ทว่าทางโม่เสวี่ยถงไม่รู้เื่ราวของสกุลอวี้เลย
วันรุ่งขึ้นนางมิได้รอโม่ฮว่าเหวิน แต่กลับรอลั่วิจู พอได้ยินว่าโม่เสวี่ยถงแสดงทีท่าว่าอยากไปเดินซื้อของ ลั่วิจูรู้จักมักคุ้นและชำนาญทางในเมืองหลวงมากกว่า ร้านค้าแพรพรรณใหญ่ๆ สองสามแห่งเป็สถานที่ที่นางคุ้นเคยดีที่สุด ดังนั้นจึงขันอาสาไปเป็เพื่อน
เดิมทีโม่เสวี่ยถงก็ไม่คิดว่าจะไปจริงๆ นางไม่ใช่คนที่อยากจะไปไหนแล้วต้องไปให้ได้ แต่เมื่อนัดหมายกันแล้ว และอีกไม่กี่วันตนเองก็ต้องกลับจวน เมื่อคิดถึงความใส่ใจดูแลของสวี่เหล่าไท่จวิน ก็นึกอยากปักแถบคาดหน้าผากเพื่อช่วยให้ความอบอุ่นแก่ท่านยายของตนเอง แต่ในมือยังขาดแพรพรรณที่เหมาะสม คิดแล้วจึงตัดสินใจออกไปพร้อมกับลั่วิจู
รถม้าเคลื่อนไปบนถนนใหญ่ ลั่วิจูดูเริงร่ากว่าโม่เสวี่ยถงเสียอีก แอบเลิกม่านหน้าต่างมุมหนึ่งขึ้น ชี้ชวนโม่เสวี่ยถงดูสิ่งต่างๆ บนท้องถนนด้วยความตื่นเต้นออกนอกหน้า หันมามาที่ตามลั่วิจูมาด้วยเป็คนใจดี บอกนางแค่สองสามประโยคก็ตามออกมาด้วย โม่เสวี่ยถงพิงข้างหน้าต่างรถ เลิกม่านอีกด้านขึ้นบ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับถูกหลี่มามาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านตีหน้าเข้มจ้องมองมือของนาง ชั่วขณะนั้นจึงไม่กล้าเอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้นอีก ชำเลืองมองลั่วิจูที่ดูหน้าระรื่นอยู่อีกด้าน แอบโอดครวญในใจ นางก็อยากเห็นเหมือนกันนี่นา!
ดีที่ลั่วิจูแง้มม่านหน้าต่างไว้ค่อนข้างกว้าง ตำแหน่งที่โม่เสวี่ยถงนั่งอยู่หากนั่งยืดตัวตรง ก็สามารถมองเห็นร้านค้าแผงลอยและผู้คนที่อยู่ข้างทางได้เช่นกัน ช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก นางยืดกายตรงเผง โม่เหอไปหยิบหมอนอิงมาวางหนุนหลังให้ แล้วเม้มปากแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย
โม่เสวี่ยถงมองตาขวางไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่นำพาว่าสาวใช้จะกำลังแอบหัวเราะตนเองหรือไม่ สนใจแต่ยืดคอมองถนนหนทางด้านนอกโดยอาศัยแสงสว่างจากทางลั่วิจู ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ นางแทบไม่มีโอกาสได้ออกมาเที่ยวชมตลาด จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไปหมด เสียแต่มีหลี่มามาผู้เคร่งครัดนั่งขนาบอยู่ด้านข้างนี่แหละ...
รถม้าเคลื่อนไปช้าๆ จนมาถึงร้านค้าแพรพรรณใหญ่โตแห่งหนึ่งขนาดห้าคูหา ประตูใหญ่ทั้งห้าบานเปิดกว้างต้อนรับแขก หน้าร้านอยู่ติดถนนใหญ่ที่คึกคักและเจริญรุ่งเรือง ภายในแบ่งออกเป็สองชั้น ชั้นบนและชั้นล่าง มองจากด้านนอกเข้าไปให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ธรรมดาสามัญ
นี่เป็ร้านค้าแพรพรรณที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ด้านหน้าเป็ผ้าต่วนและแพรพรรณต่างๆ ด้านหลังเป็อาภรณ์ที่ตัดเย็บสำเร็จของบุรุษและสตรี ้าเป็สถานที่สำหรับวัดตัวตัดชุด เรียกได้ว่ามีบริการครบวงจร ทั้งขายแพรพรรณ ตัดชุดและจำหน่ายอาภรณ์สำเร็จรูป ร้านค้าแห่งนี้มีอิทธิพลที่ไม่อาจมองข้าม ย่อมมีอำนาจสนับสนุนอยู่เื้ัที่ไม่ธรรมดา
เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าร้าน โม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูต่างก็สวมหมวกม่านเหวยเม่า ก่อนลงจากรถม้า ลั่วิจูเคลื่อนตัวฉับไวยื่นมือไปเกาะแขนของสาวใช้ประจำตัวลงจากรถม้าไปก่อนนานแล้ว ทำเอาหันมามานึกโมโหจนเม้มริมฝีปากปากแน่น ทว่ายังสงวนวาจาไม่กล่าวตำหนิ ลั่วิจูหันมายิ้มลอยหน้าลอยตาอย่างไม่ใส่ใจ
โม่เสวี่ยถงจับมือโม่เหอลงจากรถ เดินตามหลังลั่วิจูเข้าไปในร้านค้าแพรพรรณ ภายในช่างกว้างใหญ่นัก แพรต่วนหลากสีละลานตา มีั้แ่ผ้าฝ้ายธรรมดาที่ราคาย่อมเยาที่สุดไปจนถึงผ้าไหมหายาก ทุกอย่างถูกจัดวางเรียงลำดับจากด้านซ้ายไปขวา ทำให้ผู้ซื้อง่ายต่อการเลือกหา
ด้านหน้าของห้องโถงใหญ่มีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงไว้แถวหนึ่ง เป็ที่พักผ่อนของเหล่าคุณชายและนายท่านที่มาพร้อมกับฮูหยิน หรือคุณหนูบ้านตน มีบ่าวคอยยกน้ำชาให้ ชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ริมหน้าต่างพอดี หากรู้สึกเบื่อสามารถชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้ มีฉากกั้นตั้งระหว่างโต๊ะและเก้าอี้ที่เรียงกันแต่ละชุด
เพียงเท่านี้นายท่านและคุณชายเ่าั้ก็รอได้ไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งยังได้ดูแลคุณหนูที่ออกมาเลือกซื้อแพรพรรณอีกด้วย
ด้านหลังของห้องโถงครึ่งหนึ่งมีอาภรณ์แขวนเรียงเป็แถวๆ สีสันงดงามละลานตา มองจากที่ไกลๆ ดูคล้ายทิวเมฆหลากสีบนท้องนภา มีคนจำนวนหนึ่งเลือกของอยู่ที่นั่น เห็นได้จากเงาที่เคลื่อนผ่านอาภรณ์หลากสีเ่าั้อยู่เป็ระยะ
โม่เสวี่ยถงเพิ่งเข้ามาในห้องโถงก็ถูกลั่วิจูลากไปเดินฝั่งขวา ที่นั่นมีแพรต่วนกองสูงพะเนิน ไม่ว่าจะสีสันฉูดฉาดหรือปักลายหรูหรา ก็ล้วนแล้วแต่งดงามกว่าของที่มาจากที่อื่น
“น้องหญิงถงมาดูเร็ว ผ้าต่วนผืนนี้เป็อย่างไร ลวดลายแบบนี้หากข้าเอามาตัดชุดจะสวยหรือเปล่า เ้าสวมใส่ก็ไม่เลวนะ พวกเราสองคนเลือกผ้าชิ้นเดียวกันดีหรือไม่ ต่อไปเวลาออกไปข้างนอกก็สวมอาภรณ์สีเดียวกัน คนอื่นต้องนึกว่าเราเป็พี่น้องกันแน่ๆ” ลั่วิจูอารมณ์ดียิ่งชี้ไปที่ผ้าสีฟ้าครามขณะพูดจ้อไม่หยุด
