เมื่อเซี่ยโม่ได้ยินว่าเซี่ยอวิ๋นกลายเป็คนสติไม่ค่อยดีไปแล้วก็รู้สึกโล่งอก
่นี้หวางลี่ลี่ไม่มีทางวางแผนทำเื่ชั่วร้ายแน่นอน เพราะต้องเอาเวลาไปคอยดูแลเซี่ยอวิ๋น
ส่วนเธอดูแลน้องชายกับสือโถวได้สองวัน หลังจากนั้นก็ให้คุณป้าหวางเป็คนนำข้าวมื้อเที่ยงไปส่งแทน
เซี่ยโม่ขึ้นเขาไปเก็บฟืนมาสองวันแล้ว พอเห็นฟืนกองพะเนินเต็มพื้น เธอรู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกิน
แน่นอนว่าภายในโรงตรวจของอาจารย์ก็มีกองฟืนเป็ตั้งเช่นกัน หากเข้าฤดูหนาว ย่อมไม่ขาดแคลนฟืนแน่นอน
เซี่ยโม่ไม่ได้บอกผู้ใหญ่เื่เช่าบ้านกับว่าจ้างคุณป้าหวาง ่นี้เธอกับน้องยังไม่มีแผนนอนค้างบ้านที่เช่าอยู่ แค่ไหว้วานคุณป้าหวางทำอาหารเที่ยงให้เท่านั้น
กับแม่ของสือโถวก็ยังไม่ได้บอกเช่นกัน อีกฝ่ายจะได้ไม่คิดมาก
่นี้อากาศยังไม่หนาวเย็น ทุกครอบครัวจึงยุ่งกับการเก็บผักในสวนหลังบ้านมาทำผักดอง และวุ่นวายกับการตัดฟืนเตรียมไว้สำหรับใช้ในฤดูหนาว
แม่ของสือโถวก็น่าจะยุ่งมากเช่นกัน เื่เล็กน้อยแค่นี้เธอสามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ จึงไม่จำเป็ต้องเอาเื่หยุมหยิมไปรบกวน
ตอนเย็นขณะเซี่ยโม่ขี่จักรยานไปส่งสือโถวที่บ้านตามกิจวัตร
ครั้นแม่ของสือโถวเห็นเธอก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างร้อนใจ “โม่โม่ อาได้ยินสือโถวเล่าให้ฟังแล้ว ทำไมเราถึงไม่บอกอา”
เด็กน้อยเก็บความลับไม่อยู่จริงๆ
เธอหันไปมองสือโถวที่กำลังย่นคออย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณอาคะ หนูแค่คิดว่า่นี้คุณอาน่าจะยุ่ง อีกอย่างคุณป้าหวางก็ไม่มีอะไรทำ หนูเลยให้คุณป้าหวางทำอาหารให้เด็กๆ กิน คุณป้าหวางสนิทกับพี่ซ่ง เื่เล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็อะไรหรอกค่ะ”
“โม่โม่ เราไม่ต้องพูดปลอบอาเลย ถึงอย่างไรการที่พี่หวางคอยไปรับไปส่งเด็กๆ ่พักเที่ยง ไหนจะทำอาหารให้กินอีกก็ถือว่าเราติดหนี้น้ำใจพี่เขา ่นี้ในหมู่บ้านไม่ค่อยยุ่งแล้ว เื่ในบ้านอาก็จัดการเกือบจะเสร็จแล้ว งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเที่ยงอาไปดูแลเด็กๆ เอง”
ทราบดีว่ามารดาของสือโถวเป็คนมีเหตุมีผล ทั้งยังไม่ชอบเอาเปรียบใคร เธอจึงยอมลงให้ในที่สุด
“งั้นก็รบกวนคุณอาแล้ว แต่ตอนเช้ากับตอนเย็นเดี๋ยวหนูขี่จักรยานรับส่งเด็กทั้งสองคนเหมือนเดิมเองค่ะ คุณอาแค่ดูแลเด็กๆ เื่มื้อเที่ยงก็พอ ส่วนพวกวัตถุดิบเดี๋ยวหนูเป็คนซื้อและเอาไปให้เอง”
“ได้ ถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวฉันเอาจากที่บ้านไป” แม่ของสือโถวยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
เมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัวเซี่ยโม่ก็พยักหน้ารับรู้เช่นกัน
วันต่อมา พอถึงเวลาเที่ยงวันมารดาของสือโถวตรงไปบ้านที่เช่าอยู่เพื่อทำอาหารให้เด็กทั้งสองคน แล้วก็ต้องพบว่าเซี่ยโม่ตระเตรียมวัตถุดิบเอาไว้ให้มากมายหลายอย่าง มีทั้งมันฝรั่ง หัวไชเท้า ผักกาดขาว และผักดอง แม้แต่เนื้อเค็มเนื้อแห้งก็ยังมี เรียกได้ว่ามีแต่วัตถุดิบดีๆ ทั้งนั้น
