ร้านตีเหล็กร้านนี้เป็ของเสิ่นต้าสือลูกชายคนโตของลุงใหญ่เสิ่นตอนที่พวกเขาก้าวเข้าไปในร้าน เสิ่นต้าสือกำลังตีเหล็กอยู่แม้อากาศภายนอกจะหนาวเหน็บแต่เขากลับมีเหงื่อท่วมตัวส่วนภรรยาของเขากำลังถือโจ๊กคอยป้อนให้ลูกชายตัวเล็ก เด็กน้อยนั้นซุกซนนักวิ่งไปวิ่งมาไม่ยอมกินโจ๊กที่แม่ป้อน พี่สะใภ้จึงได้แต่วิ่งไล่ตามไปมา
เ้าเด็กตัวน้อยวิ่งหนีอย่างซุกซนจนมาชนเข้ากับเสิ่นเยี่ยนพอดีจึงถูกเสิ่นเยี่ยนอุ้มขึ้นมา
“ท่านอา ท่านอา” แม้ว่าเด็กน้อยจะเดินได้วิ่งได้แต่เขาพูดค่อนข้างช้า เวลาพูดก็ไม่ชัดเจนนัก แต่เขาจำเสิ่นเยี่ยนได้จึงกอดไว้อย่างดีใจ
“อาเยี่ยน?” เสิ่นต้าสือเห็นลูกพี่ลูกน้องมาก็หยุดมือและเดินมาทักทายด้วยความดีใจ“ทำไมวันนี้ถึงมาได้เล่า? น้องสะใภ้ก็มาด้วยหรือ?”
กู้เจิงเดินเข้าไปคารวะ นี่เป็การพบกันครั้งแรกของนางกับเสิ่นต้าสือส่วนพี่สะใภ้นั้นนางเคยพบในวันแต่งงานแล้ว
พี่สะใภ้ใหญ่อุ้มลูกชายมาจากเสิ่นเยี่ยน พลางเรียกพวกเขาให้นั่งลง
เห็นพี่สะใภ้ใหญ่จะชงชามาต้อนรับ กู้เจิงจึงรีบเข้าไปช่วย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไปดูแลลูกเถอะ ข้าชงชาเองเ้าค่ะความจริงแล้วพวกเราก็ไม่ได้หิวน้ำอะไรนัก”
“นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเ้ามาบ้านข้า ต่อให้ไม่หิวน้ำก็ต้องดื่มชานี้สักหน่อย ชานี้ต้องใส่น้ำตาลลงไปด้วยถึงจะดี” พี่สะใภ้ใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มพลางตักน้ำตาลใส่ลงในถ้วยชา
เด็กในอ้อมแขนของนางมองมารดาตนเองชงชาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เ้ามาซื้อรถม้าหรือ เช่นนั้นไปซื้อที่หวังสิงจี้เถอะ ข้าจะไปเป็เพื่อนพวกเ้าเอง” เสิ่นต้าสือไถ่ถามเสิ่นเยี่ยน“ม้าของร้านเขาไม่เลวเลยทีเดียว เกือกม้าทั้งหมดข้าเป็คนทำถ้าบอกพวกเขาว่าเ้าเป็ลูกพี่ลูกน้องของข้า จะต้องได้ราคาถูกกว่าร้านอื่นแน่นอน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่มากขอรับ” เสิ่นเยี่ยนเอ่ยขอบคุณ
“พวกเราเป็ลูกพี่ลูกน้องกัน ไม่ต้องขอบคุณให้มากความหรอก” เสิ่นต้าสือหัวเราะ “แล้วเื่การสอบของเ้า ทางการจะประกาศรายชื่อออกมาเมื่อไหร่หรือ?”
