หยางเฉินรู้ดีว่าเื่นี้ไม่ควรจะจบแบบนี้ แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าหลินรั่วซีจะเรียกเขาไปหาพร้อมกับจ้าวหงเยี่ยนเขาค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อยถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างจ้าวหงเยี่ยนกับเขาเลยก็ตามแต่พวกเขาก็ได้จูบและกอดกัน เขาไม่อาจจะลืมมันไป และอ้างว่าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรใช่มั้ย!?
ห้านาทีถัดมา หยางเฉินกับจ้าวหงเยี่ยนก็เดินไปหยุดที่หน้าออฟฟิศของซีอีโอที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารนี่เป็ครั้งที่สองของหยางเฉินที่เดินมาที่นี่ในขณะที่จ้าวหงเยี่ยนไม่เคยก้าวเท้ามาที่นี่ใน่เวลาสามปีที่ผ่านมาในอวี้เหล่ยเลย
ถึงแม้ว่ายังคงมีคราบน้ำตาบนใบหน้าของเธอแต่มันก็สายเกินไปแล้วที่จะทำอะไรกับมัน เธอมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ต้องตื่นเต้น นั่งลงก่อนสิ”
หลินรั่วซีไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมดังกล่าวของจ้าวหงเยี่ยนนักจากนั้นเดินไปกดน้ำจากตู้ที่มุมห้อง ในมือของเธอมีชาเขียวร้อนๆที่เพิ่งถูกชงใส่แก้ว มันมีสีเขียวอ่อนๆและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องให้ความรู้สึกผ่อนคลายก่อนที่หลินรั่วซีจะวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะกาแฟมะฮอกกานีที่อยู่ด้านหน้าโซฟาหยางเฉินยิ้มและก้าวเข้ามาตรงหน้าเธอเพื่อที่จะรับมัน
“ผมจะปล่อยให้ซีอีโอชงชาให้ผมได้อย่างไร?ให้ผมทำเถอะ”
หลินรั่วซีไม่สนใจหยางเฉินเลยแม้แต่น้อยเธอเดินผ่านเขาไปและตรงไปหาจ้าวหงเยี่ยน รั่วซียิ้มให้เธอนิดๆ เป็รอยยิ้มงดงามที่ดูเหมือนสามารถทำให้หิมะละลายและทำให้มวลดอกไม้เบ่งบาน
“ปีใหม่ปีนี้เป็ปีที่ทะเลสาบตอนใต้ของหลงจิ่งจะถูกเก็บเกี่ยว” หลินรั่วซีเป็คนหนึ่งที่รู้จักชาเป็อย่างดีซึ่งเป็เหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงให้เธอดื่มชา
"ฉันไม่ให้สิ่งนี้กับคนแปลกหน้าง่ายๆหรอกนะ” หลินรั่วซีกะพริบตาให้จ้าวหงเยี่ยนก่อนจะวางถ้วยน้ำชาไว้ตรงหน้าเธอ
แน่นอนจ้าวหงเยี่ยนลุกขึ้นยืนรับพร้อมด้วยแก้มแดงๆ บนใบหน้าของเธอ ไม่ทราบว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นหรือขี้อาย
“บอสหลินคะ คุณสุภาพเกินไปแล้ว ฉัน…รู้สึกเขินเล็กน้อย...”
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หยางเฉินค่อนข้างรู้สึกหดหู่เขาพยายามคิดหาคำตอบว่า ทำไมผู้หญิงตรงหน้ามอบรอยยิ้มสดใสแบบนี้กับหล่อนแล้วกับสามีของเธอล่ะ?
หลินรั่วซีเดินไปนั่งบนโซฟาด้วยกริยาที่สง่างามด้วยท่านั่งที่ผ่อนคลาย เธอดูไม่ร้อนรนที่จะถามรายละเอียดเกี่ยวกับเื่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยเธอมองไปที่จ้าวหงเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม และถามว่า
“หงเยี่ยน ถ้าฉันจำไม่ผิดเธอทำงานอยู่ในบริษัทนี้มาสามปีแล้วใช่มั้ย”
จ้าวหงเยี่ยนซึ่งนั่งอยู่บนโซฟานุ่มๆเมื่อได้ยินคำถามจากปากของหลินรั่วซี เธอนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ไม่นานว่า ‘เธอเป็คนหนึ่งที่รู้จักชาดี’
นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “บอสหลินคะคุณรู้เื่ของฉันเหรอคะ?”
