"หนูสนใจลงทุนหุ้นตัวไหน ลองบอกลุงมาสิ" ประชายื่นกระดาษที่มีรายชื่อหุ้นและรายละเอียดคร่าว ๆ ให้อนงค์กานต์และพ่อดู อนงค์กานต์พลิกกระดาษไล่หาชื่อหุ้นที่เธอ้า
"หนูจะซื้อตัวนี้ค่ะ หุ้น jpl ของบริษัทน้ำมันปาล์มเจริญ" เธอชี้บอกทันทีเมื่อเห็นชื่อหุ้นปรากฏในสายตา ขณะที่ประชาทำหน้าแปลก ๆ ถ้าเป็ผู้ลงทุนรายอื่นเขาจะไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร และทำรายการตามที่ลูกค้าแจ้งทันที แต่สำหรับเด็กหญิงคนนี้เขาไม่สามารถอยู่เฉยได้
"หนูไม่สนใจหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ และมีปันผลรายปีเหรอ ลุงมีแนะนำหลายตัวนะ หุ้นมั่นคงมาก ราคายังไม่สูงสามารถซื้อได้"
"หนูก็สนใจค่ะ ว่าจะซื้อเก็บไว้เมื่อมีเงินเยอะกว่านี้ แต่ตอนนี้หนูอยากลองหุ้นตัวนี้ก่อน ตอนหนูไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล หนูได้ยินคุณหมอคุยกับเพื่อนเื่หุ้นตัวนี้ เขาบอกมีแววราคาจะขึ้นไว หนูเลยอยากซื้อหุ้นตัวนี้ก่อนค่ะ" อนงค์กานต์ยกข้ออ้างมาพูดอย่างคล่องปาก ขณะที่ประชารีบมองมาที่กานต์เพื่อหวังให้ช่วยพูดเปลี่ยนใจลูกสาวของเขาด้วย
"นิดชอบตัวนี้เหรอลูก" กานต์หันมาสอบถามลูกสาวให้แน่ใจ เมื่อเห็นแววตาของประชา เขาก็รู้ทันทีว่าหุ้นตัวนี้น่าจะไม่ค่อยเหมาะที่จะซื้อเก็บ ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม คนเราย่อมต้องเลือกของที่ดีที่สุดไว้ก่อนเสมอ "ไม่ลองหุ้นที่มีปันผลรายปีแบบที่คุณลุงแนะนำเหรอ" และเมื่อเห็นลูกสาวยืนยันหนักแน่น เขาก็ไม่ห้ามปรามอีก ลูกสาวของเขาเมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็ไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ หุ้นไม่ดีก็ไม่เป็ไร ถ้าจะขาดทุน ก็ถือว่าเงิน 30,000 บาทนี้เป็เงินที่ซื้อประสบการณ์ชีวิตให้ลูกสาวก็แล้วกัน
เมื่อเห็นคนเป็พ่อไม่เอ่ยปากท้วง ประชาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขายกหูโทรศัพท์ติดต่อกับบริษัทใหญ่ที่กรุงเทพฯ เพื่อขอราคาปัจจุบันของหุ้นตัวนี้
"ราคาปัจจุบันตอนนี้เพิ่มจากเดิมนิดหน่อย ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 0.03 บาทนะครับ" เมื่อได้รับแฟกซ์จากทางกรุงเทพฯ แล้ว ประชาก็ยื่นกระดาษแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ให้สองพ่อลูกดูทันที "หนูสนใจลงทุนเท่าไรดี"
"30,000 บาทค่ะ ซื้อหุ้นตัวนี้หมดเลย" เหมือนราคาหุ้นตอนนี้กำลังจะดีดขึ้นแล้ว เธอจำได้ว่าหุ้นตัวนี้วิ่งอยู่ระหว่าง 0.01-0.02 บาทมาหลายปี ไม่เคยขึ้นมากไปกว่านี้ แต่ตอนนี้วิ่งเลยมาที่ 0.03 บาทแล้ว แสดงว่าการปั่นหุ้นเริ่มขึ้นแล้ว ดีที่ตัดสินใจมาเร็ว ไม่อย่างนั้นคงได้กำไรน้อยกว่านี้แน่
อนงค์กานต์นำเงิน 30,000 บาทออกจากกระเป๋าสะพายส่งให้ประชาพร้อมกับรอยยิ้มเขิน ๆ ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะเงินที่เธอนำออกมา มีแต่ใบละสิบบาทและใบละยี่สิบบาท รัดหนังสติ๊กแยกไว้พับละหนึ่งร้อยบาท มีใบสีแดงใบละร้อยบาทอยู่ในกองแค่สองใบเท่านั้น
กานต์อมยิ้มและเล่าให้ประชาฟังอย่างอารมณ์ดีถึงที่มาของเงินเหล่านี้ ประชารู้สึกทึ่งเป็อย่างมากเมื่อรู้ว่าเงินก้อนนี้ได้มาจากการขายไก่ทอดที่ตลาดของเด็กหญิง และอดเสียดายแทนขึ้นมาไม่ได้ที่เธอใช้เงินทั้งหมดเพื่อซื้อหุ้นที่ไม่ค่อยมีอนาคตเท่าไรแบบนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเ้าตัวยืนยันแน่วแน่ เขาจึงได้แต่กรอกรายละเอียดการซื้อขายต่าง ๆ ลงในเอกสาร
"หุ้นราคา 0.03 บาท ซื้อทั้งหมด 30,000 บาท รวมหุ้นที่ซื้อคือ 1,000,000 หุ้น" หลังจากนั้นก็ให้กานต์ลงนามซื้อขายก็เป็ที่เรียบร้อยแล้ว
"เรียบร้อยนะครับ แล้วผมจะคอยตามดูความเคลื่อนไหวของหุ้นให้ ถ้ามีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ผมจะโทรไปแจ้งคุณกานต์ที่โรงเรียนทันทีเลยครับ"
อนงค์กานต์รีบยกมือขออนุญาตและถามแทรกขึ้นมา "คุณลุงคะ เราสามารถแจ้งล่วงหน้าไว้ก่อนได้ไหมคะว่าถ้าหุ้นถึงราคาเท่าไรให้ตัวแทนขายให้ทันที"
"ได้สิ นักลงทุนบางคนก็มีระบุล่วงหน้าเหมือนกันว่าถ้าถึงราคาที่้าก็ให้ขายได้ แต่ยังไงเมื่อหุ้นใกล้ถึงราคาที่้า ลุงก็ต้องโทรไปสอบถามนักลงทุนคนนั้นเพื่อยืนยันครั้งสุดท้ายอยู่ดี"
"หนู้าขายหุ้นทั้งหมดเมื่อราคาถึง 1.50 บาทค่ะ"
ประชาถึงกับสำลักน้ำลาย และแสร้งกระแอมเพื่อแก้เขิน ก่อนเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมลงในเอกสารและให้กานต์ลงนามกำกับ ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปีจากราคา 0.03 ถึงจะปีนขึ้นไป 1.50 ได้ "นี่ถ้าขึ้นถึง 1.50 เมื่อไหร่ หนูก็ได้กำไรมาถึง 1,500,000 บาท เลยนะ"
อนงค์กานต์ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข แน่นอน! อีกไม่เกินสองเดือนครอบครัวเธอจะได้จับเงินล้านแล้ว ที่จริงราคาหุ้นตัวนี้จะวิ่งไปถึง 2 บาท แต่เธอกลัวขายไม่ทัน การซื้อขายยุคนี้ไม่ได้ออนไลน์เหมือนยุคก่อนที่เธอจากมา ตอนนี้ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต จะซื้อขายแต่ละครั้งต้องใช้วิธีโทรศัพท์และส่งแฟกซ์ให้ตัวแทนที่กรุงเทพฯ ซื้อขายให้ บางทีใช้เวลากว่าครึ่งวันเลยทีเดียว
"หนูก็หวังว่าจะเร็วๆ นี้ค่ะ คุณลุงสนใจซื้อตามหนููได้เลยนะคะ" อนงค์กานต์เปิดทางเต็มที่
ประชา "..."
ใครจะกล้าล่ะ