ขนาดสามีเธอเป็ผู้ใหญ่บ้าน ภายในบ้านยังไม่มีวัตถุดิบชั้นดีมากมายเท่านี้เลย
คนในหมู่บ้านถึงได้พูดกันว่า ่หลังมานี้ชีวิตความเป็อยู่ของบ้านอู๋ดีขึ้นมาก สองเดือนกว่าที่ผ่านมา บุตรชายของเธอที่อยู่ในความดูแลของเซี่ยโม่นั้นอวบอ้วนขึ้นไม่น้อย
“โม่โม่ นี่เราเอาของดีที่บ้านมาหมดเลยใช่ไหมเนี่ย”
“ที่บ้านยังมีเหลืออยู่ค่ะ คือว่า คุณตาคุณยายหนูไม่ใช่ว่ารับพี่ซ่งเป็หลานบุญธรรมเหรอคะ เนื้อพวกนี้พี่เขาเป็คนให้มาค่ะ คุณตาคุณยายเลยสั่งหนูเอามาให้คุณอาทำอาหารให้เด็กทั้งสองคนกิน” เซี่ยโม่อธิบายพร้อมรอยยิ้ม
เธอเองก็ได้ยินเื่นี้มาเช่นกัน พ่อหนุ่มแซ่ซ่งคนนั้นทะเลาะกับผู้เป็ป้า เพราะป้า้าให้เกาหม่านเยวี่ยบุตรสาวของตนแต่งงานกับพ่อหนุ่มแซ่ซ่ง
พ่อหนุ่มแซ่ซ่งคนนี้หน้าตาหล่อเหลา มีหรือจะชอบเด็กอวบอ้วนอย่างเกาหม่านเยวี่ยคนนั้น ทว่ากับเซี่ยโม่ สายตาที่มองมากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เห็นได้ชัดว่าพ่อหนุ่มแซ่ซ่งถูกใจเซี่ยโม่อย่างแน่นอน แต่ดูท่าแล้วเซี่ยโม่คงไม่ทราบ
“สือโถวของฉันนี่โชคดีจริงๆ” คุณอาเหมยฮวากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
“ปล่อยให้เด็กๆ กินไปเถอะค่ะ คุณอาไม่ต้องคิดมาก” เซี่ยโม่ยิ้มแย้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านคิดในใจ พ่อหนุ่มแซ่ซ่งคนนั้นรูปร่างหน้าตาดี มีการมีงานทำ มีทั้งเงินและความสามารถ เธอต้องหาโอกาสเตือนเซี่ยโม่สักหน่อย หากพลาดคู่ชีวิตที่ดีแบบนี้ไป อนาคตมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว
เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “โม่โม่ หลังจากนี้หากที่บ้านเธอมีปัญหาอะไรก็บอกกับอาได้เลยนะ ถ้าบ้านอาช่วยได้ก็จะช่วย”
ที่เซี่ยโม่ไปรับไปส่งสือโถวไม่ใช่แค่เพราะอยากหาเพื่อนให้น้องชาย อีกเหตุผลหนึ่งคือ้าสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบ้านของผู้ใหญ่บ้านด้วย
แล้วยิ่งภรรยาของผู้ใหญ่บ้านเป็คนดีมีเหตุผลด้วยแล้ว หากสนิทสนมกันไว้ เท่ากับว่าบ้านเธอมีหลักใหญ่ให้พึ่งพา
“คุณอา ที่บ้านหนูมีแต่คนแก่กับเด็ก ยังไงก็รบกวนผู้ใหญ่บ้านช่วยดูแลด้วยนะคะ” เซี่ยโม่พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม
“ได้สิ”
เมื่อมารดาของสือโถวเห็นเด็กทั้งสองคนไปเล่นตรงอื่น จึงเอ่ยด้วยเสียงไม่ดังนักว่า “โม่โม่ อาว่าพ่อหนุ่มแซ่ซ่งคนนั้นเขาชอบเรานะ”
เซี่ยโม่หันไปมองคุณอาเหมยฮวาอย่างตกตะลึง
เธอนิ่งอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “คุณอาคะ ไม่หรอกค่ะ พี่ซ่งเขาหน้าที่การงานดีทั้งยังมีความสามารถ ส่วนหนูเป็แค่เด็กกะโปโลคนหนึ่ง ไม่มีอะไรเทียบพี่เขาได้สักอย่าง”
“โม่โม่ ที่อาพูดแบบนี้เพราะหวังดีกับเรา เราอย่ามีความสุขอยู่กับตัวแต่ไม่เห็นค่าของมัน หากพ่อหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่น เรานั่นแหละที่จะเสียใจทีหลัง” คุณอาเหมยฮวาเตือนเด็กสาวด้วยความปรารถนาดี
เรียกได้ว่าเซี่ยโม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คนในมองไม่ออก แต่คนนอกกลับรู้ว่าอะไรเป็อะไร มารดาของสือโถวมองเพียงปราดเดียวกลับเห็นได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าเซี่ยโม่ขึ้นสีแดงเรื่อ พลางตอบกลับอย่างอึกอัก “คุณอาคะ แต่หนูรู้สึกว่าหนูยังเด็กอยู่…”
ท่าทางของเด็กสาวทำให้มารดาสือโถวคาดเดาได้ เด็กสาวตรงหน้าคงทราบอยู่แล้วว่าพ่อหนุ่มแซ่ซ่งคิดอย่างไรกับตัวเอง “โม่โม่ เราก็อายุไม่น้อยแล้วนะ เด็กสาวในหมู่บ้านที่อายุพอๆ กับเธอล้วนแต่งงานกันไปเกือบจะหมดแล้ว”
“เฉียวเฉี่ยวที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน เจวียนจื่อที่เป็เพื่อนบ้านกับเรา แล้วก็เด็กหวางที่อยู่ข้างบ้านเราอีก” คุณอาเหมยฮวาไล่เรียงให้ฟัง
“เด็กหวางไหนคะ”
“ที่ก่อนหน้านี้อยากจะขอเรียนเื่สมุนไพรกับเรายังไงล่ะ”
เซี่ยโม่ตาโตด้วยความงุนงง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “คุณอาคะ จำผิดแล้วหรือเปล่าคะ หนูจำได้ว่าเธอเพิ่งจะอายุสิบขวบเท่านั้นเอง”
“สิบขวบอะไรกัน สิบเอ็ดแล้วต่างหาก ครั้งก่อนที่ได้รับาเ็และถูกช่วยกลับมา พอหายดีแม่เธอก็จับหมั้นทันที”
ไวเหลือเกิน อายุเพียงแค่นี้ก็หมั้นแล้วหรือ?
เด็กหวางนั่นอายุน้อยกว่าเธอหลายปีด้วยซ้ำ
มารดาของสือโถวให้คำแนะนำ “พวกเธอหมั้นกันเอาไว้ก่อนก็ดี จะได้ไปมาหาสู่กันได้อย่างเปิดเผย ทีนี้คนก็เอาไปนินทาไม่ได้ คิดจะมาเล่นงานเธอเื่นี้ก็ไม่ได้เช่นกัน”
เดิมทีเธอตัดสินใจเอาไว้แล้วว่า รออีกสักหน่อยค่อยหมั้นหมายกับชายหนุ่ม แต่พอได้ยินคุณอาเหมยฮวากล่าวเช่นนี้ ลองคิดตามแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล
่ที่ผ่านมามีเื่ราวเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เธอได้รู้จักพี่ซ่งในอีกหลายมุม
“คุณอาคะ ขอบคุณมากค่ะที่เตือน” เธอเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“อาหวังดีกับเรา ผู้ชายที่ดีแบบนี้ต้องจับเอาไว้ให้มั่น อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเด็ดขาด เด็กสาวอย่างพวกเธอมักจะหน้าบาง เดี๋ยวอาจะหาเวลาไปคุยกับคุณยายเราให้” มารดาของสือโถวเสนอตัวพร้อมยิ้มแย้มอย่างยินดี
ใบหน้าเซี่ยโม่ขึ้นสีแดงเข้ม ก่อนจะหาข้ออ้างเพื่อหลบออกจากตรงนี้
“คุณอาคะ คือว่าหนูยังมีธุระ”
ขณะที่เซี่ยโม่กำลังจะเดินออกไป มารดาของสือโถวกลับเรียกเอาไว้เสียก่อน “พรุ่งนี้จะเป็วันจัดสรรอาหารกับธัญพืช เราได้เท่าไรก็รับไปนะ”
เธอไม่เข้าใจความหมายของประโยคที่คุณอาเหมยฮวาบอก จนถึงวันที่สองของการจัดสรรอาหารกับธัญพืชถึงค่อยกระจ่าง
การจัดสรรอาหารและธัญพืชให้คนในหมู่บ้านแบ่งออกเป็สองส่วน หนึ่งคือจัดสรรตามส่วนที่ทุกคนต้องได้รับ และสองคือจัดสรรโดยอิงจากแต้มการทำงาน
แต่ไม่ว่าจะเป็แบบไหนก็ต้องนำแต้มการทำงานที่มีไปแลกเป็เงินเสียก่อน หากใครไม่มีแต้มการทำงานก็ต้องใช้เงินส่วนตัวมาแลกเปลี่ยนแทน
แน่นอนว่าอาหารและธัญพืชที่ให้แลกส่วนใหญ่เป็จำพวกถั่ว ไม่ค่อยมีข้าวให้แลก
บ้านอู๋มีสมาชิกสี่คน คุณตาคุณยายอายุมากแล้ว แต้มการทำงานจึงไม่สูงมาก ส่วนเซี่ยโม่กับน้องเพิ่งย้ายมาที่หมู่บ้านนี้ตอนเดือนเจ็ดเดือนแปด จึงมีสิทธิ์ได้รับการจัดสรรอาหารและธัญพืชสำหรับครึ่งปีหลังเท่านั้น
เมื่อนำแต้มการทำงานของคุณตา คุณยาย และของตัวเองไปแลกเป็เงิน พบว่าเงินที่ได้มาเพียงพอให้แลกอาหารและธัญพืชที่ได้รับจัดสรรทั้งสองส่วนพอดี
เื่นี้หากดูเพียงผิวเผินเหมือนจะปกติ แต่เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านไม่พูดอะไร คนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยขัด มีใครไม่รู้บ้างว่าหลานสาวของบ้านอู๋เป็ลูกศิษย์ของแพทย์รักษาเท้าประจำหมู่บ้าน
หากไปล่วงเกินลูกศิษย์ เกิดวันหนึ่งตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร
อีกอย่างใช่ว่าจะโดนแย่งอาหารและธัญพืชของบ้านตัวเองไปเสียหน่อย หากพูดออกไปก็ไม่พ้นล่วงเกินคุณหมอจ้าวและสองสามีภรรยาบ้านอู๋ ที่สำคัญถือเป็การล่วงเกินผู้ใหญ่บ้านด้วย
แม้เซี่ยโม่จะไม่ขาดแคลนอาหารและธัญพืชเหล่านี้ แต่ในเมื่อเป็น้ำใจจากผู้ใหญ่บ้าน เธอก็ยินดีที่จะรับเอาไว้
คุณปู่จ้าวเป็หมอรักษาเท้าของหมู่บ้านจึงได้แต้มการทำงานทุกวัน ถึงแม้มีสวัสดิการที่ข้างบนจัดสรรลงมาให้ แต่เนื่องจากมีแต้มการทำงานอยู่จึงได้รับการจัดสรรอาหารและธัญพืชจากผู้ใหญ่บ้านเช่นกัน
หลายเดือนก่อนข้างบนจัดสรรอาหารและธัญพืชลงมา เขาได้มอบให้เซี่ยโม่ไปทั้งหมด
เวลานี้เมื่อนำแต้มการทำงานไปแลกเป็เงิน และนำเงินไปแลกเป็อาหารและธัญพืช พบว่ายังมีเงินเหลืออีกยี่สิบกว่าหยวน ซึ่งเขาได้ยกให้ลูกศิษย์อีกเช่นเคย
“โม่โม่ เงินกับธัญพืชพวกนี้ฉันยกให้เธอทั้งหมด”
เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นว่าลูกศิษย์อาจารย์มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันดีก็ยิ่งไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
เซี่ยโม่ขี่จักรยานนำอาหารและธัญพืชที่ได้รับจัดสรรกลับไปที่บ้าน
ต่อมาไม่นาน ข่าวเื่เซี่ยอวิ๋นแต่งงานก็เป็ที่รู้กันไปทั่ว
“แม่ของเซี่ยอวิ๋นขายลูกสาวตัวเองเพื่อเงินสองร้อยหยวน”
“ทำไมถึงขายแพงแบบนั้น”
“ได้ยินว่าแต่งงานไปอยู่หมู่บ้านห่างไกล ลูกเขยเป็ชายหัวล้านคนหนึ่ง”
“ถ้าต่อไปลูกเขยรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นสติไม่ดีจะทำยังไง”
“จะทำยังไงได้ ไม่พอใจก็เอามาคืนคนแม่แค่นั้น”
เซี่ยโม่ได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ชาติที่แล้วเซี่ยอวิ๋นแต่งงานให้กับผู้ชายสารเลวอย่างเซี่ยวฉางเซิง ได้ยินว่าระหว่างนั้นอีกฝ่ายมีบ้านเล็กบ้านน้อยไปทั่ว ทุกวันเอาแต่ขลุกอยู่กับเมียน้อยไม่ค่อยกลับบ้าน
ชาตินี้เซี่ยอวิ๋นเล่นงานเธอ และถูกเธอเล่นงานกลับจนกลายเป็คนสติไม่ดี แม่ดอกบัวขาวเลยขายลูกตัวเอง ถือว่ากรรมตามสนองคนพวกนั้นแล้ว
