วันเดียวกับที่ไป๋หยุนเฟยมาถึงเมืองไป๋เฟิง
ยามนี้มีเพียงผู้คนสามคนนั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของสำนักธารน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่าประมุขของที่แห่งนี้ขับไล่บริวารออกไปหมดสิ้นเพื่อหารือเื่ราวที่สำคัญยิ่ง
ผู้ที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะเป็บุรุษวัยกลางคนที่ผิวกายซีดขาวอยู่บ้าง แม้จะนั่งลงด้วยท่าทีเรียบเฉยแต่ก็ปรากฏกลิ่นไอเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมา กระทั่งอุณหภูมิภายในห้องโถงแห่งนี้ก็ราวกับจะลดต่ำลง --- บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากเ้าสำนักธารน้ำแข็ง นามว่าอวี้เฟย
บุรุษที่นั่งอยู่ด้านซ้ายด้วยสีหน้าสงบนิ่งอายุราวสี่สิบเศษ มิใช่ใครอื่นนอกจากหนึ่งในผู้าุโสำนักธารน้ำแข็งนาม หลิวเฉิง และบุรุษที่นั่งอยู่ด้านขวาซึ่งกำลังบอกเล่าเื่ราวแก่อีกสองคนอย่างเชื่องช้า คาดไม่ถึงว่าจะเป็นายใหญ่ตระกูลจางนามว่าจางเจิ้นซาน!
“...จากนั้นเ้าผู้เยาว์ไป๋หยุนเฟยก็หันหลังหลบหนีไปโดยไม่ลังเล...”
ดูเหมือนจะบอกเล่าเื่ราวมาเนิ่นนาน จางเจิ้นซานจึงถอนหายใจหนักหน่วงพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนจะชำเลืองมองบุรุษทั้งสองคนที่แสดงท่าทีตื่นตะลึงเมื่อได้ฟังเื่ราว จากนั้นจึงสงบรอท่าทีจากทั้งคู่
หลังจากเงียบงันอยู่เนิ่นนานอวี้เฟยจึงเอ่ยปากขึ้น “มิคาดว่าผู้บรรลุด่านวีรชนิญญาอันต่ำต้อยจะสามารถหลบหนีการตามล่าจากเ้าได้มิหนำซ้ำยังสามารถทำร้ายเ้าาเ็ได้อีก นี่... ตามคำบอกเล่าของเ้า วัตถุิญญาทั้งหลายของมันนับว่าแปลกพิสดาร ใช่แล้ว หนามธารน้ำแข็งนั้น...”
ได้ยินดังนั้น จางเจิ้นซานจึงพลิกมือขวาขึ้นพร้อมกับหนามธารน้ำแข็งที่ปรากฏในมือ น้ำเสียงมันกลับกลายเป็เคร่งขรึมกล่าวว่า “เพียงเพราะหนามธารน้ำแข็งนี้จึงทำให้ข้าล้มเลิกการไล่ล่าและเร่งรุดกลับสำนักในบัดดลเพื่อรายงานแก่ท่านเ้าสำนัก”
“โอ? หรือเ้าพบเห็นอันใด?” อวี้เฟยเลิกคิ้วเอ่ยปากถาม
“มิผิด เ้าสำนักท่านชมดูเองเถอะ” จางเจิ้นซานผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะกวาดตามองเสาใหญ่ขนาดสองคนโอบตรงหน้า จากนั้นสะบัดมือขวาแ่เบาประกายแาก็พุ่งตรงไปกระทบเสาต้นใหญ่ในพริบตา เสียงแ่เบาดังแว่วมาขณะที่หนามธารน้ำแข็งทะลวงผ่านเสาหินท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของอวี้เฟยและหลิวเฉิง จากนั้นหนามธารน้ำแข็งส่งเสียงหวีดหวิวฝ่าอากาศและทะลวงเข้าสู่กำแพงด้านหลังเสา!