“อีกห้าวันขอรับ”
“เ้าฉลาดที่สุดในบรรดาลูกพี่ลูกน้องของเราย่อมต้องไม่มีปัญหาแน่" เสิ่นต้าสือมั่นใจในตัวลูกพี่ลูกน้องคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม “ตระกูลเสิ่นของพวกเราจะต้องก้าวหน้าขึ้น ต่อไปก็ต้องพึ่งเ้าแล้ว”
เสิ่นเยี่ยนอดยิ้มไม่ได้ “น้องชายคนนี้จะพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้พี่ใหญ่ผิดหวังขอรับ”
รถม้าของหวังสิงจี้คันใหญ่มากคนงานพาพวกเขาตรงไปยังคอกเลี้ยงม้าที่ลานหลังบ้านคนงานดูเหมือนจะคุ้นเคยกับพี่ใหญ่เสิ่นอยู่มากเขาให้ลูกน้องเลือกม้าที่แข็งแรงที่สุดออกมาและหันมาบอกว่าควรเลือกม้าให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปเลือกรถ
กู้เจิงไม่รู้หลักการเลือกม้า แต่เสิ่นเยี่ยนทำงานอยู่ในค่ายทหารจึงรู้วิธีการเลือกม้าอยู่บ้าง ดูเพียงไม่นานเขาก็เลือกออกมาตัวหนึ่ง
ตอนที่พวกเขามาเลือกรถม้าคนงานที่นั่นก็นำรถที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุดเตรียมออกมาให้แล้ว มีพี่ใหญ่เสิ่นช่วยจัดการให้ทุกอย่างเลยช่างสะดวกไปหมด ไม่นานก็จัดการเื่รถม้าเสร็จเรียบร้อย
ม้ากำยำหนึ่งตัวและรถม้าคันใหญ่ที่สามารถนั่งได้ห้าถึงหกคนอีกหนึ่งคัน รวมเป็เงินห้าสิบตำลึง
กู้เจิงคิดไม่ถึงว่ารถม้าคันหนึ่งจะแพงถึงเพียงนี้เท่ากับรายได้สองในสามของร้านหนังสือและหมู่บ้านของนางเลยทีเดียวแต่ด้วยความที่พี่ใหญ่เสิ่นสนิทกับคนในร้านนี้ ทางร้านเลยยอมลดราคาให้แก่พวกนางนางถึงได้ยอมจ่ายเงินอย่างสบายใจ
เสิ่นต้าสือเชิญพวกเขาอยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ทว่าเสิ่นเยี่ยนยังมีธุระต้องไปทำจึงปฏิเสธไป
เบาะนั่งในรถก็มาจากคนงานของหวังสิงจี้แถมให้บอกว่าเป็เบาะรองนั่งที่ดีที่สุดในร้าน กู้เจิงกับชุนหงนั่งแล้วรู้สึกสบายจริงๆ
“คุณหนู นุ่มกว่าเบาะของจวนกู้เสียอีกเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวอย่างชอบใจ
“กลับไปแล้วพวกเราค่อยทำเบาะนุ่มๆ กันอีกสักสองสามใบข้าว่าเบาะบนรถบางไปหน่อย" กู้เจิงลูบเบาะรถไปพลาง
“ดีเ้าค่ะ”
“ท่านพี่ ท่านว่าดีหรือไม่เ้าคะ?” กู้เจิงชะโงกศีรษะออกมาถามเสิ่นเยี่ยนที่กำลังขับรถม้าอยู่
เสิ่นเยี่ยนได้ยินบทสนทนาข้างในอย่างชัดเจนเขาไม่ได้คัดค้านในเื่นี้ “เ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้นเถอะ”
กู้เจิงปีนออกมานั่งข้างกายเสิ่นเยี่ยน
กลิ่นหอมอันคุ้นเคยโชยแตะจมูก เสิ่นเยี่ยนเหลือบมองภรรยาที่ออกมานั่งติดอยู่กับเขานางหันส่งยิ้มหวานให้เขา ใบหน้าดุจภาพวาด ดวงตาประหนึ่งเกลียวคลื่นแห่งสารทฤดูสายลมหนาวพัดผ่านจนจอนผมของนางปลิวไสว ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนรู้สึกคันยุบยิบไปหมด “ไปนั่งข้างในเถอะ ข้างนอกมีละอองฝน กระโปรงเ้าเริ่มเปียกแล้ว”
กู้เจิงม้วนกระโปรงขึ้น ร่างกายของนางแนบชิดกับเสิ่นเยี่ยนมากยิ่งขึ้นนางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แบบนี้ก็ไม่เปียกแล้วเ้าค่ะ” นางชอบที่จะนั่งอยู่ด้านหน้าเพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางที่รถขับผ่าน
เสิ่นเยี่ยน “...”
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่เ้าคะ” กู้เจิงเห็นเสิ่นเยี่ยนบังคับรถไปนอกเส้นทาง จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ข้าจะไปจวนตวนอ๋องก่อน มีเื่ที่ต้องจัดการ"
“เช่นนั้นข้าจะรอท่านบนรถม้านะเ้าคะ” กู้เจิงไม่อยากเข้าไปในจวนตวนอ๋อง นางมีปมในใจกับตวนอ๋องพบกันคงไม่ใช่เื่ดีนัก
รูปปั้นสิงโตตัวใหญ่สองตัวที่นั่งอยู่หน้าประตูจวนตวนอ๋องดูสูงส่งเสมือนเ้าบ้านของมันทหารเฝ้าประตูจวนถือดาบคอยเฝ้าระวังอยู่สองข้างทางราวกับเทพทวารบาล[1] ทำให้ผู้คนมองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกหวาดกลัว เมื่อเสิ่นเยี่ยนเดินเข้าไปทหารทั้งสองฝั่งก็โค้งคำนับให้เขา
จนกระทั่งแผ่นหลังของเสิ่นเยี่ยนลับตาไปกู้เจิงถึงได้ถอนสายตากลับมา ชุนหงที่นั่งอยู่ข้างนอกแทนที่ตำแหน่งของเสิ่นเยี่ยนหัวเราะคิกคัก “คุณหนู ตอนนี้ท่านชอบท่านบุตรเขยมากขึ้นแล้วใช่ไหมเ้าคะ?”
กู้เจิงพยักหน้ายอมรับอย่างใจกว้างไม่ว่าใครก็คงชอบผู้ชายเช่นนี้ทั้งนั้น
“บ่าวก็คิดว่าท่านบุตรเขยเป็ผู้ชายที่ดีที่สุดแล้วเ้าค่ะคุณหนูเมื่อไหร่ท่านจะมีลูกให้ท่านบุตรเขยล่ะเ้าคะ?” ชุนหงถามด้วยความใสซื่อ “สามีภรรยาแค่นอนด้วยกันก็มีลูกได้แล้วไม่ใช่หรือเ้าคะ? เหตุใดท้องของคุณหนูถึงไม่เปลี่ยนไปสักนิดเลยเ้าคะ?”
ลูก? กู้เจิงไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อนเลยอีกอย่างนางกับเสิ่นเยี่ยนยังไม่ได้ร่วมหลับนอนกัน “ใครบอกเ้าว่าสามีภรรยาแค่นอนด้วยกันแล้วจะมีลูก?”
“ทุกคนล้วนบอกกันแบบนี้เ้าค่ะ”
เห็นสีหน้าไร้เดียงสาของชุนหงกู้เจิงเลยครุ่นคิดว่าจะให้ความรู้เื่เพศกับนางดีไหม คิดไปคิดมา ก็ช่างมันเถอะดึงต้นกล้าให้โต[2] คงไม่ค่อยดีนัก “เื่แบบนี้ต้องปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ” มีลูกตอนอายุสิบหก นางยังรับไม่ได้หรอก
ขณะที่นายบ่าวสองคนกำลังสนทนากันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงร่าเริงทักทายขึ้นที่หน้าประตูจวน “พี่สะใภ้ ชุนหง”
“ปาเม่ย?” นางกับชุนหงรีบลงจากรถม้าเดินไปหาปาเม่ยที่หน้าประตูจวน
“พี่ใหญ่เสิ่นบอกว่าท่านกับชุนหงนั่งรออยู่ในรถม้าข้าเลยออกมาหาพวกท่าน ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้ามารอข้างในล่ะเ้าคะ?” ปาเม่ยจับมือกู้เจิงอย่างดีใจ
“ท่านพี่เข้าไปไม่นานเดี๋ยวก็ออกมาข้ารอเขาอยู่บนรถม้านี่แหละดีแล้ว ปาเม่ย นี่เ้าสูงขึ้นอีกแล้วหรือ?” กู้เจิงรู้สึกว่าปาเม่ยสูงขึ้นอีกนิดเด็กสาวในวัยสิบสาม รูปร่างอรชรขึ้นมาก ใบหน้ากลมดูเป็สาวขึ้นเล็กน้อยแต่ลักยิ้มน่ารักของนางยังมีอยู่
“ใช่เ้าค่ะ ข้าสูงขึ้น” ปาเม่ยพูดขึ้นด้วยความดีใจ “พี่สะใภ้ ท่านอ๋องย้ายข้าไปที่เรือนอิ๋งจวงล่ะเ้าค่ะเรือนอิ๋งจวงจะเป็เรือนหอที่พระชายาของตวนอ๋องจะมาอยู่ทั้งยังให้ข้ารับผิดชอบทำความสะอาดห้องข้างในอีกหลายห้องเลยเ้าค่ะ”
