เล่มที่ 1 บทที่ 11
ภาพมากมายปรากฏขึ้นในสมองและลอยผ่านไป ภาพพี่ชายใหญ่สวมชุดทหาร ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ของเขาเผยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจละเลยได้
“ท่านแม่ ข้าอยากเป็ทหาร เมื่อข้าประสบความสำเร็จ ข้าจะมีจวนเป็ของตัวเอง ท่านจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้”
ภาพนั้นฉายชัดขึ้นอีกหน ใบหน้าสวยงามของท่านแม่เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าอย่างยิ่ง “ในใต้หล้าคู่รักที่อยู่ด้วยกันชั่วชีวิตดั่งเทพนิยาย มีที่ไหนเล่า?”
ภาพนั้นฉายขึ้นอีกหน ใบหน้าเจ็บป่วยของท่านแม่เต็มไปด้วยความกังวล “ฉิงเอ๋อร์ คนที่แม่ปล่อยวางไม่ได้มากที่สุดก็คือเ้า แม้เ้าจะฉลาดแต่เ้าก็มีจิตใจดี เ้าจะเอาชนะนางได้อย่างไร? จะเอาชนะได้อย่างไร?”
ภาพนั้นฉายประกายอีกหน เห็นชายหนุ่มรูปงาม ใบหน้าไม่รู้ประสาคล้ายกับเด็ก “นางกลิ่นหอม ข้าเลียแล้ว แต่นางไม่หวาน แต่งงานกับนาง แล้วเอาไปปลูก นางก็หวานแล้ว”
“อ๊ะ…”
มู่หรงฉิงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที พร้อมยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อเย็นที่หน้าผากโดยสัญชาตญาณ
“คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็ตื่นแล้ว...”
นางได้ยินน้ำเสียงเศร้าโศกคล้ายพยายามอดกลั้นไม่ให้สะอื้นไห้ พริบตาต่อมาก็เห็นแม่นมฟางยืนอยู่ด้านข้างเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “คุณหนูใหญ่ เป็เพราะบ่าวไร้ประโยชน์ ถึงได้ปล่อยให้คนโง่งมของตระกูลเฉินบุกเข้ามาทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูใหญ่...”
“คุณหนูใหญ่ บ่าวเองก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบ่าววิ่งเร็วกว่านี้เล็กน้อย บ่าวจะไปแจ้งคนให้มาขวางคนโง่งมคนนั้น...” าแบริเวณศีรษะของแม่นมฟางถูกพันด้วยผ้าพันแผล แต่ยังสามารถเห็นเืซึม บ่งชี้ให้เห็นว่าแม่นมฟางาเ็ไม่เบา
อย่างไรก็ดี แม้แม่นมสองคนจะาเ็ที่ศีรษะ ถึงกระนั้นก็ไม่ควรสับสน นางถูกคนโง่งมคนนั้นทำร้ายเสียที่ไหน? เห็นๆ อยู่ว่าบ่าวทั้งสองได้รับาเ็เพราะซูมู่หาน
“คุณหนูใหญ่ บ่าวรู้ว่าคุณหนูไม่อยากแต่งงานกับเ้าคนโง่งมคนนั้น แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านกำลังสนทนาหารือถึงเื่การแต่งงานกับฮูหยินเฉินในห้องหนังสือ... คุณหนูใหญ่ คุณหนู... คุณหนู...” แม่นมฟางไม่อาจพูดต่อไปได้ ความเคร่งขรึมในดวงตาของแม่นมในยามปกติกลับเต็มไปด้วยน้ำตาเพราะความเวทนาและเศร้าหมอง
มู่หรงฉิงเบิกตาจ้องมองแม่นมทั้งสองคน “หารือถึงเื่การแต่งงานหรือ?”
“ใช่แล้ว นายท่านเฉินก็มาที่นี่ด้วย ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ จะต้องเตรียมขบวนขันหมากยาวระยะทางถึงสิบลี้กับเกี้ยวแปดคัน เพื่อแต่งคุณหนูใหญ่เป็ภรรยาเอกของลูกชายของเขา...”