บุรุษทั้งสองคนกลับกลายเป็ซึมเซาไปชั่วขณะ เป็อวี้เฟยมีปฏิกิริยาขึ้นก่อน มันปราศจากท่าทีเฉยชาเช่นเดิมลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าตื่นเต้น ชั่วพริบตาก็พลันปรากฏตัวตรงหน้ากำแพง หลังจากยื่นมือถอนหนามธารน้ำแข็งที่ฝังในกำแพงเกือบมิดด้าม ก็สังเกตดูอย่างละเอียดด้วยแววตาเหลือเชื่อ
“เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?... นี่เป็หนามธารน้ำแข็งที่ข้ามอบให้แก่หานเซียวแห่งค่ายไม้ดำเมื่อสองเดือนก่อนชัดๆ แต่ไฉนจึงกลับกลายเป็ทรงพลังเช่นนี้?”
ได้เห็นสีหน้าเหลือเชื่อของอวี้เฟย จางเจิ้นซานก็เข้าใจเื่ราว คราแรกที่มันรับทราบว่าหนามธารน้ำแข็งนี้แปรเปลี่ยนไปก็มีทีท่าเช่นนี้ มันกล่าวว่า “เ้าสำนัก ข้าทดลองอย่างละเอียดแล้ว พลังโจมตีของหนามธารน้ำแข็งเพิ่มพูนขึ้นจากเดิมอย่างน้อยห้าส่วน มิใช่เพียงเท่านี้ ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือยามที่ท่านซัดขว้างออกทั้งความเร็วและพลังจะเพิ่มพูนขึ้นจากเดิมอย่างน้อยสองเท่า!”
หลังจากได้ยินคำพูดจางเจิ้นซานสีหน้าอวี้เฟยกลับไม่เชื่อถืออยู่บ้าง มันมองดูหนามธารน้ำแข็งในมืออย่างสับสนอยู่เนิ่นนาน ราวกับไม่กล้าเชื่อถือว่าเป็ความจริง กระทั่งได้ทดลองด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทะลวงเสาหินในโถงใหญ่ไปหลายต้น ในที่สุดก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีตื่นตะลึง
“เ้าสำนัก มีดสั้นที่ไป๋หยุนเฟยใช้ซัดขว้างก็แปลกพิสดารเช่นกัน...” จางเจิ้นซานกล่าวขึ้นพร้อมกับนำมีดสั้นสองเล่มออกมามอบให้ ก่อนจะกลับไปนั่งด้านข้างรอดูปฏิกิริยาจากอวี้เฟย
กระทั่งยามนี้หลิวเฉิงจึงเรียกคืนสติได้ มันครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “หรือเ้าคิดว่าเป็สำนักช่างประดิษฐ์...?”
“เป็ไปไม่ได้” ราวกับใคร่ครวญถึงความเป็ไปได้นี้มาแล้ว จางเจิ้นซานจึงส่ายศีรษะกล่าวว่า “แม้สำนักช่างประดิษฐ์จะสามารถหลอมสร้างและเสริมพลังของวัตถุิญญาได้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าสามารถเปลี่ยนแปลงพลังของวัตถุิญญาเช่นนี้ได้ อีกอย่างหากไป๋หยุนเฟยมีกำลังหนุนที่เข้มแข็งเช่นนี้คงไม่ถูกข้าไล่ล่าดังที่ผ่านมาแล้ว”
ทันใดนั้น อวี้เฟยที่ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ก็พลันเงยหน้าขึ้นสั่งการด้วยท่าทีจริงจัง “ตามหาตัวมัน!! ระดมกำลังทั้งมวลออกไปตามหาตัวมัน!!”
“ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม เ้าต้องหาทางทราบวิธีการที่มันใช้ปรับปรุงหนามธารน้ำแข็งให้จงได้!!”
… … … …
ภายในเมืองไป๋เฟิง ทันทีที่เข้ามาถึงในเมืองไป๋หยุนเฟยก็กล่าวอำลาผู้คนในขบวนสินค้าและเริ่มจับจ่ายซื้อของตามลำพัง เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจไป๋หยุนเฟยจึงสวมหมวกฟางที่มีชายผ้าปิดบังใบหน้าซึ่งขอมาจากขบวนสินค้าเอาไว้ตลอดเวลา แม้แต่ยามซื้อสิ่งของก็ยังไม่ถอดออกเพราะเกรงว่าเหล่าพ่อค้าจะมองเห็นใบหน้ามันได้ชัดตา
เมื่อซื้อหาสิ่งของเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าสู่ยามสนธยา ไป๋หยุนเฟยจึงรับประทานอาหารที่ร้านเล็กๆก่อนจะหาโรงเตี๊ยมที่ดูธรรมดาเพื่อค้างแรม
“จนบัดนี้ข้ายังไม่พบเห็นสิ่งใดน่าสงสัย หลังจากจับตาดูผู้รับใช้และเถ้าแก่แล้วก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเช่นคราก่อน...” ไป๋หยุนเฟยครุ่นคิดในใจขณะที่เหยียดกายบนเตียง “ข้าเตรียมสิ่งของที่จำเป็ไว้พร้อมแล้ว เพื่อความปลอดภัยข้าต้องออกจากที่นี่ไปยังเมืองชุ่ยหลิวที่สุดเขตมณฑลฉิงหยุนในวันพรุ่งนี้แต่เช้า จากนั้นค่อยไปยังมณฑลเป่ยเหยียน เมื่อนั้นจึงจะนับว่าปลอดภัยได้บ้าง!”
“เมืองชุ่ยหลิว... หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักหลิวขจี?(*)” ถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ต้องครุ่นคิดถึงชิวลู่หลิวและฉู่อวี้เหอแห่งสำนักหลิวขจี ก่อนที่เงาร่างงามระหงในชุดครามสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ ชั่วพริบตาไป๋หยุนเฟยกลับกลายเป็ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย
ผ่านไปเนิ่นนานไป๋หยุนเฟยจึงลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ มันสั่นศีรษะเย้ยหยันตนเองพลางกล่าวพึมพำ “ข้าคิดฟุ้งซ่านอันใดกัน? ยากจะอธิบายนัก... ยามนี้ข้าต้องหลบหนีเอาชีวิตรอด! การทุ่มเทเวลามุ่งพัฒนาฝีมือและออกจากมณฑลฉิงหยุนอย่างปลอดภัยจึงเป็สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้”
เช้าตรู่วันต่อมา ไป๋หยุนเฟยที่ฟื้นตื่นจากการฝึกปรือฝีมือระบายลมหายใจออกอย่างเชื่องช้าจากนั้นจึงลุกออกจากเตียง หลังจากฝึกซ้อมฝีมือเล็กน้อยก็ถอนหายใจด้วยความขุ่นข้อง “โธ่! หากไม่ใช้กระบวนการอัพเกรดเพื่อเร่งการฝึกปรือพลังิญญาของข้าก็เพิ่มพูนได้เชื่องช้านัก! ช่างย่ำแย่นักที่ยามนี้ข้ายังไม่กล้าใช้กระบวนการอัพเกรดจนหมดสติเพื่อเพิ่มพูนพลังิญญา...”
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมไป๋หยุนเฟยก็หาซื้อซาลาเปารับประทานเป็อาหารเช้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศใต้
หลังจากเดินเท้าเช่นคนทั่วไปเป็ระยะทางหลายลี้ไปตามถนนใหญ่และตรอกซอยสายหลัก สีหน้ามันก็แปรเปลี่ยนเป็ปั้นยาก
“ข้าถูกสะกดรอยตาม... บัดซบ! ไฉนเป็เช่นนี้? ไฉนไม่ว่าข้าจะระวังตัวเพียงใดพวกมันก็ยังพบเห็นข้าทุกครั้งไป?!” ไป๋หยุนเฟยสาปแช่งในใจ หลังจากพ้นประตูเมืองมามันก็พบเห็นบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าผู้ที่สะกดรอยตามมันจะระมัดระวังตัวเพียงใดแต่จิตััของผู้บรรลุด่านวีรชนเช่นไป๋หยุนเฟยก็ยังพบเห็นคนผู้ได้อย่างรวดเร็ว
“มันสะกดรอยตามข้ามา แต่กลับไม่มีผู้ใดเข้ามาสกัดขัดขวาง หรือข้าคาดเดาผิดไป หรือมันไม่ใช่คนของตระกูลจาง? หรือเป็เพราะพวกมันทราบว่ามีคนไม่เพียงพอที่จะขัดขวางข้าได้ จึงลอบติดตามข้าเพื่อรอกำลังเสริมก่อนจะลงมือ? แต่ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็ใคร ทางที่ดีข้าต้องระวังตัวและสลัดมันให้หลุดโดยเร็ว!”
ขณะไปถึงทางแยก ไป๋หยุนเฟยก็พลันเร่งความเร็วพุ่งกายเข้าไปในตรอกด้านขวา อีกทั้งท่าร่างของมันยิ่งมายิ่งรวดเร็ว เพียงไม่กี่ลมหายใจก็สาบสูญไปที่มุมถนนไม่ไกลทางด้านหน้า
ชั่วขณะที่ไป๋หยุนเฟยเลี้ยวเข้าตรอกไป ชายร่างเล็กแต่งกายธรรมดาที่ผ่านทางมาบนถนนสายหลักก็กลับกลายเป็ตะลึงงัน ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจ “มันพบเห็นข้าแล้ว? ไม่น่าแปลกใจที่มันสามารถหลุดรอดเงื้อมมือผู้าุโจางได้... เช่นนี้แล้วข้าสมควรไล่ตามมันไปหรือไม่?”
หลังจากใคร่ครวญชั่วครู่ คนผู้นี้ก็สั่นศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหันกายจากไปอีกทิศทาง “ข้าติดตามมันเพื่อชี้ทางให้เหล่าผู้าุโติดตามมาเท่านั้น เนื่องเพราะฝีมือข้าไม่อาจสยบมันได้ ยามนี้มันพบเห็นข้าแล้วหากยังติดตามไปอีกรังแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง อีกอย่างข้าทราบเส้นทางของมันแล้ว เพียงรอเหล่าผู้าุโจากสำนักมาไล่ตามด้วยตนเองเถอะ!”
หลังจากพ้นจากหัวมุมถนน ไป๋หยุนเฟยก็ซ่อนอยู่ด้านหลังไหล่เขาอยู่เนิ่นนาน แต่กลับไม่เห็นผู้ใดไล่ตามมา มันรอคอยอีกชั่วครู่ก่อนจะส่ายศีรษะหันกายเดินทางต่อไป
“เป็ไปได้ว่าข้าหวาดระแวงเกินไป... บางทีอาจจะเป็แค่โจรลักเล็กขโมยน้อยธรรมดาก็ได้...”
ไป๋หยุนเฟยที่ไม่ทราบว่าเป็เื่ราวใด จึงเดินเตร็ดเตร่ไปถึงหน้าประตูสำนักธารน้ำแข็งเช่นนี้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างไร้เื่ราว...
… … … …
วันต่อมา ยามที่จางเจิ้นซานและหลิวเฉิงกลับถึงที่พักในเมืองไป๋เฟิงพร้อมกัน ก็ได้รับรายงานจากบริวาร --- บุรุษที่พวกมัน้าตัวนามว่าไป๋หยุนเฟยมาถึงเมืองไป๋เฟิงเมื่อวานซืน ก่อนจะออกจากเมืองไปเมื่อวานยามเช้าตรู่!