ผ้าผืนนั้นสวยไม่เลว ไม่ด้อยไปกว่าแพรต่วนที่น้าสวี่เยียนให้ตนเองมาเมื่อวานจริงๆ ดูเหมือนว่าผ้าต่วนแบบนี้มีวิธีการย้อมสีที่ไม่ธรรมดา ไล่สีอ่อนสลับเป็ชั้น ไม่มีลวดลายบุปผาแต่กลับดูสว่างสดใสเป็ธรรมชาติ สีครามราวกับหมอกควันจางๆ สะกดสายตาของโม่เสวี่ยถงจนแทบหยุดหายใจ
“ผ้าผืนนี้ไม่เลว ข้าเอา!” มีมือยื่นมาจากด้านข้างฉวยแพรต่วนผืนนั้นไปจากมือของลั่วิจู จากนั้นก็แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “ไม่คิดจะซื้อแล้วยังขวางทางผู้อื่นอยู่ได้ ถอยไปข้างๆ เลยไป”
กล่าวจบหลิงิเยี่ยนก็พาสาวใช้สองคนเบียดเข้ามาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ผลักโม่เสวี่ยถงและลั่วิจูแยกออกไปคนละด้านอย่างแรง
“หลิงิเยี่ยน เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ลั่วิจูรู้สึกฉุนขึ้นมาทันที ชี้หน้าถามหลิงิเยี่ยนที่ไม่ได้สวมหมวกเหวยเม่าพรางใบหน้า
“หมายความอะไรน่ะเหรอ ก็ไม่มีความหมายอะไรนะ ก็แค่อยากจะซื้อผ้ากลับบ้านไปตัดชุดเท่านั้นเอง เ้าไม่ซื้อก็อย่ามาขวางทางคนเขาจะค้าขายกันสิ” หลิงิเยี่ยนเชิดหน้าชูคอไปทางลั่วิจูพลางกล่าวเยาะหยัน
เื่ครั้งที่แล้วทำให้นางต้องเสียหน้าไปนาน อยู่ในวังถูกฮองเฮาตำหนิยังไม่พอ กลับถึงบ้านก็ยังถูกท่านพ่อดุด่าอีกยกใหญ่ ที่สำคัญที่สุดก็คือโหยวเยวี่ยเฉิงยิ่งไม่แยแสนางแม้แต่น้อย พี่น้องในจวนต่างก็ยิ้มเยาะเสียดสี นางจึงนึกแค้นเคืองโม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูยิ่ง
โดยเฉพาะโม่เสวี่ยถง นางถือสิทธิอันใดสั่งให้รถชนคนเหมือนกัน ตนเองถูกผู้คนประนามแทบตาย แต่นางกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ผู้อื่นกล่าวถึงนาง นอกจากจะชื่นชมว่าเป็สตรีที่อ่อนโยนใจกว้าง ยังรู้จักเป็ห่วงดูแลพี่น้อง ไม่มีวาจาด้านลบแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นจึงทำให้หลิงิเยี่ยนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับนางอย่างยิ่ง
วันนี้พอเข้าประตูมา เห็นสาวใช้ประจำตัวของลั่วิจูก็รู้ได้ว่าผู้ที่สวมหมวกเหวยเม่าย่อมเป็ลั่วิจูกับโม่เสวี่ยถงแน่นอน ไหนเลยจะไม่เข้ามาหาเื่ระบายโทสะ จึงมาแย่งชิงแพรพรรณที่อีกฝ่ายต้องตาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย นางอารมณ์ไม่ดี ใครที่ทำให้ตนเองเป็เช่นนี้ก็อย่าหมายจะได้อยู่เป็สุข
พอลั่วิจูได้ยินหลิงิเยี่ยนเอ่ยวาจาเช่นนี้ก็โมโห ผลักสาวใช้คนหนึ่งของหลิงิเยี่ยนที่ขวางตนเองกับอีกฝ่ายไว้ออกไปด้านข้าง สีหน้าพลันเย็นเยียบ “หลิงิเยี่ยน เ้าเสียใจจนสติวิปลาสไปแล้วหรือไร ก็แค่อาภรณ์ชุดเดียว ถึงกับไม่เห็นแก่สถานะคุณหนูตระกูลสูงลงมาแย่งของของชาวบ้าน ถือว่าบ้านตนเองคือจวนติ้งกั๋วกงล่ะสิ คุณหนูใหญ่แห่งจวนติ้งกั๋วกงผู้สง่าผ่าเผย แต่กลับมีพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ดูต่ำต้อยด้อยค่าไปหน่อยหรือ”
“ลั่วิจู จวนฝู่กั๋วกงของเ้าก็ไม่เห็นจะสูงส่งตรงไหน ก็แค่ผ้าพับเดียวไม่ใช่หรือไร ถึงกับโมโหโทโสข้ามากมายเพียงนี้ ช่างเถอะ! คุณหนูเช่นข้าใจกว้างพอ ยกให้เ้าก็ได้ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ” หลิงิเยี่ยนก็ไม่ยอมอ่อนข้อ หมุนตัวมาเชิดหน้าขึ้น ถลึงตาใส่ลั่วิจู
นางใจกว้างยอมยกของให้งั้นหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตนเองเป็คนพบผ้าผืนนี้ก่อน ลั่วิจูโมโหจนเกือบจะยกเท้าถีบอีกฝ่าย นางกับหลิงิเยี่ยนเป็ไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เห็นหน้ากันทีไรก็รู้สึกขวางหูขวางตา แต่พอถึงเวลาก็ต้องรักษาเกียรติของตนเองไว้ก่อน บัดนี้เมื่อคิดจะฉีกหน้ากันจริงๆ ก็เอ่ยชื่อลั่นวาจาด่าทอกันอย่างไม่เกรงใจ
โม่เสวี่ยถงดึงลั่วิจูออกมาอย่างนุ่มนวลแล้วชี้ไปอีกด้านหนึ่ง “พี่หญิงรอง พวกเราไปทางโน้นกันเถอะ อาภรณ์สำเร็จทางโน้นก็ไม่เลว ผ้าแพรผืนนั้นท่านยายคงไม่ชอบเท่าไร ยกให้คุณหนูหลิงไปเถิด ไปดูอาภรณ์ตัวนั้นกันดีกว่า”
โม่เสวี่ยถงชี้ไปที่อาภรณ์สีฟ้าคราม ซึ่งมีสีสันไม่ต่างไปจากผ้าผืนที่อยู่ในมือของหลิงิเยี่ยนเท่าใดนัก ที่คอเสื้อและแขนเสื้อยังปักอักษร ‘โซ่ว’[1] ตัวเล็กๆ เมื่อมองไปให้ความรู้สึกภูมิฐานสง่างาม เหมาะสมกับสตรีสูงวัยที่เคร่งขรึมจริงจังโดยแท้
“ชุดนั้นก็ไม่เลวนะ ดูเหมาะเจาะลงตัว ท่านย่าสวมแล้วต้องชอบแน่ๆ เช่นนั้นผ้าพับนี้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว สีเหมือนๆ กัน ซื้อตัวนั้นให้ท่านย่าก็ได้” ลั่วิจูกลอกตารอบหนึ่ง เข้าใจความหมายของโม่เสวี่ยถงในฉับพลัน ไม่คิดแยแสหลิงิเยี่ยนอีก จากนั้นก็จูงโม่เสวี่ยถงหมุนตัวเดินจากไป
ภายในร้านมีคนไปๆ มาๆ มากมาย ทะเลาะกับหลิงิเยี่ยนที่นี่ ไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงจวนฝู่กั๋วกง ลั่วิจูแตกต่างจากหลิงิเยี่ยน หลิงิเยี่ยนยโสโอหังจนเคยชิน ยามนี้จึงส่งเสียงดังทะเลาะกับนางโดยไม่ดูสถานที่ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ อีกประเดี๋ยวหลังจากกลับจวนคงไม่แคล้วถูกท่านย่าตำหนิแน่นอน ไม่สู้ถือโอกาสซื้ออาภรณ์ให้ท่านย่า แล้วได้เสียดสีหลิงิเยี่ยนว่าอายุมากแล้ว เลย้าสวมอาภรณ์ของคนแก่ แบบนี้สะใจกว่าเยอะ
“ลั่วิจู เ้า...” หลิงิเยี่ยนฟังความหมายที่ทั้งสองคุยกันออก จึงโยนผ้าในมือทิ้งแล้วพุ่งเข้ามาหาทันที มามาสองคนที่ยืนอยู่หลังนางมองปราดหนึ่ง แล้ววิ่งเข้ามารั้งแขนนางไว้คนละข้าง
“คุณหนูใหญ่ มีคนมากมายกำลังมองอยู่นะเ้าคะ” มามาผู้หนึ่งกระซิบเสียงต่ำ
“แล้วอย่างไร” หลิงิเยี่ยนย้อนกลับด้วยความโมโห ดวงตาจับจ้องโม่เสวี่ยถงและลั่วิจูที่เดินผ่านหน้านางไปเขม็ง
“เหล่าไท่จวินจะโกรธเอานะเ้าคะ ใช่ว่าคุณหนูจะไม่ทราบความคิดของท่าน” มามาอีกคนขู่เสียงต่ำ พวกนางสองคนเป็คนของเหล่าไท่จวินที่ส่งมาควบคุมพฤติกรรมของหลิงิเยี่ยนขณะออกมาเที่ยวข้างนอก ยามนี้เมื่อเห็นว่าหลิงิเยี่ยนไม่เห็นแก่หน้าตาของจวนติ้งกั๋วกง พวกนางจึงตัดสินใจเข้าไปห้ามศึก โดยดึงเหล่าไท่จวินมาเป็ข้ออ้าง
เมื่อคิดถึงท่าทางดุดันของท่านย่า ก็นึกได้ว่าเื่การแต่งงานของตนยังต้องอยู่ในการพิจารณาตัดสินใจของท่านย่าด้วย ครั้งที่แล้วบิดากล่าวไว้ว่า หากท่านย่าไม่พอใจก็จะจับนางขังไว้ในห้องบูชาบรรพชน ยามนั้นนางตกตะลึง ไม่กล้าขัดขืน ครั้งนี้หากก่อเื่อีก ท่านพ่อคงไม่ละเว้นนางแน่
“ข้าไม่ยอม ครั้งที่แล้วนังสารเลวสองคนนี้ทำให้ข้าถูกอาหญิงกับท่านพ่อดุด่า” แม้ว่าหลิงิเยี่ยนจะยอมหยุดไม่ขัดขืน แต่ก็ยังจ้องโม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูที่เดินข้ามหัวตนเองไปอย่างไม่แยแสด้วยความโกรธเคือง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนกรามแทบป่น
“คุณหนูใหญ่อยากแก้แค้นไม่เห็นจะยาก ไม่จำเป็ต้องลงมือด้วยตนเองให้เสื่อมเสียมาถึงจวนติ้งกั๋วกงสักนิด เหล่าไท่จวินไม่ชมชอบการกระทำเช่นนี้เป็ที่สุด คุณหนูใหญ่โปรดตระหนักให้จงดี ไม่ว่าจะไปที่ใด ติ้งกั๋วกงก็เป็ตระกูลฝั่งมารดาของฮองเฮา จำเป็ต้องรักษาเกียรติยศของพระนางด้วย”
มามาผู้เอ่ยวาจานี้เป็ผู้ติดตามข้างพระวรกายฮองเฮา เหล่าไท่จวินไปขอตัวมาเป็กรณีพิเศษ เพื่อมาเป็ผู้อบรมสั่งสอนให้กับหลิงิเยี่ยน
หลิงิเยี่ยนมีพฤติกรรมก้าวร้าว แม้ว่าชื่อเสียงของจวนติ้งกั๋วกงจะไม่ตกต่ำลงไป แต่หากปล่อยให้นางทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ต่อไปจะต้องนำความเสื่อมเสียมาสู่จวนติ้งกั๋วกงเป็แน่ และทำให้ฮองเฮาเสื่อมเสียพระเกียรติไปด้วย อีกทั้งยังมีผลกระทบไปถึงเื่การแต่งงานของธิดาในจวนติ้งกั๋วกงทุกคน เหล่าไท่จวินโมโหแต่จนหนทาง จึงหามามาด้วยตนเองคนหนึ่งและขอจากฮองเฮาคนหนึ่ง มาอยู่ข้างกายหลิงิเยี่ยน เพื่อมาช่วยหยุดพฤติกรรมโอหังอวดดีของนาง
“แก้แค้นอย่างไร ข้าต้องทำเช่นไร” เมื่อได้ยินมามาผู้ฝึกอบรมให้ตนเองกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของหลิงิเยี่ยนก็ทอประกายสดใส รีบคว้ามือของมามาผู้มาจากวังหลวงไว้แน่น เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“คุณหนู้าให้พวกนางเป็อย่างไรเล่า” แววตาเย็นะเืกวาดมองไปที่โม่เสวี่ยถงกับลั่วิจูที่จูงมือกันเลือกอาภรณ์อยู่อีกด้าน “ฮองเฮาทรงใส่พระทัยคุณหนู แต่คงไม่อนุญาตให้ถึงขั้นเอาชีวิตของคุณหนูในหอห้องเหล่านี้หรอกเ้าค่ะ”
…………………………………………………………………………………………………....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] โซ่ว หมายถึง อายุยืน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้