“ถ้าไม่ใช่เพราะยวี้เอ๋อร์รีบกลับมา เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะต้องถูกคนโง่งมคนนั้นสังหารไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็จะต้องแต่งงานแล้ว…” แม่นมจิ่นปาดน้ำตาของนางอีกหน
“ในเวลานี้ เ้ายวี้เอ๋อร์ถึงกับร้องไห้จนเป็ลมหมดสติ บ่นพึมพำอยู่ตลอดว่าไม่ควรเชื่อฟังปี้เอ๋อร์ ให้ไปเอาขนมซิ่งเหริน จื่อเอ๋อร์ทรยศคุณหนู และตอนนี้แม้กระทั่งปี้เอ๋อร์ก็ไม่ซื่อสัตย์...”
ระหว่างพูด แม่นมฟางได้ผลักปี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างให้มายืนตรงหน้า “ยังไม่คุกเข่าลงอีก”
พูดจบ แม่นมทั้งสองก็กดปี้เอ๋อร์ให้คุกเข่าลงด้านหน้ามู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงสับสนเต็มที นางสับสนไปหมดแล้ว สถานการณ์ในเวลานี้คืออะไร? เห็นๆ อยู่ว่าแม่นมสองคนรู้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดเป็ฝีมือของยวี้เอ๋อร์ และโชคดีที่ได้ยาถอนพิษของจื่อเอ๋อร์คอยช่วยปกป้องนางไม่ให้ถูกซูมู่หานทำร้าย แต่ทำไมแม่นมทั้งสองคนถึงพูดเช่นนั้น?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกิริยาอาการของแม่นมทั้งสองคน นางก็เห็นว่าในดวงตาของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความเวทนา ไม่มีอารมณ์อื่นใดอีก
ไม่ใช่การเสแสร้ง มิหนำซ้ำก็ไม่ได้บอกใบ้อะไรกับนางเลยเช่นกัน
เป็ไปได้หรือว่า สมองของแม่นมทั้งสองคนจะกระทบกระเทือน กระทั่งลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด? ทว่าถ้าลืมทั้งหมด ทำไมถึงได้บอกว่ามันเป็ความดีความชอบของยวี้เอ๋อร์?
ในจังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังจะเอ่ยถาม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแ่เบาดังแว่วมาจากด้านนอกหน้าต่าง
“ภายในเจ็ดสิบสองชั่วยาม จะสามารถคลี่คลายร้อยพิษ”
คำพูดของจ้าวจื่อซินดังก้องในศีรษะของนางอีกหน
มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจกับประสาทการได้ยินของนางเป็อย่างมาก แม้นางจะมีทักษะการต่อสู้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เนื่องจากกำลังภายในของนางยังคงไม่มากพอ ในอดีตนางจึงไม่สามารถตรวจจับเสียงเบาๆ ด้านนอกหน้าต่างได้ ทว่าในเวลานี้นางกลับสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าอันแ่เบาซึ่งเหยียบย่ำอยู่บริเวณด้านนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน โดยเ้าของฝีเท้าคล้ายกำลังลอบฟังสถานการณ์ภายในห้อง
เป็ไปได้หรือไม่ว่า ยาที่จ้าวจื่อซินให้มานั้นไม่เพียงแต่ช่วยล้างพิษ แต่ยังเพิ่มกำลังภายในให้กับนางด้วย?
คนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างคนนั้นคือยวี้เอ๋อร์หรือไม่? ถ้าแม่นมทั้งสองคนไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ฉะนั้น เกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งสองหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่ายวี้เอ๋อร์จะทำอะไรไว้กับพวกนาง?