ขณะที่จางเจิ้นซานและหลิวเฉิงได้รับข่าว ทั้งคู่ถึงกับตะลึงงัน ครู่ต่อมาจางเจิ้นซานจึงแค่นเสียงเ็ากล่าวว่า “เ้าผู้เยาว์ไป๋หยุนเฟยคนนี้โอหังบังอาจเกินไปแล้ว! มิคาดว่ามันจะกล้ามาเดินเตร็ดเตร่ถึงใต้จมูกสำนักธารน้ำแข็งเรา! ข้าจะออกไปในบัดดล ครานี้ต้องไม่ปล่อยให้มันหลบหนีได้อีก ข้าจะให้มันชดใช้ต่อการตายของบุตรชายข้าด้วยชีวิต!!”
“ช้าก่อนพี่จาง!” หลิวเฉิงกดไหล่จางเจิ้นซานเอาไว้ “หรือท่านลืมเลือนคำสั่งท่านเ้าสำนักแล้ว?! นี่ไม่ใช่เื่ส่วนตัวของท่านอีกต่อไป ยามนี้เื่ราวกลับเกี่ยวพันถึงอนาคตของทั้งสำนักเราแล้ว!”
เมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวปั้นยากของจางเจิ้นซาน หลิวเฉิงจึงถอนหายใจก่อนจะกล่าวตักเตือนต่อ “ด้วยสภาพจิตใจของท่านยามนี้ยังไม่สมควรจะไล่ตามมันไป หากท่านพลั้งมือสังหารมันไปด้วยความโกรธแค้น เ้าสำนักต้องถามหาความรับผิดชอบจากท่าน เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ไม่อาจวิงวอนของความเมตตาแก่ท่านได้...”
“ข้าเห็นว่าท่านสมควรให้ข้าจัดการเื่นี้!” เมื่อเห็นว่าจางเจิ้นซานสงบใจลงทีละน้อย หลิวเฉิงจึงกล่าวต่อ “ท่านไม่ต้องกังวล หลังจากพวกเราทราบความลับที่้าแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับมันก็ได้!”
สีหน้าจางเจิ้นซานแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง สุดท้ายจึงถอนหายใจแ่เบากล่าวว่า “ตกลง ข้าจะเชื่อฟังท่านไม่ยุ่งเกี่ยวเื่นี้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย แต่ท่านจะจัดการกับมันอย่างไร? คนผู้นี้จิตใจเข้มแข็งเหนือธรรมดา หากท่านคิดจะคร่ากุมมาเพื่อเค้นถาม เกรงว่าจะไม่ประสพผล...”
“มิผิด วิธีการจับกุมมาทรมานให้สารภาพสมควรใช้เป็วิธีสุดท้าย พวกเราจึงต้องวางอุบายต่อมัน... ทำให้มันเผยความลับด้วยตนเอง!” กล่าวถึงตรงนี้หลิวเฉิงก็เงียบงันไปชั่วครู่ ราวกับใคร่ครวญถึงข้อมูลเกี่ยวกับไป๋หยุนเฟย
“ยามที่มันอยู่ในเมือง ไม่เพียงแต่ซื้อหาแผนที่ของทั้งอาณาจักร แต่ยังมีแผนที่อย่างละเอียดของมณฑลฉิงหยุน มณฑลเป่ยเหยียนและมณฑลผิงชวน จึงเป็ไปได้อย่างมากว่าที่หมายแรกของมันคือมณฑลเป่ยเหยียน”
“ถ้าเช่นนั้น เป็ไปได้อย่างยิ่งที่มันจะไปยัง...เมืองชุ่ยหลิว”
———
(*) ชุ่ยหลิวแปลว่าต้นหลิวสีเขียว หรือในเื่แปลว่าหลิวขจี เป็ทั้งชื่อเมืองและชื่อสำนักครับ