“ฉันรู้จักทุกคนตราบใดที่พวกเขายังเป็พนักงานในบริษัทถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้โต้ตอบกับพวกเธอบ่อยนักเนื่องจากการทำงาน ตราบใดที่ยังเป็ลูกน้องของฉันฉันย่อมจำได้หมดทุกคน” หลินรั่วซีกล่าวอย่างนุ่มนวล
คำพูดดังกล่าวไม่เพียงทำให้จ้าวหงเยี่ยนเท่านั้นที่ตกตะลึงแม้กระทั่งหยางเฉินที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ตรงนั้นก็เช่นกันเป็ที่ทราบกันว่าสำนักงานใหญ่ของอวี้เหล่ย มีพนักงานอย่างน้อยสี่ร้อยคน แต่หลินรั่วซียังคงสามารถจดจำพวกเขาได้ทั้งหมดนั่นเป็สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเป็อย่างมาก
พอหยางเฉินเห็นวิธีที่หลินรั่วซีปฏิบัติกับจ้าวหงเยี่ยนในวันนี้แล้วดูเหมือนเธอจะไม่ได้โกหก เขาคิดว่าเธอคนนี้ช่างมีจิตใจที่น่ากลัวมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ซะอีก
จ้าวหงเยี่ยนนั้นเป็เช่นเดียวกับพนักงานหญิงคนอื่นๆเธอชื่นชอบในตัวหลินรั่วซีมาก ได้ยินว่าหล่อนเป็ไอดอลของเธอ เธอจดจำชื่อ หน้าตาและประวัติของหล่อนได้ นั่นทำให้หล่อนเป็เหมือนนกน้อยที่ร่าเริง อารมณ์หดหู่เมื่อครู่นั้นมลายหายไปจนสิ้น
“ฉันไม่เคยคิดว่าบอสหลินรู้เื่ของพนักงานที่ไม่สำคัญเช่นฉัน...”
“ก็เธอค่อนข้างจะพิเศษไงอันที่จริงฉันเคยเห็นเธอก่อนที่เธอจะเข้ามาในบริษัทนี้เสียอีก” รั่วซีกล่าว
“ก่อนเข้าบริษัทงั้นเหรอคะ?”
หลินรั่วซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนพ่อของเธอคุณจ้าวทำขนมข้าวปั้นได้อร่อยมาก ฉันมักจะแวะซื้อตลอด”
จ้าวหงเยี่ยนเข้าใจในทันทีแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “บอสหลินคะ… คุณชอบกินขนมข้าวปั้นเหรอคะ?”
เธอคิดไม่ถึงว่าซีอีโอผู้มีภาพลักษณ์ที่สุภาพและสง่างามจะมาเพลิดเพลินกับการรับประทานขนมเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้น
“ครอบครัวของเธอเป็เ้าของร้านขนมข้าวปั้นนั่นใช่มั้ย?”หยางเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
จ้าวหงเยี่ยนพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจดังที่เธอกล่าวว่า “ร้านขนมเรามีมาหลายชั่วอายุคนซึ่งรักษารสชาติที่แท้จริงเอาไว้ และร้านของเราก็มีชื่อเสียงเป็อย่างมาก”
“คุณจ้าวเขายังเป็ผู้เชี่ยวชาญในพิธีการชงชาแบบดั้งเดิมอีกด้วยฉันเคยดื่มชาหวงซานเฟิง และชาปี้หลัวที่เขาชงเทคนิคและทักษะของเขาเป็พิธีชงชาแบบดั้งเดิม ที่แทบจะเลือนหายไปแล้ว และมันได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ประเทศญี่ปุ่นน่าเสียดายที่ทุกวันนี้ คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจพิธีการชงชาจีนกันแล้วและก็ไม่เข้าใจคุณค่าของพิธีการชงชาแท้ๆ ด้วย” หลินรั่วซีกล่าวด้วยความชื่นชม
ท่าทางของจ้าวหงเยี่ยนเริ่มเปลี่ยนเป็ตื่นเต้นมากขึ้น "ไม่อยากจะเชื่อว่าบอสหลินรู้เื่ราวของฉันอีกทั้งยังรู้จักพ่อของฉันอย่างดีด้วย..."
"นั่นเป็เพราะเมื่อหลายปีก่อนสมัยที่ฉันยังเรียนอยู่มัธยม โรงเรียนมัธยมของฉันอยู่ใกล้กับร้านของพ่อเธอและฉันก็ไปซื้อขนมจากร้านของเขาบ่อยๆ หลังจากคุ้นเคยกับพ่อของเธอแล้วเขาก็เริ่มสอนการชงชากับฉัน บางครั้งฉันก็สังเกตเห็นว่าเธอช่วยเขาอยู่หน้าร้านมาคิดดูแล้วเธอแก่กว่าฉันสองปี แน่นอนว่าตอนนั้นเธอมองข้ามฉันไปแต่ฉันจำได้เสมอว่าร้านค้าของพ่อเธอเป็อย่างไรฉันรู้สึกว่าครอบครัวของเธอโชคดีเอามากๆ มีทั้งพ่อ แม่ ลูกสาว และน้องชายของคุณทั้งหมดต่างช่วยกันทำมาหากินในร้านของครอบครัว อย่างขยันขันแข็ง" หลินรั่วซีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและชัดเจน
จ้าวหงเยี่ยนนึกย้อนไปถึงเื่ราวในอดีตเธอยิ้มขึ้นอย่างเงียบๆ
"ใช่แล้วค่ะตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยฉันมักจะกลับมาช่วยพ่อขายขนมอยู่หน้าร้านเมื่อมีเวลาว่าง ต่อมาเมื่อฉันเริ่มทำงานฉันจึงไม่มีเวลากลับไปที่นั่นมากนักอันที่จริงตอนนั้นฉันโกรธพ่อมาก ฉันไม่รู้วิธีทำขนมแต่เขากลับบังคับให้ฉันเรียนรู้และทำมัน แต่ในยามนี้ฉันกลับคิดถึงมันเหลือเกิน"
เมื่อทั้งสองแลกเปลี่ยนคำพูดกันหยางเฉินไม่อาจทำอย่างไรได้ เขารู้สึกชื่นชมทักษะการสนทนาของหลินรั่วซีเห็นได้ชัดว่าจ้าวหงเยี่ยนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากและนั่นทำให้เธอพูดคุยได้อย่างเต็มที่
"แล้วคุณจ้าว สบายดีมั้ย?"หลินรั่วซีเอ่ยถาม
ใบหน้าของจ้าวหงเยี่ยนเศร้าโศกลงทันทีเธอฝืนยิ้มพร้อมกล่าวว่า "คุณพ่อสุขภาพไม่ค่อยดีนักเขาเข้าโรงพยาบาลไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา"
"โรงพยาบาล?" หลินรั่วซีครุ่นคิดสักพัก ก่อนเอ่ยถามว่า "เธอบอกรายละเอียดให้ฉันฟังได้ไหมฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว "
จ้าวหงเยี่ยนหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบสองอึกจากนั้นกล่าวต่อว่า "พ่อของฉันตรวจพบว่ามีอาการไตล้มเหลวและต้องเข้ารักษาไตอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุนั้นธุรกิจของครอบครัวจึงตกอยู่ในมือของน้องชายของฉันและมันก็ไม่ค่อยดีนัก"
"ฉันขอโทษ" หลินรั่วซีกล่าวขอโทษ และหันมามองที่หยางเฉิน
เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่เธอมองมาหยางเฉินก็ผายมือออกเป็นัยว่าเขาไม่ได้รู้เกี่ยวกับเื่นี้
หลังจากที่คิดอะไรบางอย่าง หลินรั่วซีก็ถามขึ้นว่า “หงเยี่ยน คนที่อยู่ชั้นล่างที่มากับเธอวันนี้คือสามีของเธอใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ” หงเยี่ยนพยักหน้าอย่างเศร้าๆ
“ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?”
จ้าวหงเยี่ยนถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มแล้วอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นที่บาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเธอยังคงถูกหยูฮุยรังแกอยู่เรื่อยๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดของเธอก็ตาม
เมื่อหลินรั่วซีได้ยินเื่ราวดังนั้นเธอถามหยางเฉินว่า “หยางเฉินเกิดอะไรขึ้น?”
หยางเฉินพยักหน้าเป็เชิงตอบรับคำถามที่เธอส่งมา
“เพราะเหตุใดนายจึงจูบหงเยี่ยน?”หลินรั่วซีถามขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนมันเป็เื่ยากสำหรับเธอที่จะพูดคำว่า''จูบ'' ออกมา
“เอ่อ...” หยางเฉินพูดไม่ออกในขณะที่จ้าวหงเยี่ยนเองก็หน้าแดงเป็ลูกตำลึงเช่นกัน
เธอรู้สึกว่าใบหน้าสวยคมของเธอในยามนี้กำลังถูกเผาไหม้จากภายในแต่ในขณะเดียวกันเธอก็หวังที่จะได้รับคำตอบจากหยางเฉิน
สายตาของหลินรั่วซีแข็งกร้าวเ็าดั่งมีดที่ใช้ผ่าตัดควักหัวใจมนุษย์ออกมา เช่นเดียวกับที่เธอพูดกับหยางเฉินว่า
“อย่าโกหกฉัน”
เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็ชีวิตการทำงานหรือชีวิตส่วนตัวแต่หยางเฉินได้จูบจ้าวหงเยี่ยนต่อหน้าสาธารณชนไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลินรั่วซีไม่พอใจเป็อย่างมากแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ และแสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกอย่างไร
หยางเฉินหัวเราะแห้งๆ พลางกล่าวว่า
“ชายคนที่แซ่หยูนั่น เขายืนยันที่จะให้ผมยอมรับว่า‘ผมมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับภรรยาของเขา’ และเมื่อผมบอกว่าผมไม่ได้มีอะไรกับภรรยาของเขาเลยเขาก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะยกผู้หญิงของเขาให้ผม ถ้าผมไม่รับเอาไว้มันจะทำให้จ้าวหงเยี่ยนเสียความมั่นใจ และเ็ปเอาได้ ใช่มั้ยล่ะ?"
“นายก็เลยจูบเธองั้นสินะคิดบ้างมั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น หลังจากที่ทุกคนเห็นเธอสองคนจูบกัน!?”หลินรั่วซีแทบจะเป็บ้า ผู้ชายคนนี้เอาแต่ใช้เหตุผลบ้าๆ นี่อีกแล้ว!
หยางเฉินมองไปทางจ้าวหงเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ เขาซึ่งใบหน้าของเธอดูคล้ายกับแอปเปิลสุกผลใหญ่เลยทีเดียว
“ผมจะทำอะไรได้? สามีของเธอบอกว่าไม่้าเธอแล้วผมคงไม่สามารถพูดได้ว่าผมเองก็ไม่้าเธอเหมือนกัน จริงมั้ยครับ?”
“นาย...” ความโกรธของหลินรั่วซีที่ถูกสะสมอยู่ภายในเกือบจะปะทุออกมา
หยางเฉินพูดอย่างหยาบคายว่า “สำหรับบอสหลินที่ดูเป็กังวลมากเกี่ยวกับชีวิตรักของผมจนผมรู้สึกตื้นตันสำหรับความเมตตากรุณาของคุณ ในนามของภรรยาผมขอขอบคุณสำหรับความเอื้ออาทรของคุณครับ บอสหลิน”
เขาตั้งใจ! เขาตั้งใจทำให้ฉันโกรธ!
หลินรั่วซีแอบกำหมัดแน่นจนสั่นถ้าจ้าวหงเยี่ยนไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยแล้ว เธอก็อยากจะหยิบของสักชิ้นบนโต๊ะขึ้นมาทุบหัวของชายคนนี้เสียเหลือเหลือเกิน!
“หยางเฉินอย่าพูดแบบนั้นกับบอสหลินนะ เธอเป็ห่วงพวกเรา” จ้าวหงเยี่ยนกล่าวตักเตือนและหันกลับไปมองที่รั่วซีด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน “บอสหลินคะฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็ ความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรไปที่บาร์นั่นเลยนี่เป็ครั้งแรกที่ฉันโกหกสามี เื่วุ่นวายเหล่านี้มันถึงได้เกิดขึ้น”
หยางเฉินเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่บอกออกไปให้ชัดเจนว่า คุณไปบาร์กับเพื่อนร่วมงานของคุณล่ะ?”
จ้าวหงเยี่ยนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “ในวันนี้คุณก็คงเห็นแล้วว่าหยูกวงเป็คนหัวโบราณและตรงไปตรงมา ในสายตาเขาสิ่งที่เกลียดที่สุดคือพวก บาร์ ไนต์คลับและร้านคาราโอเกะซึ่งคนในตระกูลหยูนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวตามสถานที่เ่าั้”
“น้องชายของเขาก็ไปที่นั่นด้วยไม่ใช่หรือไง?”หยางเฉินยักคิ้วขึ้น
จ้าวหงเยี่ยนเผยรอยยิ้มเศร้า “หยูฮุยเป็น้องชายของเขาในขณะที่ฉันเป็ผู้หญิงที่แต่งเข้ามา จากสายตาของคนในตระกูลแล้วฉันเป็แค่คนนอกที่ยากจน เป็ลูกของคนขายขนมธรรมดาเท่านั้นสำหรับพวกเขาที่ให้ฉันไปเป็ลูกสะใภ้ นั่นก็เป็ความเมตตาต่อฉันมากแล้วแล้วพวกเขาจะยอมให้ฉันไปที่บาร์ได้ยังไง?”
หยางเฉินไม่อาจทำอย่างไรได้เขารู้สึกว่าเื่นี้มันช่างไร้สาระยิ่ง
“ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่ายังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกมันรู้สึกเหมือนเราได้กลับไปยังสังคมที่กำหนดศักดินายังไงยังงั้นเลย”
“ใช่ หลังจากแต่งงานกับเขาฉันพบว่ามันยากที่จะทนอยู่กับความหัวโบราณของเขา ทุกครั้งที่ฉันกลับถึงบ้านฉันรู้สึกเหมือนบรรยากาศมันหน่วงๆ และหายใจอย่างยากลำบากตลอดทั้งปีที่ผ่านมาแล้วฉันยังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่กลับบ้าน ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของฉัน” จ้าวหงเยี่ยนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“แต่ทำไมคุณยังแต่งงานกับเขาล่ะ?”
หลินรั่วซีกลอกตามองบนใส่หยางเฉิน “เพื่อพ่อเธอใช่มั้ย? ฉันรู้มาว่าการฟอกไตนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยเลย”
จ้าวหงเยี่ยนพยักหน้าอย่างขมขื่น แล้วพูดต่อว่า “ใช่แล้วค่ะพ่อของฉันกับพ่อของหยูกวงเป็เพื่อนกัน”
“เมื่อพ่อของฉันเข้าโรงพยาบาลแม้ประกันจะจ่ายให้แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอแม่ของหยูกวงเองก็อยากให้ฉันเป็ลูกสะใภ้ของตระกูลเธอด้วย…บางทีอาจเป็เพราะตระกูลอื่นๆ ไม่เต็มใจที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับหยูกวงก็เป็ได้และพวกเขาก็ไม่เต็มใจรับคนที่ไม่สวยพอ ท้ายที่สุดพวกเขาก็เลือกฉัน และสัญญาว่าจะจ่ายเงินมากกว่าครึ่งเพื่อช่วยค่ารักษาของพ่อฉัน”ความจริงเื่นี้เป็เื่ที่ฟังดูเรียบง่ายแต่น่าเศร้าที่สาวสวยต้องมาแต่งงานกับชายชราเพื่อหาเงินมารักษาพ่อของตนเอง
“เธอรักเขาหรือเปล่า?” จู่ๆ หลินรั่วซีก็ถามขึ้นมา
จ้าวหงเยี่ยนตกตะลึงเล็กน้อยแล้วคิดถึงคนที่ทำให้มีรอยยิ้มที่แสนสุข และพูดขึ้นว่า “บอสหลินคะระหว่างหยูกวงกับฉันเราไม่ได้รักกันเลยค่ะแล้วก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก่อนที่ฉันจะแต่งงานกับเขา ฉันไม่เข้าใจเขาและเขาก็ไม่ไว้ใจฉัน ฉันจะรักเขาได้อย่างไร?”
งานแต่งที่ปราศจากความรักเหรอ?
หลินรั่วซีมองไปทางหยางเฉินขณะที่หยางเฉินกำลังมองกลับไปที่เธอ หัวใจของหลินรั่วซีเต้นเร็วมากขึ้นและเธอรีบหันไปถามหงเยี่ยนว่า “เธอวางแผนจะทำอะไรต่อไป?”
จ้าวหงเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จริงๆ แล้วฉันคิดที่จะหย่ากับหยูกวงอยู่นานแล้ว โลกของเราสองคนมันต่างกันเกินไป”
“แล้วอาการป่วยของพ่อเธอล่ะ?”หลินรั่วซีถาม
จ้าวหงเยี่ยนกัดริมฝีปากแน่นแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันได้พูดคุยเื่นี้กับน้องชายแล้วเราได้จำนองร้าน และกู้เงินจากธนาคาร เราน่าจะได้เงินหลายแสนอยู่และมันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะฟอกไตให้พ่อ”
“จะทำยังไงถ้าฉันบอกว่าฉันจะจ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้เธอห้าปีและอยากให้เธอทำงานที่นี่ไปอีกสิบปี เธอจะยอมมั้ย?” หลินรั่วซีถาม
จ้าวหงเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของเธอเต็มไปด้วยประกายของความประหลาดใจ และความเหลือเชื่อ “บอสหลิน… คุณกำลังจะบอกว่า…”
หลินรั่วซีหันมองไปรอบๆจากนั้นก็แตะที่ปุ่มสีแดงขนาดใหญ่บนโต๊ะของเธอ และพูดใส่ไมโครโฟนว่า
“อู๋เยวี่ย เข้ามานี่หน่อย"