ขณะครุ่นคิดในใจ สายตาของมู่หรงฉิงก็จ้องมองใบหน้าของปี้เอ๋อร์ แต่นางเห็นใบหน้าปี้เอ๋อร์ยังคงเฉยชาเช่นเดิม ความห่างเหินในดวงตาของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของมู่หรงฉิงถึงกับใ
แม้ปี้เอ๋อร์จะทุ่มเทรับใช้นางด้วยความภักดีอย่างสุดใจ ถึงกระนั้นนางก็มักจะรู้สึกว่าปี้เอ๋อร์เป็คนเ็า ไม่พูดมาก ยามปกติหญิงผู้นี้มักจะอยู่อย่างเงียบสงบ และไม่ใช่คนช่างพูด ต่างจากในเวลานี้เมื่อนางเห็นดวงตาที่เ็าของปี้เอ๋อร์ หัวใจของมู่หรงฉิงก็ปรากฏความคิดขึ้นมาโดยปราศจากเหตุผล
จื่อเอ๋อร์ไม่ได้อยู่เคียงข้างนางแล้ว ยวี้เอ๋อร์เป็หนอนบ่อนไส้ แม่นมสองคนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีท่าทีสับสน มีเพียงปี้เอ๋อร์เท่านั้นที่แม้จะเ็า แต่สายตาที่เ็าของอีกฝ่ายเหมือนจะทำให้นางมองเห็นตัวตนอีกคนหนึ่ง นางมีความปรารถนาที่จะเชื่อในตัวปี้เอ๋อร์อย่างไม่มีคำอธิบายใดๆ มารองรับ
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูจะจัดการกับผู้หญิงทรยศคนนี้อย่างไร?” แม่นมฟางมองปี้เอ๋อร์อย่างดุร้ายราวกับว่านางกำลังจะกลืนกินปี้เอ๋อร์ทั้งเป็อย่างไรอย่างนั้น
“ข้า... ข้าเวียนศีรษะ สิ่งที่พวกเ้าพูด ข้าจำไม่ได้แม้แต่น้อย...” สมองของแม่นมสองคนกำลังสับสนงงงวย มิหนำซ้ำยังมีคนลอบฟังอยู่ด้านนอกหน้าต่าง หลังจากมู่หรงฉิงกะพริบตา นางกลับมีท่าทางเหนื่อยล้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นจึงพูดกับแม่นมทั้งสองคน “สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าในวันนี้ ข้ารู้สึกสับสนเป็อย่างมาก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ ปกติแล้วยวี้เอ๋อร์มักทำตัวหุนหันพลันแล่น แต่ในวันนี้นางกลับช่วยชีวิตข้าได้”
มู่หรงฉิงหันไปทางแม่นมจิ่น “แม่นม มอบสร้อยกำไลข้อมือหยกให้ยวี้เอ๋อร์ นางจะได้เบาใจ ตอนนี้จะแต่งงานหรือไม่ ยังไม่อาจรับรองได้เลย อาจจะยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงก็เป็ไปได้”
คำพูดของมู่หรงฉิงมีความคาดหวังอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่านางจำไม่ได้จริงๆ ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง “สำหรับปี้เอ๋อร์ ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่านางได้ทำอะไรไว้ เวลานี้ข้าหิวแล้ว ปล่อยให้นางไปทำอาหารให้ข้ากินเถอะ”
หลังจากมู่หรงฉิงพูดจบ ดวงตาของปี้เอ๋อร์ก็เป็ประกายวาววับก่อนที่จะโขกศีรษะ “บ่าวจะไปเตรียมอาหารเดี๋ยวนี้”
“คุณหนูใหญ่”
ทันทีที่ปี้เอ๋อร์คล้อยหลังออกจากห้อง แม่นมฟางก็ออกอาการไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนวาดหวังไว้ “ท่านมักจะใจดีเช่นนี้อยู่เสมอ ปี้เอ๋อร์เกือบทำให้คุณหนูเอาชีวิตไม่รอด คุณหนูยังจะเก็บนางไว้อีก?”
“แม่นมฟาง ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่าปี้เอ๋อร์ทำอะไรไว้ในวันนี้ ข้าจำได้แค่ว่าคนโง่งมบุกเข้ามา และข้าก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นไม่ได้เลย” มู่หรงฉิงมองแม่นมฟางอย่างจนปัญญา “ในเวลานี้จื่อเอ๋อร์ไม่ได้อยู่เคียงข้างข้าแล้ว คนเคียงข้างข้าตอนนี้ ก็มีเพียงยวี้เอ๋อร์และปี้เอ๋อร์เท่านั้น ข้าเชื่อว่าพวกนางจะไม่ทำร้ายข้า”
“คุณหนูใหญ่...”
“คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วหรือ?”
ยวี้เอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านนอกประตูเลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมเดินเข้ามา ดวงตาสีแดงก่ำเพราะการร้องไห้ของนางบวมปูดคล้ายลูกมันฮ่อ ั์ตาของมู่หรงฉิงหรี่เล็กลง ท่าทีของยวี้เอ๋อร์ดูภักดีเสียจริง
ยวี้เอ๋อร์เดินมาที่เตียงก่อนร่ำไห้เป็เวลานาน
หากเป็่ก่อนหน้า มู่หรงฉิงคงจะถอนหายใจเนื่องจากความจงรักภักดีของยวี้เอ๋อร์ แต่ในเวลานี้มู่หรงฉิงกลับรู้สึกหนาวเหน็บถึงก้นบึ้งของหัวใจ
นางรู้สึกเย็นะเืจนแขนขาถึงกับสั่นสะท้าน
มู่หรงฉิงไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำเป็ดีกับยวี้เอ๋อร์ในสภาพจิตใจเช่นนี้ได้ นางจึงอ้างว่าวิงเวียนศีรษะมาก ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตะแคงร่างของตัวเองไปยังอีกด้านหนึ่งและไม่มองคนสองสามคนนั้นอีก
เด็กสาวยังไม่กล้าเผยปฏิกิริยาอะไรมาก ในขณะที่นางยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นมทั้งสองคน นางย่อมไม่อาจเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงทิ้งตัวนอนลง ยวี้เอ๋อร์และแม่นมทั้งสองคนก็ออกจากห้องด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย โดยปล่อยให้มู่หรงฉิงได้พักผ่อน
“คุณหนู บ่าวนำข้าวต้มมาให้” เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ* ปี้เอ๋อร์ก็จัดวางอาหาร และเดินไปที่เตียงเพื่อปลุกมู่หรงฉิง
(*เวลาหนึ่งเค่อเทียบเท่ากับสิบห้านาทีโดยประมาณตามเวลาสากล)
นับั้แ่พวกยวี้เอ๋อร์ทั้งสามคนออกจากห้องไป มู่หรงฉิงได้ทำท่านอนหลับอยู่บนเตียงมาโดยตลอด แต่กระนั้นยังได้ยินอย่างชัดเจนว่ามีคนลอบฟังอยู่ด้านนอกหน้าต่างมาโดยตลอดเช่นกัน
ก่อนที่ยวี้เอ๋อร์จะเข้ามา มีคนอยู่ที่บริเวณด้านนอกหน้าต่างหลังจากยวี้เอ๋อร์เข้ามา คนที่อยู่บริเวณด้านนอกหน้าต่างกลับหายไป และหลังจากยวี้เอ๋อร์เดินออกไปก็มีคนอยู่เฝ้าด้านนอกหน้าต่างอีกหน
คนที่อยู่ที่บริเวณด้านนอกหน้าต่างผู้นั้นจะต้องเป็ยวี้เอ๋อร์อย่างไร้ข้อสงสัยใดๆ
“อืม ช่วยประคองข้าลุกขึ้นนั่งที ข้าไม่มีแรง” มู่หรงฉิงพยายามทำเสียงให้ดูอ่อนแอ ปี้เอ๋อร์จึงช่วยประคองให้นางนั่งลงด้านข้างโต๊ะก่อนนางจะทานข้าวต้มอย่างเนิบช้า
“ปี้เอ๋อร์ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าสมองของข้าไม่ชัดเจน?” หลังจากทานข้าวต้มไปครึ่งชาม มู่หรงฉิงก็เอ่ยถามปี้เอ๋อร์
“คุณหนูจำไม่ได้จริงๆ หรือ?” น้ำเสียงเ็าของปี้เอ๋อร์มีแต่ความเคร่งขรึม
ปี้เอ๋อร์มองไปทางมู่หรงฉิงด้วยสายตาจริงจัง ในเวลาเดียวกันคนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างก็หายใจติดขัดราวกับกำลังรอคำตอบ มู่หรงฉิงวางชามและตะเกียบลงพร้อมถอนหายใจเบาๆ จากนั้นลูบหน้าผากของตนเอง “สมองของข้าสับสนปนเปไปหมดแล้ว ข้าจำได้แค่ว่าจื่อเอ๋อร์มีความสัมพันธ์กับเ้าคนเลวคนนั้น ข้าโกรธมาก จึงกลับมาที่ห้อง แต่คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ เ้าคนโง่งมนั่นก็บุกเข้ามา หลังจากนั้น ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว…”
มู่หรงฉิงเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “แค่ต่อสู้กับคนโง่งมคนนั้นไปหนึ่งกระบวนท่า ท่านพ่อคงไม่ถึงกับให้ข้าแต่งงานกับเ้าคนโง่งมคนนั้นกระมัง?”
