ทั้งสองคนเดินเข้าตำหนักศิลาสี่เหลี่ยมขนาดสิบเมตร
เย่เฟิงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจเห็นทองคำแท่ง เพชร และสมบัติอื่นๆ ในตำหนักศิลา นอกจากนี้ยังมีตู้เซฟที่เต็มไปด้วยเงินและบัญชีจำนวนมาก
แม้สำนักอิ่นเซียนจะซ่อนตัวจากเมือง แต่ก็ยังใช้ชีวิตปกติ ต้องใช้เงินซื้อข้าวของกินดื่มเหมือนคนทั่วไป จากธุรกิจที่ทันสมัยในโลกใบนี้
“คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหลินจือจะชอบอะไรแบบนี้”
เย่เฟิงมองไปรอบๆ ตำหนักศิลา เห็นทองคำและเงินบนกำแพงหินโดยรอบ มันถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือแหวนเพชรขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักเกินสิบกะรัต
สำนักนี้สมเป็หนึ่งในสิบสำนักใหญ่ในยุทธจักร เพียงแหวนเพชรวงนี้ก็สามารถขายได้ในราคาหลายสิบล้านแน่นอน ไม่รู้ว่าฉีหลินจือไปหามาจากไหนและเก็บไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร
จื่อเจี้ยนหลานมองเย่เฟิงที่จดจ่ออยู่กับแหวนเพชร ใบหน้างามแสดงสีหน้ารังเกียจ “นี่คือของขวัญแต่งงานที่เขาอยากให้ฉัน...”
“...”
เย่เฟิงพูดไม่ออกและคิดไม่ถึงว่าชายชราจะขอหญิงสาวแต่งงาน ช่างน่าสงสารที่ต้องมาเจอกับจื่อเจี้ยนหลาน
ถ้าเป็ผู้หญิงบางคนที่ชอบเงินทองล่ะก็ ถึงจะเป็ชายแก่ แต่ถ้ามีแหวนเพชรใหญ่ขนาดนี้ พวกเธอคงไม่ห่างจากมันแม้นาทีเดียว แน่นอนว่าฉีหลินจือไม่้ามันและมีเพียงคนงามชั้นยอดเช่นจื่อเจี้ยนหลานเท่านั้นที่สามารถทำให้ฉีหลินจือสนใจได้
มูลค่ารวมของทรัพย์สินในตำหนักศิลาทั้งหมดอยู่ที่ประมาณสองถึงสามร้อยล้านหยวนซึ่งน้อยกว่าที่เย่เฟิงคาดไว้มาก แต่เอาไปให้หลินซือฉิงก็น่าจะเพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันมีเงินเท่าไรอยู่ในบัญชี แล้วรหัสผ่านคืออะไร?
“นั่นอะไร?”
ทันใดนั้นจิตหยั่งรู้ของเย่เฟิงก็เห็นชิ้นส่วนคล้ายก้อนหินสีเงินตรงมุมห้อง นั่นไม่ใช่วัตถุดิบหลอมอาวุธที่เรียกกันว่า ‘สะเก็ดดาวสีเงิน’ หรือ? ไม่คิดว่ามันจะมีขนาดเท่ากำปั้น
ของวิเศษในโลกเทวะ ล้วนได้รับการขัดเกลาอย่างละเอียด กำไลจื่อหลิงที่เย่เฟิงเพิ่งใช้งานและกำไลหยกิญญาที่มอบให้หลงหว่านเอ๋อร์เป็อาวุธวิเศษคุณภาพต่ำที่สุดซึ่งเรียกว่าเครื่องราง เหนือกว่าระดับขั้นของวิเศษ ก็คืออุปกรณ์ขั้นิญญา อุปกรณ์ขั้นวิเศษ อุปกรณ์ขั้นธรรมชาติ และอุปกรณ์ขั้นเซียน สี่อันดับนี้เป็ระดับของอาวุธวิเศษ พลังของมันสามารถเพิ่มได้หลายเท่าตัวจนอาวุธทั่วไปไม่สามารถเทียบได้เลย
หลังจากเย่เฟิงมาโลกนี้ อาวุธวิเศษระดับสูงสุดที่เขาพบก็คือขั้นของวิเศษ ส่วนแหวนกระบี่ัโบราณในมือของเขาเป็อาวุธที่มหัศจรรย์มาก ความรู้ของเย่เฟิงไม่สามารถประเมินพลังของมันได้ และสะเก็ดดาวสีเงินนี้เป็วัตถุดิบอันล้ำค่าที่สามารถปรับแต่งอาวุธเวทย์ระดับอาวุธิญญาได้
อาวุธวิเศษของซูเฟยหยิ่งเป็อุปกรณ์ขั้นิญญา มีพลังมากในโลกเทวะ อย่างไรก็ตามหากนำสะเก็ดดาวสีเงินขนาดเท่ากำปั้นผสมกับวัสดุอื่นๆ ก็จะสามารถปรับแต่งอุปกรณ์ขั้นิญญาได้สามชิ้น
น่าเสียดายที่เย่เฟิงต้องรอจนกว่าจะมีวรยุทธ์ระดับยี่สิบปีก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนวิชาเซียนสกัดแร่ของสำนักสุสานดวงดาวได้ แค่ทำให้หลงหว่านเอ๋อร์กลายเป็เซียนสกัดแร่ก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว แต่ลืมมันไปเถอะ เย่เฟิงคิดเื่นี้และรู้สึกไม่วางใจ ท้ายที่สุดแล้วการปรับแต่งอาวุธวิเศษเป็งานเฉพาะทางและต้องมีประสบการณ์มากกว่านี้
เย่เฟิงนำสะเก็ดดาวสีเงินใส่ในแหวนมิติ วัตถุดิบแร่หายากก้อนนี้เป็สิ่งที่มีค่าที่สุดในสายตาของเย่เฟิงภายในตำหนักศิลาแห่งนี้
จื่อเจี้ยนหลานเห็นเย่เฟิงโบกมือเพียงครั้งเดียวแร่เงินก็หายไป จึงอดประหลาดใจไม่ได้ แร่เงินนั่นไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร ทำไมเขาถึงเก็บมันไป มันมีค่างั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้นเขาเก็บไปได้อย่างไร แต่เื่ที่เกิดขึ้นตามมากลับทำให้เธอใ หญิงสาวเห็นว่าเย่เฟิงโบกมือไปมา ของมีค่าภายในตำหนักศิลาทั้งหมดก็หายไปในพริบตา แม้กระทั่งแหวนเพชรนั่นด้วย
จื่อเจี้ยนหลานคิดว่าตัวเองคงตาฝาด อดขยี้ตาไม่ได้ หลังจากลืมตาอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งตำหนักศิลาว่างเปล่า สิ่งของมูลค่าหลายล้านหยวนถูกเย่เฟิงเก็บไปทั้งหมด
น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เงินสด มันต้องผ่านขั้นตอนซับซ้อนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็เงิน ปกติแล้วไม่ใช่เื่ที่เย่เฟิงจะต้องกังวลเลย ปล่อยให้เป็หน้าที่ของหลินซือฉิงหรือพ่อของโอวบีอาจจะได้กำไรมากขึ้น ไม่ทำให้เย่เฟิงขาดทุน
แน่นอนว่าทรัพย์สินของสำนักอิ่นเซียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็ทรัพย์สินส่วนตัวของฉีหลินจือ สมบัติอื่นต่างถูกใช้โดยเหล่าลูกศิษย์ของสำนักอิ่นเซียน แต่ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันอยู่ซึ่งคงซับซ้อน และเย่เฟิงคร้านจะเสียเวลาไปหามัน
“โอเค ฉันควรไปได้แล้ว”
หลังจากได้สิ่งที่้าแล้ว เย่เฟิงยกยิ้มให้กับจื่อเจี้ยนหลานเล็กน้อย กล่าวได้ว่าหญิงสาวชุดกระโปรงม่วงช่วยเขาได้มากระหว่างปฏิบัติการนี้ หากชายหนุ่มค้นหามันด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงกว่าจะเจอตำหนักศิลา
“เร็วขนาดนี้เลยหรอ?”
จื่อเจี้ยนหลานใและอารมณ์เสียเล็กน้อย
“อืม เธอจะต้องเป็เ้าสำนักแล้ว หากมีวาสนา พวกเราอาจได้พบกันอีกครั้ง”
เย่เฟิงไม่้าควบคุมเธอเป็หุ่นเชิดในสำนักอิ่นเซียน หลังจากการตายของฉีหลินจือ หลี่เทียน และผู้าุโคนอื่น สำนักอิ่นเซียนก็ไม่สามารถเป็สำนักที่มีอำนาจแล้ว เย่เฟิงไม่้าพึ่งพาคนพวกนี้
จื่อเจี้ยนหลานเป็คนรูปงามและน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่เย่เฟิงไม่ได้คิดอะไรกับเธอทั้งสิ้น เป็การพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น
เย่เฟิง้าจะออกจากตำหนักศิลาและลงจากเขา
“เดี๋ยวก่อน”
จื่อเจี้ยนหลานมองแผ่นหลังของเขา ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกเ็ป ไล่ตามอีกฝ่ายด้วยใจร้อนรน รั้งแขนของเขาแ่เบา
“มีอะไร?”
เย่เฟิงชะงักฝีเท้า
“ฉันไม่ได้อยากเป็เ้าสำนัก...”
น้ำเสียงราบเรียบของจื่อเจี้ยนหลานบ่งบอกว่าเธอไม่สนใจตำแหน่งเ้าสำนัก
“เธอ้าอะไร?” เย่เฟิงถามพร้อมหัวเราะเบาๆ
“ฉัน...” จื่อเจี้ยนหลาน้าบอกว่าอยากอยู่กับเขา แต่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก และเธอก็กล้ำกลืนมันลงไปพลางกล่าวไม่กี่ประโยค “ฉัน้าไปจากสำนักอิ่นเซียน ออกไปยังโลกภายนอก”
“ตอนนี้ไม่มีใครห้ามเธอได้หรอก ถ้าเธอ้าจะไปก็ไปเถอะ”
เย่เฟิงยิ้ม
“งั้น... ฉันลงเขาไปกับคุณได้ไหม?”
จื่อเจี้ยนหลานไม่อยากขอร้องเย่เฟิงให้พาเธอไปด้วย แต่ความคิดนี้ก็ถูกทิ้งไว้เื้ั เก็บไว้เป็ความทรงจำที่ดี
“ทำไมไม่เดินนำไปล่ะ”
เย่เฟิงหันกลับและออกจากตำหนักศิลาหลังจากพูดจบ จื่อเจี้ยนหลานรีบวิ่งตามไปทันที
เมื่อพวกเขากลับมายังตำหนักด้านหลังสำนักอิ่นเซียน ทะเลเพลิงก็สงบหมดแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังในความยุ่งเหยิง มีเหล่าศิษย์สำนักอิ่นเซียนเก็บกวาดอยู่รอบๆ
เมื่อเห็นเย่เฟิงและจื่อเจี้ยนหลาน ศิษย์สำนักอิ่นเซียนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาคำนับ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เย่เฟิงคนนี้คือคนที่สามารถบุกสังหารฉีหลินจือผู้น่ากลัวได้เพียงลำพัง
ั้แ่นี้เป็ต้นไป จื่อเจี้ยนหลานจะเป็เ้าสำนักของพวกเขา มันทำให้ในใจพวกเขาหลายคนรู้สึกแปลกๆ ผู้หญิงขึ้นเป็เ้าสำนัก เป็ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักอิ่นเซียนเลย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใจของจื่อเจี้ยนหลานไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มันไปอยู่ที่เย่เฟิงเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากพวกเขาจากไป สำนักอิ่นเซียนจะเป็เช่นไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
าภายในก็ดี ความกระหายอำนาจก็ดี ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเย่เฟิง
สำนักอิ่นเซียนในปัจจุบัน ซึ่งมีพลังการบ่มเพาะสูงสุดแค่สามสิบสี่สิบปีเท่านั้น ไม่เป็ภัยต่อเย่เฟิงสักนิด จากนี้ไปยังจะมีมนุษย์คนไหนกล้ายั่วยุเย่เฟิงอีก?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้