความรู้สึกในใจออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
“พี่จื๊อขาสวยจังเลยค่ะ”
“...”
พลันผู้ฟังหน้าร้อนวาบ รู้สึกไม่ชินสักเท่าไรเวลามีคนมาชมแบบนี้ อดจะแอบก้มหน้าลงมองเรียวขาที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ ว่ามันดูดีกว่าชาวบ้านอย่างไร ทว่าสักพักหนึ่งเ้าหญิงก็ทำหน้าขึงขังขึ้นมา
“ไอ้พี่จักรมันคลั่งขาแบบนี้ยิ่งกว่าอะไร อย่าไปเผลอให้เห็นเชียวนะคะ!”
ไม่ว่าเปล่า ยังชี้นิ้วกำกับประกอบคำพูดอีกต่างหาก ร่างขาวได้แต่แอบดันแว่นขึ้นแล้วเม้มปากเข้าหากันเล็กน้อย...จะบอกอย่างไรดีนะว่าอีกฝ่ายเคยเห็นเรือนร่างของเขามาแล้วทุกซอกทุกมุม แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เ่าั้ได้กลายเป็อดีตไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีทางได้เห็นส่วนลับใต้ร่มผ้าของกันและกันอีกอย่างแน่นอน จื๊อขอเอาหัวเป็ประกัน!!
“ครับ พี่จะระวัง...พอดีวันนี้เผลอทำน้ำหกใส่กางเกง ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็กางเกงขาสั้นน่ะ”
ว่าจบก็เริ่มจัดเก็บโต๊ะต่อเรื่อย ๆ จนมันเริ่มเป็ระเบียบมากยิ่งขึ้น กระทั่งเก็บของชิ้นสุดท้ายเข้าที่ได้ก็ถึงกับต้องปาดเหงื่อ ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จึงพบว่าเ้าหญิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ทว่าในมือของเธอมีถุงกระดาษอยู่หนึ่งถุง
หญิงสาวส่งยิ้มแห้งให้กัน เมื่อมีเื่ที่้าความช่วยเหลือจากเล่าจื๊ออย่างเร่งด่วน
แน่นอนว่าจื๊อแอบรู้สึกระแวงนำไปก่อนแล้ว
“แบบว่า...จะฟังดูแปลกไหมคะ ถ้าน้องอยากขอให้พี่จื๊อใส่ถุงน่องให้ดู”
“ฮะ...”
พูดว่าอะไรนะ?
“พอดีว่าน้องเพิ่งจะออกคอลเล็กชันใหม่ กำลังหาขานางแบบอยู่พอดี แต่ถ้าพี่จื๊อใส่ต้องเข้ามากแน่ ๆ เลยค่ะ”
เ้าหญิงรีบหยิบถุงน่องจากในถุงออกมาให้ดูแล้วเริ่มอธิบายต่อ ในขณะที่อีกคนทำอะไรไม่ถูก เอาแต่ยืนเหม่อค้างอยู่อย่างนั้น...ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่า้านายแบบไปทดลองใส่สินค้า แต่ทำไมต้องเป็ขาของเขาด้วยล่ะ!
“เถอะน่า ยังไม่มีใครเข้ามาหรอก ขอลองนิดหนึ่งนะคะ”
ดวงตากลมสวยเป็ประกายวาววับ ทำท่าจะพุ่งเข้ามาตะครุบเพื่อสวมถุงน่องให้กันให้ได้ จื๊อบอกตัวเองว่าเื่นี้จะต้องปฏิเสธเท่านั้น ทว่ารู้ตัวอีกทีก็ยอมเดินตามแรงจูงมายังโซฟาด้วยสภาพมึนงง มองหญิงสาวคนสวยที่เริ่มรุ่มร่ามกับขาของตนทันทีที่นั่งลงได้
เขาปฏิเสธผู้หญิงไม่เป็เลยสักครั้ง แต่หากคิดอีกแง่ ก็ถือว่าเป็การช่วยเหลืออีกฝ่ายไปในตัวสินะ...ชายหนุ่มนั่งเกร็งตัวแข็งทื่อเป็หุ่น ดวงตาใต้กรอบแว่นเอาแต่จดจ้องถุงน่องสีดำลายลูกไม้ที่ถูกสวมขึ้นมาถึงบริเวณน่องอย่างเชื่องช้า ครั้นเมื่อเ้าหญิงดึงถุงน่องขึ้นสูงถึงเข่า เขาก็เผลอหุบขาเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“พะ พี่ว่าแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
ภาพขาข้างหนึ่งของตนที่มีถุงน่องสวมคาอยู่อย่างไม่เรียบร้อยเป็ภาพที่ไม่ค่อยชินตาสักเท่าไรนัก อีกทั้งยังดูประหลาดเสียมากกว่า เขายังหาความน่าสิเน่หาจากขาของตนไม่เจอ นอกจากความรู้สึกอายเท่านั้น
เ้าหญิงอมลมจนแก้มป่อง ทำหน้าเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ฝืนใจกันอีก เธอมองเรียวขาตรงหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ คิดว่าจะทำถุงน่องคอลเล็กชันนี้ออกมาอีกเยอะ ๆ ฝ่ายคนอายุมากกว่านั่งเกร็งจนเหงื่อตก ทำท่าจะเอ่ยถามว่าเขาสามารถถอดมันออกได้หรือยัง
“ถุงน่องเข้ากับขาของพี่จื๊อมากกว่าที่หญิงคิดอีกนะคะเนี่ย---”
“น้องหญิง น้องขโมยเงินในกระเป๋าพี่ไปอีกแล้วเหรอวะ”
“!!!”
เสียงใสยังกล่าวไม่ทันจบประโยค พลันได้ยินเสียงโวยวายดังมาแต่ไกล พร้อมกับบานประตูที่ถูกเปิดออกกะทันหันโดยไม่บอกไม่กล่าว จักรพรรดิยืนขมวดคิ้ว ดวงตาคมจับจ้องไปยังน้องสาวของตนในคราวแรก แล้วเลื่อนมายังคนที่ทำหน้าตื่นอยู่บนโซฟา ก่อนจะหยุดลงที่เรียวขาซึ่งมีถุงน่องสีดำใส่คาเอาไว้
พลันบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ เมื่อจักรพรรดิยังคงวางสายตาไว้ที่จุดเดิมอย่างจงใจ
“...”
จื๊อหน้าร้อนจนแทบไหม้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถูกจับจ้องอยู่ในสภาพใดก็รู้สึกอับอายขึ้นมาเป็ร้อยเท่า รีบหาหมอนบริเวณนั้นมาบังขาของตนเอาไว้ด้วยความลนลาน...ในขณะที่เ้าหญิงไม่สะทกสะท้าน อีกทั้งยังยิงคำถามใส่พี่ชายหน้าตาเฉย
“เซ็กซี่ใช่ไหมล่ะ!”
ทันทีที่ได้ฟัง คนหน้าบางก็อยากจะเอาหน้ามุดโซฟาหนีไปเดี๋ยวนี้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังบอกว่าไม่ควรให้จักรพรรดิเห็นกันในสภาพนี้เลยด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้เ้าตัวกลับขยับตัวหลบเล็กน้อยให้ผู้เป็พี่ชายได้มองจื๊ออย่างสะดวกอีกต่างหาก ปล่อยให้ตัวเขานั่งตัวสั่นเป็ลูกนกไร้ทางหนี ท่ามกลางวงล้อมของพี่น้องปีศาจ
ร่างสูงยืนกอดอกพิงวงกบประตู มองเล่าจื๊อั้แ่หัวจดเท้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะป้องปากหาวหวอด ๆ แล้วตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย
“ก็ไม่เห็นจะเซ็กซี่อะไร”
เ้าหญิงเบ้ปาก คล้ายกำลังตั้งคำถามว่าคนตัวขาว ๆ ขาสวย ๆ แบบเล่าจื๊อ เวลาใส่ถุงน่องลายลูกไม้เช่นนี้แล้วดูไม่ดีตรงไหน พี่ชายของเธอนอกจากจะสติไม่ดีแล้ว ยังเป็พวกมีปัญหาทางสายตาอีกด้วยสินะ
“พี่จักรตาถั่ว มีตาซะเปล่า อ๊ะ โทรศัพท์เข้า...เดี๋ยวมานะคะพี่จื๊อ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา หญิงสาวหันมาพูดกับคนบนโซฟาในประโยคสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยเล่าจื๊อในสภาพมีถุงน่องคาขาให้อยู่ตามลำพังกับใครอีกคนในห้อง
พลันบรรยากาศระหว่างกันน่ากระอักกระอ่วน เมื่อจักรพรรดิแม้จะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตาคู่คมกลับเอาแต่จับจ้องอยู่ที่เรียวขาอยู่อย่างนั้น แทบจะไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตั้งใจกลั่นแกล้งให้อับอายหรือว่า้าสิ่งใดกันแน่
ร่างขาวดันกรอบแว่นขึ้นแล้วกระแอมกระไอ พยายามจะหยุดสถานการณ์ประหลาดนี้ด้วยการถอดถุงน่องออก ทว่ากลับได้ยินเสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาก่อน
“จะถอดแล้วเหรอ”
“...”
จื๊อเผลออมลมในปากจนแก้มพอง เลือกจะทำเป็หูทวนลมแล้วพยายามถอดถุงน่องต่อด้วยความมุ่งมั่น คนหนึ่งใช้ความเงียบแก้ปัญหา ทว่าอีกคนหนึ่งก็ไม่ย่อท้อที่จะทำตัวเป็ปัญหาต่อเช่นกัน
“ใส่ต่ออีกสักพักสิ”
“ทำไมต้องใส่ต่อด้วย”
ดวงตาใต้กรอบแว่นช้อนขึ้นมองกันด้วยความสงสัย ระยะห่างระหว่างกันเริ่มลดหลั่นลง เมื่อร่างสูงเดินมานั่งยองตรงหน้า พวกเขามองสบกันครู่หนึ่ง คราวนี้จักรพรรดิไหวไหล่พลางโคลงศีรษะตอบ
“คิดเอาเอง ไม่บอกหรอก”
พลันจื๊อขมวดคิ้วแน่น ข้างขมับเต้นตุบ ๆ
ยั่วโมโห...ยั่วโมโหกันอยู่สินะ!!
ร่างขาวเริ่มปากคว่ำ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มแค่นหัวเราะเยาะก็จ้องเขม็งใส่กันคล้ายกับกำลังขู่ในแบบฉบับของตนเอง ทว่าก็ไม่มีปัญญาทำอะไรไปมากกว่านั้น การพยายามถอดถุงน่องกลายเป็เื่ลำบาก เมื่อจื๊อยังคงถูกก่อกวนอยู่เช่นนี้
“เราจะกลับบ้านแล้---!!!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายลงคอ พร้อมกับร่างของเล่าจื๊อที่สะดุ้งโหยงสุดตัว ยามถูกปลายนิ้วเขี่ยลากไล้ั้แ่ข้อเท้าขึ้นไปถึงปลีน่องอย่างรู้จุดอ่อน เขาเผลอยกเท้าขึ้นยันอกคนตรงหน้าทันทีด้วยความใ ทว่านอกจากจะไม่แสดงท่าทีไม่พอใจแล้ว ดวงตาคมปลาบที่ช้อนขึ้นมองกันยังเป็ประกายวาววับ ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็รอยยิ้มร้าย คล้ายกับกำลังท้าทายกันอยู่ในที
‘ถีบอีกสิ เอาให้หงายท้องไปเลยนะ กำลังรอรับอยู่เลย’ ...เขารู้สึกคล้ายกำลังถูกบอกว่าอย่างนั้น
จื๊อแอบร้องไห้ ถีบขาแดดิ้นในใจ
ผู้ชายคนนี้้าอะไรจากเขานักหนานะ!!
ชายหนุ่มส่งเสียงฮึดฮัดแล้วพยายามชักเท้ากลับ ทว่ากลับถูกจับข้อเท้าเอาไว้ ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยบริเวณตาตุ่มไปมาอย่างหยอกเย้า คนบนโซฟาเดี๋ยวเกร็งตัว เดี๋ยวออกแรงยันอกเบา ๆ อยู่หลายครั้ง กระทั่งทนไม่ไหว
“ปล่อยนะ!”
“ใส่ถุงน่องมาทำงานทุกวันดีปะ เดี๋ยวให้เงินเดือนเพิ่ม”
ไม่ว่าจุดประสงค์ของประโยคดังกล่าวจะเป็เช่นไร ทว่าจื๊อก็ตัดสินใจไปแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะ้าพูดยั่วยุให้เขาโมโหเล่นก็เท่านั้น และมันได้ผลดีทีเดียว คนบนโซฟาหน้าแดงก่ำจนคล้ำ ชักเท้าออกสุดแรงในจังหวะสุดท้ายแล้วโพล่งออกไปอย่างเหลืออด
“โรคจิต!”
บนโลกใบนี้คงไม่มีใครหน้าด้านหน้าทนเกินกว่าโดนด่าแล้วจะรู้สึกดี แต่จื๊อคงจะลืมไปว่าอีกฝ่ายคือจักรพรรดิ เทพวงษ์สา ผู้ชายที่เกิดมาใช้ตรรกะสวนทางกับคนแทบทั้งโลก ในจังหวะที่กำลังเดินหนีออกจากห้อง จึงได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลัง ทั้งที่ถูกต่อว่าไปขนาดนั้นแล้ว
เ้าหญิงที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์เสร็จเดินกลับมาอีกครั้ง เห็นเล่าจื๊อเดินสวนกับตนไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง เธอมองตามด้วยความสงสัย แต่เมื่อหันไปเห็นพี่ชายของตนก็ต้องเบิกตากว้าง
“พะ พี่จักรคะ! เื!!”
หญิงสาวรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาพี่ชายทันทีแล้วคุ้ยหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าด้วยความลนลาน ในขณะที่จักรพรรดินั่งชันเข่า เท้ามือไปด้านหลังด้วยท่าทางผ่อนคลาย ปล่อยให้เืกำเดาไหลออกมาโดยไม่ใส่ใจ
“ฮ่า ๆ ...แม่งเอ๊ย...”
ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดเืกำเดาออกลวก ๆ ส่งเสียงแค่นหัวเราะเจือคำสบถ ดวงตาคมมองบานประตูที่ถูกปิดสนิทหลังจากใครอีกคนเพิ่งจะเดินออกไป
“ฟังแล้วรู้สึกปึ๋งปั๋งเลยเว้ย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้