หลังจบคำพูดของมู่หรงฉิง แววตาของปี้เอ๋อร์ก็แสดงออกถึงความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างกลับโล่งใจ
ดูท่าว่าแม่นมทั้งสองคนคงถูกยวี้เอ๋อร์ทำอะไรไว้จริงๆ ด้วย แต่นางทำได้อย่างไรหรือ?
“คุณหนู ข้าขอพูดความจริงโดยไม่ปิดบัง ครู่ก่อนขณะบ่าวไปหยิบข้าวต้มในครัว บ่าวได้ยินสาวใช้ข้างๆ นายท่านกำลังสนทนากับสาวใช้คนอื่นๆ โดยบอกว่างานแต่งงานของคุณหนูใหญ่มีกำหนดจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันหลังจากนี้”
“อะไรนะ?” มู่หรงฉิงผงะและลุกพรวดขึ้นทันที “เ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่เชื่อ ข้าจะไปหาท่านพ่อ ข้าแค่ต่อสู้กับเ้าคนโง่งมนั่นหนึ่งกระบวนท่าเอง ถ้าสามารถกดเื่นี้ไว้ได้ย่อมสามารถทำได้ ทำไมต้องให้ข้าแต่งงานกับคนโง่งมนั่นด้วย?”
“ข้าจะไปหาท่านพ่อ ข้าจะไปหาท่านพ่อ”
มู่หรงฉิงก้าวเท้าไปพลางหมายจะเดินออกจากห้อง แต่จู่ๆ ยวี้เอ๋อร์กลับเดินเข้ามาพร้อมกับยา นางมองมู่หรงฉิงอย่างหวั่นกลัว “คุณหนู คุณหนูจะไปไหนหรือ?”
“ยวี้เอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์บอกว่าหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน ท่านพ่อจะจัดงานแต่งงานระหว่างข้ากับคนโง่งมนั่น? นี่เป็ความจริงหรือ?” มู่หรงฉิงเอ่ยถามยวี้เอ๋อร์ด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนโกรธเคืองกับคำพูดของปี้เอ๋อร์เป็อย่างมาก
หลังจากได้ฟัง ยวี้เอ๋อร์ก็มองไปทางปี้เอ๋อร์อย่างขุ่นเคือง “ปี้เอ๋อร์ เ้าคิดอะไรของเ้า? นายท่านได้หารือกับฮูหยินผู้เฒ่าแล้วว่าจะระงับเื่นี้ มีการพูดถึงเื่จะให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับเ้าตัวโง่งมคนนั้นเสียที่ไหนกัน?”
คำพูดพร้อมด้วยเสียงร้องไห้แฝงความโกรธเคืองของยวี้เอ๋อร์คล้ายจะกล่าวหาว่าปี้เอ๋อร์กุเื่ขึ้นมาเอง
ั์ตาของปี้เอ๋อร์หรี่เล็กลง ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก ก่อนเลื่อนสายตาปราศจากความรู้สึกหันไปมองทางมู่หรงฉิง “บางที บ่าวอาจจะได้ยินผิดไปก็เป็ไปได้”
“เ้า... ฮึ่ม!” ยวี้เอ๋อร์จ้องมองปี้เอ๋อร์เขม็ง มือหนึ่งถือยา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งช่วยประคองมู่หรงฉิง “วันนี้คุณหนูใหญ่ใมากแล้ว คุณหนูทานน้ำแกงสงบจิตใจก่อนเถอะ คืนนี้นอนหลับพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยไปหานายท่านกัน”
มู่หรงฉิงรู้ว่าในยาจะต้องมีสิ่งอื่นปะปนอยู่ด้วย บางทีหลังจากที่นางดื่มมัน ในคืนนี้นางอาจจะสามารถไขข้อสงสัยในใจก็เป็ได้
จ้าวจื่อซินบอกว่า ยาตัวนั้นสามารถแก้ร้อยพิษได้ภายในเจ็ดสิบสองชั่วยาม นางควรจะเชื่อหรือไม่?
ถ้าเชื่อ... หลังจากนางดื่มยาเข้าไป คืนนี้ย่อมมีความเป็ไปได้มากว่านางจะได้รู้คำตอบที่นางอยากรู้มากที่สุด
แต่ถ้าไม่เชื่อ... และนางไม่ดื่มมัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็เื่ลึกลับต่อไป
ช่างเถอะ ในเมื่อนางกินยาตัวนั้นไปแล้ว นางจะต้องเดิมพันแล้ว นางไม่เชื่อว่า ยวี้เอ๋อร์จะอาจหาญถึงกับสังหารนางด้วยยา
ในใจคิดพิจารณา ทว่ามือกลับรับยามาทานจนหมดเกลี้ยง
มียวี้เอ๋อร์คอยรับใช้ชำระล้างร่างกาย จากนั้นก็เอนตัวนอนลงบนเตียง ปล่อยให้เวลาผ่านไปชั่วครู่ การหายใจของมู่หรงฉิงก็สงบลง
มู่หรงฉิงนอนอยู่บนเตียงพยายามควบคุมการหายใจเข้าออกให้ราบเรียบ ร่างของนางคลุมด้วยผ้าห่มผืนบาง มือกำเป็หมัดแน่น
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม มู่หรงฉิงจึงได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอกประตู เสียงของฝีเท้าจากการก้าวเดินของแต่ละคน เมื่อฟังพินิจให้ดี ผู้ที่มาเยือนนั้นมีจำนวนถึงสามคน
“อนุหนิง ขอเชิญ”
เสียงของยวี้เอ๋อร์ไม่ได้อ่อนโยนและไร้เดียงสาเฉกเช่นเดิม เสียงสุขุมลุ่มลึกของนาง หากไม่ได้ยินเสียงนางในทุกๆ วัน มู่หรงฉิงแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ยวี้เอ๋อร์จะมีเสียงที่สุขุมลุ่มลึกเช่นนี้ได้
“เฮอะ ฤทธิ์ยาของเ้าได้ผลนานแค่ไหน?” เสียงของมู่หรงยวี่ฟังดูภาคภูมิใจถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันมู่หรงฉิงยังได้ยินมู่หรงยวี่ก้าวเท้าเดินมาถึงด้านข้างเตียงอย่างมีความสุข ตามมาด้วยเงาดำซึ่งค้อมตัวลง ก่อนเสียงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันดังกรอดจะผ่านเข้าหู “ข้าล่ะอยากจะข่วนใบหน้าของนางจริงๆ เลย”
“ยวี้เอ๋อร์” เสียงของอนุหนิงเต็มไปด้วยความใจกว้างระคนรักทะนุถนอม มู่หรงฉิงได้ยินเสียงฝีเท้าของอนุหนิงเดินมาที่ด้านข้างเตียง ดูเหมือนว่านางจะจับมือของมู่หรงยวี่ไว้ “นางเป็สตรีโฉมสะคราญล่มเมือง แล้วอย่างไร? เวลานี้นางยังต้องแต่งงานกับเ้าคนโง่งมคนนั้นอยู่ดี”
“ฮึ! ใช่ ข้าแค่อยากจะมาดูหนังหน้าของนาง ปกตินางมักจะทำหน้าตาเ็า สงบนิ่ง เสแสร้งแกล้งทำอย่างกับตัวอะไรดี วันนี้นางทำเื่บัดสีบัดเถลิงแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่อยากจะให้นางแต่งงานไปอยู่ในจวนเฉินเพื่อจุดประสงค์อื่นละก็ ข้าอยากจะให้นางตายเสียวันนี้เลยจริงๆ” เสียงของมู่หรงยวี่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง