ในยามราตรี ป่าไผ่เขตทมิฬถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกจาง ๆ ที่ล่องลอยราวกับเงามายา เสียงลมพัดผ่านแนวไผ่สูงเสียดฟ้า ส่งเสียงครืดคราดราวกับกระซิบกระซาบของิญญาเร่ร่อน พื้นดินปกคลุมด้วยใบไผ่ที่ร่วงหล่นจากกิ่งก้าน ถูกความมืดบดบังจนดูคล้ายห้วงลึกอันไร้ก้นบึ้ง ทั่วทั้งป่าชื้นเย็นจนกระดูกแทบแข็งชา บรรยากาศหนักอึ้งจนแม้แต่สัตว์ป่ายังไม่กล้าส่งเสียง
ท่ามกลางความมืดมิด ร่างหนึ่งยืนหยัดแน่วแน่ ประกายกระบี่ในมือส่องสะท้อนแสงจันทร์ซีดเซียว กลิ่นอายของจอมยุทธ์หนุ่มแผ่ซ่านออกมาแม้ยังไม่ขยับ ลู่วหยิน จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาเรียบนิ่งแต่ซ่อนเร้นไปด้วยความตึงเครียด
กองทัพโครงกระดูกดำทะมึนเคลื่อนไหวด้วยท่าทางแข็งกระด้าง เสียงข้อต่อที่กระทบกันดังกึกกัก ดวงตาของพวกมันเป็โพรงว่างเปล่า ทว่ากลับมีแสงแดงเรื่อราวกับเปลวเพลิงแห่งโลกันต์ส่องประกายอยู่ภายใน พลังอาฆาตที่แผ่ออกมาจากพวกมันราวกับคลื่นพิษที่คืบคลานเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่เผชิญหน้า แม้จะไม่มีเนื้อหนังและไร้ซึ่งอารมณ์ แต่รังสีสังหารของพวกมันกลับหนักหน่วงจนแม้แต่จอมยุทธ์ผู้ช่ำชองยังต้องรู้สึกสะท้าน
"ปราณกระบี่เหินฟ้า..."
เสียงของลู่วหยินแ่เบา แต่เต็มไปด้วยสมาธิและจิตแน่วแน่ มือขวาที่กุมกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหวด้วยพลังลมปราณที่ถูกเร่งเร้า เส้นปราณภายในร่างหลั่งไหลไปตามแขนขา เปล่งประกายเรืองรองดุจสายน้ำเงินเยือกเย็น
[คมสลาตัน] แสงกระบี่สว่างวาบ ฟาดฟันออกไปด้วยความเร็วเหนืุ์ ลำแสงสีเงินเฉือนทะลุร่างโครงกระดูกตรงหน้า ส่งเศษกระดูกแตกกระจายไปทั่วอากาศ เสียงแตกร้าวดังก้องราวกับกระดูกพันปีถูกบดขยี้เป็ผุยผง
แต่เหล่าโครงกระดูกกลับมิได้ลดจำนวนลง พวกมันยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นมหาสมุทร ร่างแล้วร่างเล่าโถมเข้ามาพร้อมกันไม่เว้น่
[เหมันต์ทลาย] ลมปราณเย็นเยือกแผ่ซ่านออกจากปลายกระบี่ สายลมสีเงินหมุนวนเป็เกลียวก่อนจะแตกกระจายเป็คมมีดนับร้อย เฉือนร่างเหล่าโครงกระดูกที่อยู่ใกล้เป็เสี่ยง ๆ เศษกระดูกปลิวกระจัดกระจายดั่งเกล็ดหิมะต้องพายุหิมะ
แต่กองทัพที่ไร้ซึ่งชีวิตและความกลัวหาได้หยุดยั้ง พวกมันยังคงทะลักเข้ามาไม่จบสิ้น ร่างของลู่วหยินหมุนตัวในอากาศ ลมหายใจของเขาหนักขึ้นแต่กระบี่ในมือยังคงวาดผ่านอากาศด้วยความมั่นคง
[ตัดวายุ] กระบี่ในมือแปรเปลี่ยนเป็พายุปราณ พลังลมปราณกวาดออกเป็เสี้ยวโค้งขนาดใหญ่ แรงกดดันจากคลื่นปราณทำให้พื้นดินใต้เท้าแตกร้าว โครงกระดูกจำนวนมากถูกฟาดกระเด็นไปตามแรงลม ก่อนที่พวกมันจะล้มลงเป็กองซากไร้ิญญา
แต่เขาย่อมรู้ว่า ต่อให้สามารถจัดการกับศัตรูจำนวนมากได้ ก็ยังมิอาจใช้พลังจนหมดสิ้นได้
ร่างของลู่วหยินเคลื่อนที่ไปมาด้วยความรวดเร็ว ปลายเท้าแทบไม่ััพื้น กระบวนท่านี้ช่วยให้เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของเหล่าโครงกระดูกได้อย่างคล่องแคล่ว แสงกระบี่พุ่งวูบวาบ ฟันทะลวงร่างศัตรูทุกครั้งที่เขาพลิกตัวหลบ
เขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ยอดไผ่ ลอยตัวเหนือสนามรบอย่างสง่างาม สายตาของเขากวาดมองเบื้องล่าง คำนวณช่องว่างและทิศทางของศัตรูอย่างแม่นยำ
ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาใช้ลมปราณที่หลงเหลือหล่อเลี้ยงร่างกาย ดึงพลังที่กระจัดกระจายกลับคืนมาสู่จุดตันเถียน ขับไล่ความอ่อนล้าและฟื้นฟูแรงกายเพียงพอสำหรับการต่อสู้อีกระลอก
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม สนามรบที่เคยเต็มไปด้วยโครงกระดูกบัดนี้กลับเงียบงัน เศษกระดูกกระจัดกระจายทั่วพื้นป่าไผ่ เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านกิ่งไผ่สูง เศษใบไผ่ร่วงหล่นปกคลุมซากศัตรูที่พ่ายแพ้
ลู่วหยินยืนอยู่ท่ามกลางกองซากกระดูก มือขวายังถือกระบี่แน่น ร่างกายของเขามีเหงื่อไหลซึมตามไรผม แต่แววตายังคงเฉียบคม เขาค่อย ๆ เก็บกระบี่เข้าฝัก เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด
แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะสิ้นสุดลง แต่เขารู้ดีว่า นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางจอมยุทธ์ที่ยาวไกล การฝึกฝนอย่างหนักที่ผ่านมามิได้สูญเปล่า ต่อให้ใช้ได้เพัยงปราณพื้นฐาน หรือวรยุทธ์ประจำสำนักที่จอมยุทธ์ทั่วไปก็ทำได้ แต่ไม่อาจปฎิเสธว่าเขาสามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางศัตรูอันน่าสะพรึงกลัว จากการเพียรพยายามไสตัวแทบขาด
ซากกระดูกที่ถูกเขาทำลายลงเมื่อครู่ บัดนี้กลับเริ่มเคลื่อนไหว เศษกระดูกที่ป่นแหลกกระจัดกระจายค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น ราวกับต้องมนตร์อาถรรพ์ พลังบางอย่างที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่โดยรอบ อากาศเย็นะเืแผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้พื้นป่าไผ่ เศษซากเ่าั้ค่อยๆ ลอยเข้าหากัน ก่อนจะรวมตัวประกอบร่างอีกครั้งอย่างน่าสะพรึงกลัว
เสียงกระดูกกระทบกันดังกรอบแกรบกึกก้องไปทั่ว เปลวเพลิงิญญาสีเขียวมรกตลุกโชนขึ้นจากกะโหลกแต่ละใบ ก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วร่างไร้เนื้อหนัง เหล่าโครงกระดูกที่ควรจะแตกสลาย กลับลุกขึ้นอีกครั้ง พลังแห่งิญญาอาฆาตไหลเวียนในกระดูกที่ควรเป็เพียงซากไร้ชีวิต ดวงตากลวงโบ๋เรืองแสงสีเขียววาวโรจน์ เสียงครวญครางแ่เบาดังก้อง ราวกับเสียงแห่งความทุกข์ทรมานของเหล่าผู้ที่ถูกจองจำไว้ชั่วนิรันดร์
"อ...อะไรกัน! พวกมันยังไม่ตายงั้นรึ!" ลู่วหยินหน้าถอดสี รีบชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้ง ดวงตาไหววูบไปชั่วขณะ แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจ เขาก็เรียกสติกลับคืนมา กระชับกระบี่ในมือแน่น พร้อมเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูเบื้องหน้าอีกครั้ง
เหล่าโครงกระดูกไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว พวกมันพุ่งเข้าใส่ด้วยความดุร้ายราวกับคลื่นทะเลคลั่ง ลู่วหยินสูดลมหายใจลึก พลิกข้อมือใช้กระบวนท่า [ตัดวายุ] กระบี่ของเขาสะบัดออกเป็เส้นแสงคมกริบ วาดผ่านร่างของศัตรูตรงหน้า เสียงกระดูกแตกร้าวดังสะท้อนไปทั่ว กระดูกบางส่วนถูกฟันขาดเป็เสี่ยงๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะผ่อนลมหายใจ เศษซากเ่าั้กลับรวมตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
ลู่วหยินกัดฟันแน่น ก่อนจะก้าวเท้าฉับพลัน ใช้กระบวนท่า [คมสลาตัน] กระบี่ในมือฟาดฟันออกไปเป็แนวโค้ง พลังปราณพลุ่งพล่านราวกับพายุหมุน เส้นแสงสีเงินพาดผ่านกลางสมรภูมิ กวาดเหล่ากระดูกเดินได้ให้กระเด็นออกไป แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันยังคงลุกขึ้นได้อีก!
"บ้าเอ๊ย! ทำไมพวกมันแข็งแกร่งขึ้นกันนะ..." ลู่วหยินคิดในใจ ขณะพยายามรักษาระยะห่าง ทว่าเหล่ากองทัพโครงกระดูกไม่ได้ให้เวลาหยุดคิด พวกมันแห่กันเข้ามารอบทิศ ลู่วหยินตัดสินใจปลดปล่อยสุดยอดกระบวนท่า [เหมันต์ทลาย] เขารวบรวมพลังปราณทั้งหมด กระบี่ในมือแผ่ไอเย็นะเื เส้นปราณสีขาวแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ พริบตานั้น คลื่นพลังเยือกแข็งก็พัดโหมออกไป ร่างของเหล่าโครงกระดูกบางตนถูกตรึงอยู่กับที่ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ทว่าจำนวนของพวกมันมากเกินไป แรงกดดันถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งสู้ ลู่วหยินยิ่งรู้สึกถึงความอ่อนล้าของร่างกาย เหล่าศัตรูพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง กระบวนท่าของเขาช้าลงทีละนิด
"อั่ก!"
เขาพลาดท่า ดาบเขรอะสนิมขูดเสียดเนื้อผ้าทะลุโดนผิวเนื้อเป็รอยบากเืซึมออกมา าแค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามร่างกาย ใบดาบใบแล้วใบเล่าเชือดเฉือนร่างเขาทีละส่วน โชคดีที่ดาบของพวกมันไม่คมเหมือนดาบใหม่จากโรงตีเหล็ก ในทางกลับกันมันก็ยังทำให้เขารู้สึกเ็ปเข้าเส้น
"จ...จะตายแบบนี้ไม่ได้!" สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ เพียงแค่เอี้ยวตัวหลบคมดาบให้มากที่สุดเท่าที่เป็ไปได้ แต่ทว่าความเร็วที่ลดลงจากความเหนื่อยล้าก็ไม่สามารถช่วยเขาให้รอดจากคมดาบทุกทิศ
เขาทำได้เพียงกัดฟันอดทนความเ็ปที่ถาโถมเข้ามา
จนกระทั่ง...
คมดาบของกองทัพโครงกระดูกอีกระลอกพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็ว หากโดนเข้าไปอีกครั้ง เขาจะได้รับาเ็หนัก หรืออาจถึงตายแน่นอน
"บ...บัดซบ! หลบไม่พ้นแน่!"
แต่ก่อนที่มันจะััร่างของเขา แสงสีทองเจิดจ้าก็พลันสาดส่องลงมา เสียงกระบี่แหวกอากาศก้องกังวาน พร้อมกับร่างหนึ่งที่พุ่งเข้ามากลางวงต่อสู้
"ปราณนารี์!"
เฟยผิงปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม เรือนร่างของนางเปล่งประกายแสงสีทองอ่อนโยน ทว่าเต็มไปด้วยพลังลี้ลับ นางสะบัดกระบี่วาดเป็เส้นโค้งกลางอากาศ
พริบตานั้น แสงสีทองกระจายออกไปเป็วงกว้าง อานุภาพของพลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ร่างของเหล่าโครงกระดูกที่ััพลังนี้เริ่มสั่นสะท้าน เปลวเพลิงิญญาสีเขียวที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาของพวกมันค่อยๆ หรี่แสงลง ก่อนที่ร่างจะเริ่มแตกสลายเป็เถ้าธุลี
เฟยผิงก้าวไปข้างหน้า กระชับกระบี่ในมือ พลังปราณพลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทรคลั่ง กระบวนท่าแรก [สะบั้นนภา] นางตวัดกระบี่ พลังศักดิ์สิทธิ์พลุ่งออกไปเป็แนวตรง ผ่ากลางร่างของโครงกระดูกที่เหลืออยู่จนแตกเป็เสี่ยงๆ
กระบวนท่าต่อมา [เขี้ยวลมกรด] เฟยผิงพริ้วกายแหวกอากาศ หมุนตัวไปพร้อมกับกระบี่ เสียงกระบี่ร้องก้องกังวาน พายุแห่งคมกระบี่โหมกระหน่ำ กวาดล้างศัตรูที่ยังเหลืออยู่ให้สลายสิ้น
สุดท้าย นางปลดปล่อยสุดยอดกระบวนท่า [ระบำลมแปดทิศ] เรือนร่างของนางเคลื่อนไหวดั่งสายลม กระบี่ในมือร่ายรำเป็วงแปดทิศ พลังปราณกระจายออกไปทุกทิศทาง เหล่าโครงกระดูกที่ยังเหลืออยู่ถูกทำลายลงในพริบตา
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ป่าไผ่กลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เหลือเพียงเถ้าธุลีของิญญาอาฆาตที่ปลิดปลิวไปตามสายลม
ลู่วหยินยืนหอบหายใจถี่ ร่างกายที่ผ่านศึกหนักเมื่อครู่ยังสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างอรชรของเฟยผิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาผ่านม่านไผ่ทำให้ร่างของนางดูราวกับเซียนหญิงผู้สูงส่ง นางคือดอกฟ้าผู้เจิดจรัส ในขณะที่เขาเป็เพียงนักสู้สามัญชนที่ดิ้นรนในหนทางแห่งยุทธ์
เขารู้ดีว่าความรู้สึกของตนเป็เช่นไร มันไม่ใช่เพียงความหลงใหลชั่ววูบ หากแต่เป็ความรักที่ฝังรากลึกั้แ่เมื่อครั้งยังเป็เพียงศิษย์ฝึกหัดของพรรคเหินฟ้า เขาตกหลุมรักนางั้แ่แรกพบ ั้แ่นางเป็ศิษย์น้องผู้เปี่ยมด้วยพร์ มีปราณกระบี่ล้ำเลิศเกินใคร ในขณะที่เขายังเป็เพียงจอมยุทธ์ชั้นล่างที่ไร้ซึ่งชื่อเสียง แม้แต่ปราณของตัวเองก็ยังไม่มี
ดั่งดอกฟ้ากับสุนัขจร...
เฟยผิงสูงส่งเกินเอื้อม นางเป็อัจฉริยะที่เหล่าผู้าุโของพรรคต่างหมายมั่นให้เป็อนาคตของพรรคเหินฟ้า ส่วนเขามีเพียงความมุ่งมั่นและหยาดเหงื่อที่ใช้แลกกับเส้นทางแห่งยุทธ์อันยากลำบาก ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่อาจทัดเทียมนางได้เลย
แม้จะเป็เช่นนั้น เฟยผิงก็มิใช่ดอกไม้ที่เย่อหยิ่ง นางคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ คอยให้คำแนะนำ ดูแลและปกป้องเขา แม้ว่าคนรอบข้างจะดูแคลนว่าเขาไม่คู่ควร แต่นางกลับไม่เคยแสดงทีท่ารังเกียจ มีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นและแววตาห่วงใยที่มอบให้เขาเสมอ
“เฟยผิง...” เขาเอ่ยนามนางด้วยเสียงแ่เบา ราวกับกลัวว่าหากกล่าวออกไปเสียงดังเกินไป นางอาจเป็เพียงเงาลวงตา
“ไม่เป็ไรใช่ไหม ศิษย์พี่” นางเอ่ยถาม น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
ลู่วหยินพยายามระงับความรู้สึกบางอย่างในใจ เขาไม่อยากให้ความอ่อนแอของตนปรากฏต่อหน้านาง “ข้าไม่เป็ไร...” แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ร่างกายของเขากลับเต็มไปด้วยรอยแผลและเหงื่อโซมกาย บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้อันหนักหน่วง
เขาฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ “ว่าแต่เ้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้าเป็ห่วงศิษย์พี่น่ะสิ ท่านประมุขบอกว่าศิษย์พี่รับภารกิจด้วยตัวคนเดียว ข้าก็เลยอยากอาสาช่วยน่ะ” เฟยผิงกล่าวด้วยแววตาจริงจัง
ลู่วหยินใจสั่นไหว แม้จะเป็เพียงประโยคเรียบง่าย แต่กลับทำให้หัวใจของเขาพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกหลากหลาย นางเป็ห่วงเขา นางอุตส่าห์ขอร้องท่านประมุขเพื่อมาที่นี่เพราะเป็ห่วงเขา
เขากลืนน้ำลายฝืดคอ พยายามสะกดความรู้สึกที่เอ่อล้นไว้ ก่อนจะแค่นเสียงตอบกลับ “ไม่จำเป็หรอก ข้า้าพิสูจน์ตนเอง ว่าข้าก็เหมาะกับการเป็จอมยุทธ์ของพรรคเหินฟ้า”
รอยยิ้มที่ฝืนทนปรากฏบนใบหน้า แต่เฟยผิงมิใช่คนโง่ นางมองทะลุความคิดของเขาได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ได้นะ ภารกิจนี้มันอันตราย ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมท่านประมุขอยู่นาน กว่าท่านจะยอมให้ข้าตามมา”
ลู่วหยินสะท้านในอก คำพูดของนางเป็เพียงถ้อยคำห่วงใยธรรมดา แต่กับเขากลับรู้สึกเหมือนเป็สิ่งล้ำค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมา ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางนั้นยากจะพรรณนา นางคือแสงสว่างในชีวิตของเขา แม้ว่าตนจะอ่อนด้อยเพียงใด แต่ก็อยากจะต่อสู้เพื่อให้คู่ควรกับนางสักวันหนึ่ง
เสียงฝีเท้าก้าวย่ำลงบนพื้นปฐีอย่างแ่เบา ทว่ากลับดังสะท้อนก้องในโสตประสาทของลู่วหยินยิ่งกว่าสิ่งใด
"เฟยผิง ทำไมเ้าไม่รอข้า"
เพียงแค่ได้ยินเสียงนั้น อารมณ์อบอุ่นที่เพิ่งก่อตัวในใจของลู่วหยินก็พลันมลายสิ้น ประหนึ่งถูกสายลมอันเย็นเยียบพัดพาหายไปในพริบตา เขายืนนิ่ง ร่างกายที่าเ็จากศึกเมื่อครู่สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
'จินหลี่' ลู่วหยินไม่ต้องหันไปสบตาก็รู้ว่าใคร
บุรุษร่างสูงโปร่ง เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้ลวก ๆ สวมอาภรณ์แพรเนื้อดีที่ตัดเย็บอย่างประณีต ใบหน้าเหลี่ยมคมดุจสลักเสลาจากหยกชั้นเลิศ ทว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูสง่างามกลับแฝงไว้ด้วยแววตาเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจในตนเองอย่างล้นเหลือ เขาะโถลาลมลงมาข้างเฟยผิงอย่างว่องไว ราวกับแสดงตนว่าเป็ผู้ปกป้องนางโดยสมบูรณ์
สิ่งที่ทำให้ลู่วหยินหงุดหงิดใจที่สุดคือสายตาของจินหลี่ที่มองผ่านเขาไปโดยไม่แยแส ประหนึ่งว่าเขาเป็เพียงอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน ในยามนี้เขาไม่ใช่ศิษย์พี่ของพรรคเดียวกัน ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่เพิ่งต่อสู้กับกองทัพอสูรจนสะบักสะบอม แต่เป็เพียงเศษฝุ่นไร้ค่าในสายตาของจินหลี่เพียงเท่านั้น
ลู่วหยินไม่ชอบบุรุษผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร จินหลี่เป็เสมือนมารหัวใจของเขา บุรุษที่เอาแต่ตามตื้อเฟยผิง ทั้งแสดงออกอย่างเปิดเผยและพยายามเข้าหานางทุกวิถีทาง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวลือว่าทั้งสองแอบมีสัมพันธ์ลับต่อกัน ทั้งที่จินหลี่เองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว แม้ลู่วหยินจะไม่ใช่คนหูเบา แต่เื่นี้กลับกรีดลึกลงในใจเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือบางที เขาเพียงแค่พยายามเข้าข้างตนเองเท่านั้น
"เ้าาเ็อะไรไหม"
คำถามของจินหลี่มิได้มุ่งมาทางลู่วหยิน แต่กลับเป็เฟยผิงแทน ทั้งที่นางไม่ได้รับาแใดเลยแม้แต่น้อย ฝุ่นยังไม่แตะปลายเส้นผมด้วยซ้ำ
"ข้าไม่เป็ไร แต่ศิษย์พี่ลู่วหยินน่ะสิ..." เฟยผิงหันไปมองเขาด้วยแววตาเป็ห่วง แต่ลู่วหยินเพียงยืนนิ่ง แสดงสีหน้าขรึมซ่อนความเ็ปไว้ภายใน
"ลู่วหยินหรือ อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่เห็นเ้าน่ะ แต่สภาพเ้าดูไม่จืดเลยนะ อ้อ...จริงด้วยสิ ท่านประมุขให้เ้ามาจัดการกับพรรคมารสินะ เ้าจะไหวหรือ" จินหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเป็ห่วงเป็ใย หากแต่ลู่วหยินจับได้ถึงความเยาะเย้ยที่แฝงอยู่ในวาจานั้น
ลู่วหยินกำหมัดแน่น ความรู้สึกอยากเอาชนะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่้าเป็เพียงศิษย์ธรรมดาที่ไร้ชื่อเสียง ไม่้าเป็เพียงจอมยุทธ์ชั้นล่างที่ใครก็เหยียดหยาม และที่สำคัญ...เขาไม่้าพ่ายแพ้ให้กับจินหลี่
"ข้าต้องทำภารกิจตามที่ท่านประมุขมอบหมายมา เฟยผิง ศิษย์พี่ พวกท่านกลับไปเถิด ข้าจัดการเองได้"
"แต่ศิษย์พี่ดูเหนื่อยล้ามากนะ" เฟยผิงกล่าวเสียงแ่ นางเป็ห่วงเขาจริง ๆ และลู่วหยินก็รับรู้ถึงความปรารถนาดีของนางได้อย่างชัดเจน
"เอิ่ม...แต่สภาพแบบนี้ ลำพังจะสู้กับสุนัขป่ายังลำบากเลย ถ้าเ้าดันทุรัง คนลำบากก็คือข้ากับเฟยผิงน่ะสิ ข้าคงไม่อยากแบกร่างเ้าข้ามป่ากลับสำนักหรอกนะ" จินหลี่กล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ท่าทางไม่ต่างจากงูพิษที่รัดเหยื่อให้หายใจไม่ออก
ลู่วหยินกัดฟันแน่น เขาจะไม่ยอมให้จินหลี่มาดูถูกเขาต่อหน้าเฟยผิงเป็อันขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม
"ศิษย์พี่ ถ้าท่านไม่ไหว ท่านกลับพรรคไปเถิด ภารกิจนี้เดี๋ยวข้ากับศิษย์พี่จะสานต่อให้เอง" เฟยผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ยิ่งนางพูดเช่นนี้ หัวใจของลู่วหยินก็ยิ่งเ็ปมากขึ้น
เขาจะยอมถูกตราหน้าว่าเป็จอมยุทธ์อ่อนแอไม่ได้ จะยอมเป็ภาระของเฟยผิงไม่ได้
และที่สำคัญ เขาจะยอมให้จินหลี่แย่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปไม่ได้!
"ข้าจะไปจัดการกับพรรคมาร ไม่ต้องห่วงข้าหรอก"
กล่าวจบ ลู่วหยินก็ก้าวเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีก แม้ร่างกายจะสะบักสะบอม แม้ขาจะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่เขายังมีปราณ [ฟื้นฟูกำลัง] ช่วยประคับประคองให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้
“ศิษย์พี่...” เฟยผิงพยายามจะยกมือรั้งไว้ แต่กลับถูกขัดขวางโดยจินหลี่
“ปล่อยเขาไปเถอะ เ้าก็รู้อยู่ว่าหมอนั่นอยากพิสูจน์ตัวเองต่อพรรคขนาดไหน ก็นะ...เป็แค่จอมยุทธ์ชั้นล่างก็ลำบากแบบนี้แหละนะ” จินหลี่เอ่ยขึ้น พร้อมยักไหล่เสมือนกำลังล้อเลียน
ลู่วหยินไม่อาจได้ยินคำพูดนั้นแล้ว หรืออาจจะได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเฉยไปเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้