กู้เจิงเห็นท่าทางดีใจของปาเม่ยก็อดยินดีไปด้วยไม่ได้ “ดูท่าท่านอ๋องจะให้ความสำคัญกับเ้ามากเลยนะ” หออิ๋งจวง? จากชื่อเรือนก็เห็นได้ว่าตวนอ๋องคงเอาใจใส่น้องสามของนางเป็อย่างดี
“พี่สะใภ้ ท่านอยากไปดูหออิ๋งจวงไหมเ้าคะ? สวยมากเลยเ้าค่ะ”
“วันนี้ข้าคงไม่ไปแล้วล่ะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสเ้าค่อยพาข้าไปดู” หากไม่เข้าจวนตวนอ๋องได้ กู้เจิงก็จะไม่เข้า
นางเพิ่งพูดจบ พ่อบ้านว่านก็เดินออกมาจากหน้าประตูจวน
“ฮูหยินน้อยเสิ่น” พ่อบ้านว่านคารวะ “ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยมาแจ้งแก่ท่านว่าท่านอ๋องได้เตรียมงานเลี้ยงสุราที่หอถงชุน และได้เชิญฮูหยินน้อยไปร่วมงานด้วย อ้อนายท่านตระกูลกู้ นายหญิง รวมถึงคุณชายรอง และคุณหนูสี่เองก็จะไปร่วมงานด้วยท่านอ๋องยังบอกอีกว่า ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ เลยเชิญฮูหยินน้อยเข้าไปพักดื่มน้ำชาในจวนแล้วเมื่อได้เวลาค่อยไปด้วยกันขอรับ”
กู้เจิง “...” พูดว่าไม่อยากเข้าจวนไม่ทันขาดคำก็มีเื่ให้ต้องเข้าจนได้
“ปาเม่ย เ้ายังยืนอ้ำอึ้งอะไรอยู่อีก รีบนำทางฮูหยินน้อยสิ” พ่อบ้านว่านรีบกล่าวเตือนปาเม่ย
แน่นอนว่าปาเม่ยย่อมดีใจ นางรีบพากู้เจิงเข้าไปข้างในทันที
“คุณหนู บ่าวไม่เข้าไปนะเ้าคะบ่าวขอรอท่านกับท่านบุตรเขยที่รถนี่แหละเ้าค่ะ” ชุนหงดูจะชอบรถม้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้มาก
ท่านอ๋องให้คนมาเชิญนางขนาดนี้แล้ว ถ้ากู้เจิงไม่เข้าไปก็จะกลายเป็การเสียมารยาทนางจึงได้แต่ปล่อยให้ปาเม่ยลากเข้าไปในจวน
จวนตวนอ๋องมีสวนอยู่กลางระเบียงที่ทอดยาว วิวทิวทัศน์งดงามแม้อากาศจะครึ้มฝนเช่นนี้ ก็ยังงดงามอยู่ดี
เมื่อเข้ามาแล้ว ในฐานะสตรี กู้เจิงจะไปดื่มชาที่ห้องโถงใหญ่ไม่ได้นางจึงตามปาเม่ยเดินออกจากระเบียงทางเดินจนมาถึงห้องโถงเล็ก
ปาเม่ยรีบชงชาเขียวมาต้อนรับ “พี่สะใภ้ ในจวนอ๋องมีสวนสวยๆ อยู่หลายแห่งเลยเ้าค่ะให้ข้าพาท่านไปดูไหมเ้าคะ?”
“ไม่ต้องหรอก ข้านั่งดื่มชาอยู่ที่นี่แหละ” กู้เจิงยิ้มรับ นางไม่เดินไปไหนมั่วซั่วจะดีกว่านั่งดื่มชาอยู่ที่นี่เงียบๆ รอเสิ่นเยี่ยนก็พอ
-------------------------------------------
[1] เทพทวารบาล หมายถึง เทพผู้เฝ้ารักษาประตูที่คนจีนมักสลักหรือวาดติดที่หน้าประตูมีหน้าตาดุร้ายสวมชุดเกราะถืออาวุธช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคล
[2] ดึงต้นกล้าให้โต หมายถึง การพยายามฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติหรือการรีบร้อนเร่งให้งานสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา
