พยนต์มรณะ!
ฉินอวี่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับพยนต์มรณะในตำนานที่นี่
มิน่าล่ะผู้นำเผ่าหยาจื้อจึงกำชับอันดับสองไม่ให้เขามายังแดนมรณะ หากรู้ว่าที่นี่มีพยนต์มรณะอยู่ด้วย ฉินอวี่เองคงไม่้าเืของหยาจื้ออีกทั้งคงไม่คิดจะเหยียบเข้ามาในแดนแห่งนี้แม้ครึ่งก้าว การบุกเข้ามาถึงเขตแดนของพยนต์มรณะเพียงเพื่อตามหาเืของหยาจื้อ เป็เื่รนหาที่ตายให้ตนเองยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ตลอดหลายปีมานี้จึงมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เืของหยาจื้อไปจากแดนมรณะแห่งนี้!
ั้แ่ยุคเริ่มต้นอันวุ่นวาย ่เวลาสามารถแบ่งออกเป็ห้า่ใหญ่ ได้แก่ หงเิ หงหวง ไท่ชู ไท่กู่ และหยวนกู่ ห้ายุคสมัยใหญ่ทั้งห้านี้ ยังแบ่งย่อยลงไปอีกดังนี้ ยุคหงหวงแบ่งออกเป็ฮุ่นหยวนและหงหยวน ส่วนยุคหยวนกู่แบ่งออกเป็สามยุคคือ ต้น กลาง ปลาย
และพยนต์มรณะนี้ หากจะสืบเชื้อสายย้อนขึ้นไป สามารถย้อนไปได้ถึงยุคสมัยหงหวง ในตอนนั้น การฝึกฝนมีวิวัฒนาการถึงจุดสมบูรณ์แล้ว แต่ละตระกูลต่างมีวิธีการฝึกฝนแตกต่างกันออกไป
เป็เพราะใน่ปลายของยุคหงหวง ตอนนั้น มีสมบัติของยุคหงหวงหลงเหลืออยู่บนโลก ทหารของหงหวงได้รวบรวมกำลังพลและอาวุธไว้ทันที ผู้แข็งแกร่งรวมตัวกันราวกับมวลเมฆ และในยุคมืดอันเกิดาที่วุ่นวายนั้น ได้มีชีพจรพยนต์มรณะกำเนิดขึ้น สร้างคนตายให้กลายเป็ทาสรับใช้ ในความโดดเด่นของเหล่าการฝึกฝนจำนวนมากมายนั้น สามารถพบเห็นถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลัง แม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด แต่สายชีพจรนี้คงอยู่ได้ในระยะเวลาไม่นานนัก ท้ายที่สุดก็หายไปตามกาลเวลา ทว่าความแข็งแกร่งชีพจรพยนต์มรณะกลับไม่สามารถทำลายลงได้
ฉินอวี่เคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับพยนต์มรณะมาก่อนแล้วในตำราโบราณซึ่งเก่าแก่ที่สุดของสำนักเทียนฉี และมีบันทึกไว้เพียงประโยคสั้นๆ ว่า “แต่โบราณมามีหนึ่งสายโลหิต หวังควบคุมการเกิดตาย ทำการขัดต่อ์ ใช้พลังมรณะหลอมจิตมรณะ กล่าวคำคลุ้มคลั่ง ทุกสรรพสิ่งที่มีเกิดตาย ล้วนกลายเป็ทาสเรียกพยนต์มรณะ!
ฉินอวี่เคยคิดอยากรู้เกี่ยวกับพยนต์มรณะมานานแล้ว เขาเคยค้นหาบันทึกเกี่ยวกับมัน แต่กลับไม่พบอะไรเลย ท้ายที่สุด ฉินอวี่ก็ได้ข้อสรุปมาจากหลายวิธีการว่า พยนต์มรณะไร้กฎเกณฑ์ในการเป็ทาส หรืออาจพูดได้ว่า ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะอยู่ในระดับฝึกตนขั้นใด เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว ล้วนแต่สามารถแปรไปเป็พยนต์มรณะได้ทั้งสิ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า แม้จะอยู่ในระดับเขตแดนเต๋า หรือจะเป็ผู้แข็งแกร่งขั้นเซียนในตำนาน ล้วนแต่สามารถกลายเป็พยนต์มรณะได้ทั้งนั้น!
ในแดนมรณะแห่งนี้มีพยนต์มรณะ ซึ่งหมายความว่าที่แห่งนี้มีชีพจรของพยนต์มรณะ ในหลายปีนี้มีคนมากมายที่เสียชีวิตอยู่ที่นี่ แค่จำนวนคนตายเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการพวกฉินอวี่ได้หลายร้อยครั้ง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้อันดับหนึ่งและคนอื่นๆ ต่างใเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงะโของฉินอวี่ ทั้งหมดต่างเร่งตามฉินอวี่ไปทางแดนหินหนืดที่ร้อนระอุในทันที
สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างใเป็อย่างยิ่งคือ ขณะที่ทุกคนกำลังหันกลับไป หินหนืดอันร้อนระอุที่อยู่ห่างไปทางด้านหลังกว่าพันจ้างก็ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ในตำแหน่งเดิมของมวลหินหนืดอันร้อนระอุนั้นได้ปรากฏเป็เงาร่างของพยนต์มรณะ หนึ่งร่าง สองร่าง สามร่าง... และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินอวี่ก่นด่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของอันดับหนึ่งในทันที การเดินทางเข้ามาที่นี่เพื่อเืหยาจื้อคือการพาตัวเองมาตายชัดๆ
“ทุกคนแยกย้ายกัน หนี!” ฉินอวี่ะโสุดเสียง พูดจบ ทั่วทั้งร่างของเขาก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า อสุนีลึกลับในร่างกายพุ่งทะยานออกไปจนเกิดเป็เส้นทางโลหิตสายหนึ่ง
แต่สิ่งที่ฉินอวี่นึกไม่ถึงคือ ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งจะตั้งใจติดตามฉินอวี่มา และด้านหลังของฉินอวี่ในตอนนี้ก็มีทั้งอันดับหนึ่งและเหล่าคนที่คอยติดตามอันดับหนึ่งอยู่แต่เดิม เมื่อเห็นว่าอันดับหนึ่งตามฉินอวี่ไป พวกเขาทั้งหมดต่างตามหลังอันดับหนึ่งมาเป็แถว
ฉินอวี่ก่นด่าขึ้นในใจ พลางพูดอย่างไม่พอใจ “ยังจะมาตามกันอยู่ทำไม? อยากถูกจับไปต้มรวมกันหรือ? หากไม่แยกกัน พวกเราได้ตายกันหมดแน่!”
เพียงคำพูดเดียวเหมือนเตือนให้ทุกคนได้สติ
เมื่อมองไปยังพยนต์มรณะที่รายล้อมเข้ามาอย่างหนาแน่น ยอดฝีมือหนุ่มสาวของหยาจื้อสิบสามฝ่ายต่างรู้สึกลังเล แต่พวกเขาก็กังวลว่าน้ำน้อยจะแพ้ไฟ ในขณะที่พวกเขาลังเลอยู่นั้น อันดับหนึ่งก็พูดขึ้นทันที “แบ่งเป็กลุ่มละสองคน แยกออกเป็ห้าเส้นทาง เร็วเข้า!”
เมื่ออันดับหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ คนของหยาจื้อสิบสามฝ่ายก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พลันรีบกระจายกันออกไปแต่ละเส้นทางอย่างรวดเร็ว
หยางเทียนและหยางเต้าเข้าใจได้โดยปริยาย มีแสงสีดำสนิทส่องสว่างจากร่างกายของหยางเต้า และมีลำแสงกระบี่สีครามของหยางเทียนพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า จากนั้นทั้งสองคนก็พุ่งออกไปทางด้านหนึ่งทันที
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่อดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจคือ อันดับหนึ่งสั่งให้ทุกคนแยกจากกัน แต่ตัวเขากลับมาติดตามตนเอง
เมื่อรู้สึกถึงพยนต์มรณะมากกว่าร้อยตนที่กำลังล้อมเข้ามา ฉินอวี่จึงไม่สนใจอะไรอีก และพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยังไม่ลงมืออีก จะรอถึงเมื่อไรกัน?”
แม้ว่าอันดับหนึ่งจะไม่พอใจต่อน้ำเสียงของฉินอวี่ แต่เขาก็ทำได้เพียงกลั้นใจเอาไว้ พลางส่งเสียงคำรามไปเบาๆ ร่างกายที่โซเซอยู่แต่เดิมได้เกิดเป็ประกายแสงขนาดใหญ่ ก่อนแปลงเป็อสูรร้ายขนาดสูงหนึ่งจ้างตัวหนึ่ง
เขากลายเป็ดั่งเสือดาวที่ดุร้าย มีเขาเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนศีรษะ ในปากของเขามีดาบสีทองขนาดเล็กเล่มหนึ่ง เมื่อฉินอวี่เห็นดังนี้ เขาจึงใขึ้นมาทันที ตัวตนแท้จริงของอันดับหนึ่งมีความคล้ายคลึงกับหยาจื้อเป็พิเศษ นอกจากส่วนศีรษะที่ยังไม่มีลักษณะศีรษะของัแล้ว ส่วนอื่นๆ เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันทั้งสิ้น
มิน่าล่ะ อันดับหนึ่งจึง้าจะเข้ามายังแดนมรณะเพื่อเก็บเืของหยาจื้อ หากเขาได้มันไป คาดว่าจะสามารถกลายเป็หยาจื้อได้โดยสมบูรณ์ ถึงเวลานั้น พละกำลังของเขาจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน
เป็เวลานานมาแล้วที่อันดับหนึ่งไม่เคยแสดงพละกำลังที่แท้จริงออกมา หลังจากกลับกลายเป็ร่างอสูร พลังปราณของเขาทำให้ฉินอวี่เริ่มรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ฉินอวี่มองไปทางพยนต์มรณะที่อยู่ห่างออกไปหลายจ้าง พลางะโขึ้นไปกลางอากาศโดยไม่ลังเล ก่อนจะะโลงมาบนศีรษะของอันดับหนึ่ง และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ! “ไปกันเถอะ!”
ดวงตาของอันดับหนึ่งเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ในฐานะของอันดับหนึ่งแห่งคนหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อ มีชีพจรหยาจื้ออันบริสุทธิ์ อันดับหนึ่งจึงมีความหยิ่งผยองเป็อย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงการะโมานั่งบนศีรษะของเขาเลย น้อยคนนักที่กล้าแตะต้องศีรษะของเขา แต่คนนอกผู้นี้กล้าดีอย่างไรจึงขึ้นมานั่งบนศีรษะของเขาเช่นนี้?
ในตอนนี้ จิตใจของอันดับหนึ่งเต็มไปด้วยความโกรธเคือง พลางสะบัดศีรษะอันใหญ่โตของเขาอย่างรุนแรง และพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “ไสหัวลงไปเดี๋ยวนี้!”
“ขอแค่ข้ามีชีวิตรอด เ้าก็มีหวังจะได้เืของหยาจื้อ!” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย
ในใจของอันดับหนึ่งที่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อได้ยินเื่เืของหยาจื้อก็เหมือนได้สติกลับมา เขาระงับความโกรธเอาไว้ในใจ พลางแปลงกายตนเองด้วยพลังแสงสีทองดั่งดวงอาทิตย์สาดส่องพุ่งตรงเข้าใส่พยนต์มรณะเ่าั้ทันที เกิดเป็ถนนแห่งโลหิตที่ทอดยาว แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับดุร้ายขึ้นอย่างยิ่ง และเอาแต่คิดเื่การฉีกฉินอวี่ให้เป็ชิ้นๆ หากออกไปจากแดนขัดเกลาได้
ฉินอวี่ขี่อยู่บนศีรษะของอันดับหนึ่ง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย้ยหยัน
เ้าชอบการวางแผนมากนักมิใช่หรือ?
เ้าคิดจะหลอกใช้ข้าเพื่อให้ได้เืของหยาจื้อมาใช่หรือไม่?
เ้าอยากตามข้ามามิใช่หรือ?
เ้าคิดทำร้ายข้า ข้าไม่ถือสา
เ้าหลอกใช้ข้า ข้าก็ไม่ใส่ใจ
เ้าตามข้ามา ข้าก็ไม่อาจขวางได้
แต่ข้าจะขี่เ้าบ้างไม่ได้หรือ?
“หลายปีมานี้ คิดว่าข้าน่าจะคนเป็คนแรกที่ขึ้นมาขี่คอหยาจื้อได้เช่นนี้? น่าเสียดาย นี่ยังไม่ใช่หยาจื้อที่แท้จริง...” ฉินอวี่รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง อันดับหนึ่งผู้นี้เป็ถึงอันดับหนึ่งของเหล่าคนหนุ่มสาวเผ่าหยาจื้อมิใช่หรือ? แล้วจะทำไม? ข้าก็ยังขี่ได้ไม่ใช่หรือ?
ฉินอวี่ไม่เป็กังวลใจเลยว่าอันดับหนึ่งจะแก้แค้นอย่างไรกับเื่นี้ ขอแค่เขาได้เืหยาจื้อ เขาก็จำเป็ต้องได้เืหยาจื้อเพื่อชีวิตรอด แต่หากไม่ได้มันมา ก็ไม่ต้องคิดเื่จะเข้าไปในเหวลึกอีก
ดังนั้น ฉินอวี่จึงไม่มีความเกรงกลัว
และดูเหมือนจะเป็เพราะความโกรธ อันดับหนึ่งเกือบจะอาละวาดออกมา แม้ว่าจะมีพยนต์มรณะเป็จำนวนมาก แต่พยนต์มรณะล้วนแต่เป็คนของเผ่าหยาจื้อในอดีตที่เข้ามายังที่แห่งนี้ ในตอนเข้ามาครั้งยังมีชีวิตพวกเขาต่างอ่อนแอกว่าอันดับหนึ่ง แต่เมื่อถูกแปรเปลี่ยนเป็พยนต์มรณะแล้ว พละกำลังจะลดลงไปอย่างมาก เมื่อถูกอันดับหนึ่งกระแทกใส่ พยนต์มรณะเหล่านี้ต่างกระเด็นไปเหมือนกระสอบทรายที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง
ฉินอวี่ที่กำลังนั่งอยู่เหนือศีรษะของอันดับหนึ่ง มองไปยังอันดับหนึ่งที่วิ่งตรงไปอย่างรุนแรง ในใจก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง หากวันใดที่อันดับหนึ่งกลายเป็หยาจื้อที่แท้จริง เช่นนั้นคงจะน่าสนใจมาก และตนเองก็จะกลายเป็คนแรกที่เคยขี่อยู่บนศีรษะของผู้นำส่วนหยาจื้อในระยะเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากพูดจาที่ดูน่าขุ่นเคืองออกไป ฉินอวี่ก็ระงับความคิดทุกอย่างเอาไว้ และกวาดสายตามองพยนต์มรณะที่อยู่รอบกาย พลางขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าพยนต์มรณะจะมีจำนวนมาก และมีพละกำลังที่ไม่ค่อยดีนัก แต่หลายปีมานี้ก็มีเหล่าอัจฉริยะของหยาจื้อสิบสามฝ่ายจำนวนมากที่เข้ามายังหอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ดแห่งนี้ ทั้งยังมีอีกหลายคนที่แข็งแกร่งกว่าอันดับหนึ่ง
แต่ในกลุ่มยอดฝีมือหนุ่มสาวเหล่านี้ กลับมีคนจำนวนน้อยนักที่รอดออกไปได้ จึงเห็นได้ชัดว่ามีพยนต์มรณะที่แข็งแกร่งอื่นๆ หลบซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้
“ที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็เพียงพยนต์มรณะในระดับต่ำที่สุด หากเข้าไปลึกกว่านี้ จะมีพยนต์มรณะที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรือไม่?” ฉินอวี่เริ่มกังวลเล็กน้อย พวกพยนต์มรณะระดับต่ำเหล่านี้ยังคงจัดการสังหารได้ แต่หากเผชิญหน้ากับพยนต์มรณะที่แข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นคงต้องพบอันตรายที่แท้จริง
ในเวลานี้ เพลิงมรณะที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาได้พยายามพุ่งออกจากตันเถียนอย่างต่อเนื่อง แต่ฉินอวี่ยังระงับไว้อย่างสุดกำลัง เมื่อมองไปยังเพลิงมรณะ ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“พยนต์มรณะเหล่านี้เริ่มเกิดการโจมตี เป็เพราะมันเริ่มััได้ถึงพลังการเกิด หากข้าใช้เพลิงมรณะห่อหุ้มตนเองไว้ ก็จะสามารถซ่อนตัวจากพยนต์มรณะเหล่านี้ได้หรือไม่?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจของฉินอวี่ก็รู้สึกเบิกบาน เขายิ่งมองเห็นความเป็ไปได้มากขึ้น ขอเพียงมีเพลิงมรณะห่อหุ้มร่างกาย เช่นนั้นแล้ว พยนต์มรณะพวกนี้ก็คงไม่สามารถแยกแยะออก
ขณะที่ฉินอวี่กำลังคาดเดาความเป็ไปได้อยู่นั้น ได้เกิดเสียงะเิดังสั่นะเืขึ้นอย่างกะทันหัน ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมองเห็นเงาร่างที่คลุมเครืออยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจ้าง เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นว่าเป็รูปร่างของวานรยุทธ์ตัวหนึ่งที่มีความสูงอย่างน้อยสามจ้าง
และตอนนี้ เหล่าพยนต์มรณะที่ไล่ตามฉินอวี่และอันดับหนึ่งต่างหยุดชะงักลงทั้งหมด ราวกับว่าจะััได้ถึงพลังของวานรยุทธ์ตัวนั้น อันดับหนึ่งเองก็หยุดลงเช่นกัน พลางจ้องตรงไปยังเงาร่างอันเลือนรางที่อยู่เบื้องหน้า และพูดขึ้นทันที “ยังไม่ไสหัวลงไปอีก!”
ฉินอวี่เลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ใช่คนประเภทได้คืบจะเอาศอก ดังนั้นจึงะโลงจากศีรษะของอันดับหนึ่งทันที
ขณะที่ฉินอวี่กำลังะโลงมานั้น เสียงะเิของสายฟ้าก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างรวดเร็ว รูม่านตาของฉินอวี่หดเล็กลงทันที ภาพที่เห็นคือโซ่เหล็กขนาดเท่าแขนที่กำลังพันอยู่กับขวานขนาดใหญ่ที่กำลังโจมตีอย่างดุเดือด ขวานนั้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทุกทิศทาง ราวกับมีพลังแยกฟ้าแยกดิน
ฉินอวี่ใอย่างยิ่ง พลันถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอันดับหนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหลบออกไปอย่างไม่ลังเล
“เปรี้ยง ตูม ตูม!”
เกิดเสียงะเิดังสั่นะเืไปทั้งฟ้าดิน จนแผ่นดินสั่นะเือย่างรุนแรง!
