พอพูดเื่ที่ทำให้เสียใจ หญิงชราก็น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
ป้าสะใภ้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็เช็ดน้ำตา
จะว่าไป ป้าสะใภ้ใหญ่และหญิงชราเองก็มีหลานสาวมากมาย แต่ที่รักที่สุดกลับเป็หลานคนที่สี่คนนี้
ั้แ่เล็กจนโต หลานคนนี้ช่างสดใสร่าเริงจนทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกเอ็นดูและหลงรัก
แถมตัวหลานก็ฉลาดหลักแหลม รูปร่างหน้าตาก็ดี ด้วยเพราะเหตุนี้ทำให้นางและแม่สามีต่างรักหลานคนที่สี่คนนี้มาก
เดิมทีคิดจะหาคนดีๆ มาแต่งให้นาง ใครจะไปคิดว่าหลานเพิ่งจะโตได้ไม่เท่าไร ก็ถูกพ่อของนางขายให้จวนสกุลโจวไปเสียเฉยๆ
หลังจากเกิดเื่นางก็ไปจวนสกุลโจวกับสามีเพื่อพยายามไถ่ตัวหลานสาวคนนี้กลับมา แต่ทางนั้นกลับบอกมาแค่ประโยคเดียวว่า ได้ทำสัญญาไปแล้ว ไม่สามารถไถ่คืนได้ อำนาจของตระกูลโจวพวกเขาจะไปคิดเล็กคิดน้อยได้เสียที่ไหน แถมหลานก็ถูกพ่อแท้ๆ ของตนเองขายไป ทั้งยังมีสัญญาเป็ลายลักษณ์อักษร ถึงแม้นางผู้เป็ป้าสะใภ้จะเ็ปใจแค่ไหน ก็ทำได้แค่ทำใจยอมรับ
ตอนนี้ดีแล้วที่นางกลับมา เพียงแต่น่าเสียดายนักที่ไม่ได้บริสุทธิ์อีกแล้ว
น้ำตาของเฉินเนี้ยนหรานทะลักออกมาไม่หยุด ศีรษะซุกเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็ย่า สูดดมกลิ่นไออบอุ่นท่าน ร้องเรียกออกมาเรื่อยๆ ว่า “ท่านย่า”
“อืม…อืม….” หญิงชราเองก็คอยรับคำอยู่ตลอด จนกระทั่งป้าสะใภ้ใหญ่ทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ยิ้มแล้วพูดแทรกเข้ามาว่า “ท่านแม่ เสี่ยวหรานกลับมาก็ดีแล้ว หากยังร้องแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวเื่ดีจะกลายเป็เื่ไม่ดีเอาได้นะเ้าคะ”
พูดจบนางก็ยื่นมือไปจูงเฉินเนี้ยนหราน “เสี่ยวหรานเอ๊ย ถึงแม้พวกเราจะแยกบ้านกัน แต่ว่าอย่างไรป้าก็สามารถสอดมือไปช่วยเ้าได้อยู่บ้าง ต่อไปมีอะไรไม่ถูกต้องเ้าบอกกับป้าได้เลยนะ ถึงแม้จะต้องเสียอะไรไป แต่ป้าก็จะปกป้องเ้าให้ได้”
เฉินเนี้ยนหรานได้ยินประโยคนี้ก็ซึ้งใจ เธอตระหนักดีว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังเผชิญหน้ากับการจะถูกขายเป็ครั้งที่สอง หากมีท่านป้าสะใภ้และท่านย่าคอยช่วยเหลือ เธอ…
มองพิจารณาท่านป้าสะใภ้ตรงหน้า ก็เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เครื่องหน้าเองก็ดูมีความยุติธรรม ไม่เหมือนหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาดูชั่วร้ายคนนั้น โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างที่มักจะปล่อยความร้อนแรงออกมา
คิดไปแล้วท่านป้าสะใภ้คนนี้เป็คนที่มีความสามารถ นึกถึงตรงนี้เธอก็รีบคุกเข่าลงพร้อมกับก้มคำนับลงไป “ท่านป้า โปรดช่วยหลานสี่ด้วย…”
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่พอได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ท่านย่ารีบเข้ามาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด “เ้ามีอะไรก็บอกย่ามา ครั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยให้เ้าลูกชายทำอะไรบ้าๆ กับอีกแน่ หลานเอ๊ย อย่ากลัวเลย เ้ายังมีย่ากับป้าสะใภ้ของเ้านะ”
เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกทอดถอนใจ ทั้งเพื่อเ้าของร่างเดิมและเพื่อตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าจะพึ่งพาไม่ได้ แต่ป้าสะใภ้กับท่านย่ายังพอที่จะมีความรักให้กันอยู่บ้าง
เธอเช็ดน้ำตา ก่อนจะเล่าเื่ราวั้แ่ออกมาจากจวนสกุลโจวจนถึงหมู่บ้านด้วยความโศกเศร้า
“ท่านป้าสะใภ้ ท่านย่า เื่มันเป็แบบนี้เ้าค่ะ หลังจากพวกเราเดินทางกลับมา ท่านแม่ก็ลากข้าเข้าไปที่ตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง ด้านในนั้นมีคนคนหนึ่งชื่อว่ายายเฒ่าสวี่…”
เฉินกวนซื่อพอได้ยินชื่อยายเฒ่าสวี่ก็ตบเตียงไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ “ไอ้พวกสารเลว… เสี่ยวหรานเ้าไม่ต้องพูดแล้ว ยายเฒ่าสวี่นั่นทำงานอะไรข้ารู้ดีที่สุด”
พอดีกับที่ตอนนั้นเอง ด้านนอกมีเสียงเด็กมาเรียกเฉินเนี้ยนหรานให้กลับบ้าน
ท่านป้าสะใภ้ถอนหายใจ ตบหลังมือเฉินเนี้ยนหรานอย่างปลอบใจ “ตอนนี้เ้ากลับไปบ้านก่อนเถอะ เื่นี้ป้ารับปาก ป้าจะจัดการแทนเ้าให้ เ้าวางใจเถิด ขอแค่มีป้าอยู่ จะไม่ให้พวกเลวนั้นทำเื่ใดต่อเ้าได้อีกทั้งนั้น”
เฉินเนี้ยนหรานรู้ หากเื่นี้ได้ป้าสะใภ้เข้ามาช่วย เกรงว่าเื่คงจะง่ายมากขึ้นแล้ว จึงกล่าวลากับท่านย่าและท่านป้าสะใภ้อย่างมีมารยาท และกลับบ้านไปกับเด็กน้อยที่มาเรียกตนเองที่ด้านนอก
เด็กหญิงที่มาเรียกเธอคือน้องห้า เด็กน้อยอายุสิบเอ็ดปี แต่มองออกเลยว่ารูปร่างของน้องสาวคนนี้เตี้ยกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่นิดหน่อย สีหน้าก็ซีดเซียว เส้นผมพวกนั้นก็ดูแล้วเหมือนกอหญ้า
เด็กหญิงคนนั้นพอเห็นเธอก็ร้องเรียกว่าพี่สาวออกมา
รอจนทั้งสองคนกลับไปถึงบ้าน มือของน้องห้าก็ยกขึ้นมาจับมือของเธอเอาไว้ “ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหมเ้าคะ? ข้าหวังว่าท่านจะอยู่ที่เรือน แบบนี้ข้ากับน้องหกจะได้ไม่ต้องทนหิวอีก”
เธอกุมมือของน้องห้า ข้อมือเล็กและผอมจนทำให้คนสงสัยว่านี่คือกระดูกมากกว่ามือของคน ฝ่ามือหยาบกระด้างทำให้จมูกของเฉินเนี้ยนหรานแสบไปหมด นี่คือเด็กของบ้านที่ยากจนโดยแท้จริง
“อืม ครั้งนี้พี่กลับมาบ้าน ไม่ไปไหนแล้ว พี่จะคอยดูแลน้องๆ เอง”
น้องห้าเมื่อได้ยินดังนั้นก็จับมือของเธอแน่นด้วยความดีใจ “จริงหรือเ้าคะท่านพี่? มีท่านพี่อยู่ช่างเป็เื่ที่ดีมากจริงๆ ด้วย พวกเราจะได้กินน้ำแกงมันบด ฮี่ๆ ช่างดีจริงๆ เลยท่านพี่”
เด็กหญิงยิ่งพูดก็ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ จากคำพูดของเด็กหญิง เฉินเนี้ยนหรานก็พอจะเข้าใจเื่ราวในบ้านของเ้าของร่างคนก่อนแล้ว
ที่แท้ถึงแม้เ้าของร่างเดิมจะเกิดมาในครอบครัวยากจน แต่กลับโตมาเป็เด็กที่รู้เื่รู้ความ สำหรับการกระทำของพ่อแม่ตน นางเองก็ไม่ได้เห็นด้วย จึงแอบไปทำงานด้านนอกแล้วเก็บซ่อนเงินอีแปะเอาไว้
หาเงินมาได้ บางครั้งก็ไปซื้อน้ำตาลเสียบไม้ให้กับพวกน้องสาว แม้ตอนนั้นเด็กๆ จะยังเล็กมาก แต่ในใจของพวกน้องสาว นางกลับเป็พี่สาวที่ยิ่งใหญ่
กระทั่งเื่กิน หากไม่มีอะไรให้กินได้แล้วจริงๆ เ้าของร่างคนก่อนก็จะคิดหาวิธีทำพวกอาหารที่มาจากผักป่า หรือพวกต้มจืดผักป่า สรุปคือวันเวลาที่มีนางอยู่ในเรือน น้องสาวอีกสองคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางไม่เคยต้องทนหิวเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากรู้เื่ราวพวกนี้ เฉินเนี้ยนหรานก็ลูบหน้าผากอีกครั้ง ดูเหมือนว่าความรับผิดชอบของเธอจะเพิ่มน้องสาวมาอีกสองคน
สองสาวพี่น้องมาถึงบ้าน เฉินเนี้ยนหรานก็ได้เห็นคนในบ้านที่ดูขาดสารอาหาร ในใจลอบเหงื่อตก
คิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวนี้จะมีคนเยอะแยะขนาดนี้! พี่ชายใหญ่กับพี่รองแต่งงานแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ยืนท้องโตอยู่ข้างๆ แม่ของร่างเดิม เฉินหนิงซื่อ ที่เห็นเด่นชัดบนใบหน้าของสะใภ้ใหญ่คือกระดูกที่ปูดปูนออกมา ทั้งยังมีหางตาชี้ขึ้น ทำให้เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกว่าหญิงคนนี้ คงจะเป็คนประเภทเดียวกับเฉินหนิงซื่อไม่มากก็น้อย
“ไอ๊หยา เสี่ยวหรานมาถึงบ้านแล้ว กินข้าวเร็ว กินข้าว” เฉินหนิงซื่อเดินเข้ามาจูงมือเธออย่างเป็กันเอง คอยร้องเรียกเธอมากินข้าวไม่หยุด
พี่ๆ น้องๆ คนอื่นทักทายพูดกับเธอเพียงสั้นๆ เธอไม่ว่าอะไรหากไม่ได้ทักทายกัน ครอบครัวรวมทั้งหมดมองคร่าวๆ แล้วมีสิบกว่าคน และก็มีแค่น้องสาวสองคนนี้ที่มองแล้วถูกชะตานิดหน่อย
หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งแต่งตัวได้เรียบร้อย เป็เด็กอายุไม่กี่ขวบตัวอ้วนพี ทำให้เฉินเนี้ยนหรานได้เปิดโลกจริงๆ
เด็กคนนั้นั้แ่เธอเดินเข้าบ้านมาก็ทำเพียงแค่ปรายตามอง ก่อนจะเชิดหน้านั่งลงไปในตำแหน่งประธาน
เธอเหงื่อตก ครอบครัวใหญ่มานั่งกินข้าวด้วยกัน ตำแหน่งประธานก็มักจะเป็ที่นั่งของเ้าบ้าน แต่ครอบครัวนี้กลับให้เด็กอายุแปดขวบมานั่งในตำแหน่งประธาน!!
อยู่ในครอบครัวชาวนาเล็กๆ แต่ยังสามารถตัวขาวอ้วนพีได้ขนาดนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็สะอาดเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า การดูแลเ้าเด็กคนนี้จะต้องดีมากเป็แน่
สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งยกจานอาหารมาวางอย่างรวดเร็ว เฉินเนี้ยนหรานมองน้องสาวคนที่หกที่คอยตักข้าวให้ทุกคน
บนโต๊ะมีผัดกาดขาวที่ไม่มีน้ำมัน แล้วยังมีผักดองอีกหลายชิ้น และมีโจ๊กผักป่าถ้วยโต โจ๊กถ้วยนี้ดูออกเลยว่าเป็ข้าวจาปอนิกา [1] ต้มรวมกับผักป่า
โจ๊กน้ำใสจนสะท้อนเห็นหน้าคน ข้าวที่กินแบบนี้มันจะอิ่มท้องหรือ?? ในที่สุดเฉินเนี้ยนหรานก็เข้าใจแล้วว่าทำไมน้องสาวสองคนถึงได้ผิวเหลืองผอมแห้งแบบนี้!
เฉินเนี้ยนหรานไม่ได้แตะตะเกียบ มองทุกคนซดโจ๊กเข้าไป และเด็กที่อยู่ตรงข้ามเธอคนนั้นก็ไม่ได้กินเหมือนกันกับเธอ
ในตอนนี้เ้าเด็กคนนี้กำลังเชิดคางขึ้นมองพิจารณาเธอด้วยใบหน้ารังเกียจ จนกระทั่งตอนที่เฉินหนิงซื่อตักข้าวสวยหนึ่งถ้วย ้ายังวางทับด้วยเนื้อสองชิ้น เฉินเนี้ยนหรานก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนในบ้านถึงได้สุขภาพไม่ดี แต่เด็กตรงหน้ากลับอ้วนพีตัวขาว..
เฉินหนิงซื่อเห็นสายตาของเฉินเนี้ยนหรานมองไปที่เด็กคนนั้น ก็ยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “เสี่ยวหราน น้องชายของเ้าถูกท่านอาจารย์เขาพูดว่าหัวใหญ่จะเป็เด็กฉลาด ดังนั้นพวกเราทั้งบ้านจึงกัดฟันส่งเขาเรียน ั้แ่เข้าโรงเรียนตอนอายุสี่ขวบก็เรียนเก่งจนมักจะถูกท่านอาจารย์ชมมาตลอดเลยนะ!”
เฉินเนี้ยนจู่คนนั้นได้ยินคำนี้ก็เชิดคางขึ้น “เมื่อวานท่านอาจารย์ยังชมข้าอยู่เลย บอกว่าข้าเรียนหนังสือดี ท่องตัวหนังสือก็ไม่เลว”
เฉินเนี้ยนหรานหงุดหงิดมาก ดูจากท่าทางของเ้าเด็กนี่มีต่อทุกคน เขาสามารถเขียนหนังสือออกมาได้จริงหรือ? แต่ว่าความสงสัยนี้ทำได้แค่คิดในใจ ไม่ได้ถามออกมา
เฉินหนิงซื่อมองท่าทางของเด็กน้อยก็สะกิดอย่างอารมณ์ดี “ลูกชาย รีบท่องให้พี่สาวเ้าฟังสิ ให้นางรู้ว่าเ้าเรียนหนังสือได้ดี”
เด็กคนนั้นยังมีเนื้อชิ้นโตอยู่เต็มปาก ริมฝีปากมันแผล็บ
คนอีกด้านของโต๊ะ โดยเฉพาะน้องสาวสองคนของเฉินเนี้ยนหรานมองปากมันแผล็บของเขา ลำคอก็ขยับกลืนน้ำลายไม่หยุด…
“เอิ๊ก…” เด็กชายกินข้าวกับเนื้อลงไป ก่อนจะมองไปรอบโต๊ะด้วยความได้ใจ “คนเราแรกเริ่มนิสัยดี…”
เฉินเนี้ยนหรานได้ฟัง เรียนมาตั้งหลายปี ทำไมถึงยังท่องแค่คัมภีร์สามอักษร [2] ล่ะ?
พอคิดดูแล้ว เด็กน้อยเข้าเรียนตอนอายุสี่ขวบ ตอนนี้จากรูปร่างก็คงจะประมาณแปดเก้าขวบ จะอย่างไรก็เรียนหนังสือมาแล้วถึงสี่ปี พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว ตอนนี้ควรจะเรียนอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านี้สิ
“นี่คือคัมภีร์สามอักษร เ้าท่องอันอื่นเถิด คัมภีร์หลุนอี่ว์ [3] ท่องได้หรือไม่?” เฉินเนี้ยนหรานจิบน้ำแกงไปหนึ่งคำ น้ำแกงนี่รสชาติแย่มาก ดูจากพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองต่างมองชิ้นเนื้อในถ้วยของน้องชายตาปริบๆ
โดยเฉพาะพี่สะใภ้ใหญ่ท้องโตที่ในท้องมีลูกตัวโตนั้น ตอนนี้ยังคงกลืนน้ำลายไม่หยุด
“คัมภีร์หลุนอี่ว์? ไม่เป็หรอก ท่านอาจารย์ไม่ได้สอน” เด็กชายได้ยินก็ชะงักไป ก่อนจะโมโหขึ้นมา เขามองค้อนไปทางเฉินเนี้ยนหราน “เ้าจะไปเข้าใจอะไร คัมภีร์สามอักษรนี้ท่านอาจารย์บอกแล้วว่า จะต้องเรียนให้ดี เขียนให้ดี ถ้าหากยังเขียนไม่ดี ต่อไปก็ไม่สามารถเรียนอย่างอื่นได้”
ว่าแบบนี้เฉินเนี้ยนหรานก็เงียบไป ในความรู้สึกของนาง เรียนมาแล้วถึงสี่ปี แต่กลับยังจมอยู่ที่คัมภีร์สามอักษรที่เป็พื้นฐานที่สุด แต่อย่างไรในบรรดาเด็กๆ พวกนี้ การอ่านออกและเขียนได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว สี่ปีมานี้จะอย่างไรก็ถือว่าได้เรียนมาสักนิดนั่นแหละนะ
ความจริงแล้วจะเขียนได้ดีหรือไม่ เื่นี้เองก็คงจะพูดยากเช่นกัน อย่างไรทั้งบ้านนี้ก็ไม่มีใครอ่านหนังสือออก ยิ่งไม่รู้ตัวหนังสือ จะเขียนได้ดีหรือไม่ ก็ไม่สามารถมาพูดตัดสินเ้าเด็กนี่ได้
เฉินเนี้ยนหรานยืนยันในใจของตนเองแล้วว่าเ้าเด็กนี่เป็คนไม่ได้เื่และโง่เขลา ในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังต่อตัวเฉินหนิงซื่อมากขึ้นไปอีก
เธอไม่ถามให้มากความอีก และกินข้าวของตนไปดีๆ
เพราะว่าครอบครัวนี้ยากจนเกินไป คนก็เยอะ ตอนกลางคืนเฉินเนี้ยนหรานจึงไปนอนกับน้องสาวสองคนนั้น
พูดกันตามความจริงแล้ว พอมองไปยังฟูกที่เต็มไปด้วยหญ้าและโคลน นางเองก็รู้สึกนอนไม่ลงจริงๆ แต่อย่างไรครอบครัวนี้ ดีที่สุดก็มีเพียงที่นอนนี้ จะออกไปนอนด้านนอกก็คงไม่ได้
“ท่านพี่ขึ้นมานอนสิ ผ้าห่มนี่ข้าให้ท่านห่ม” น้องหกอายุห้าขวบกลับเป็เด็กที่ร่าเริงมาก หยิบผ้าห่มบางๆ บนเตียงหลังนั้นมาคลุมที่ตัวของเธอไม่หยุด
--------------
เชิงอรรถ
[1] ข้าวจาปอนิกา เป็ข้าวเหนียวเมล็ดป้อมกลมรี มีแหล่งกำเนิดจากทางภาคเหนือ แล้วผ่าน มาทางลุ่มแม่น้ำโขงในสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 20 หลังจากนั้นลดจำนวนลงไปแพร่หลายในเขตอบอุ่นที่ ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย ยุโรป และอเมริกา
[2] เป็แบบเรียนที่เหมาะกับการสอนเด็กเล็ก ด้วยข้อความสั้นเรียบง่าย วรรคละสามตัวอักษร เมื่อถูกร้องเป็เพลง เด็ก ๆ สามารถท่องจำได้ง่าย และได้เรียนรู้อักษรทั่วไป พื้นฐานคุณธรรมขงจื้อ
[3] เป็คัมภีร์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาปรัชญาสำนักขงจื่อ ซึ่งภายในคัมภีร์หลุนอี่ว์นั้น ได้บรรจุคำสอนของขงจื่อ โดยเหล่าลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับขงจื่อเป็ผู้รวบรวมและบันทึกคำสอน หลังจากที่ขงจื่อถึงแก่อนิจกรรม