ไม่นานนักไป๋ลู่ก็ออกมาจากเขตประตูจวนโหว โดยสวมเสื้อคลุมตัวใหม่ที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต สีและลวดลายนั้นเหมาะสมกับไป๋ลู่เป็อย่างมาก
สีเขียวอ่อนที่แซมด้วยลวดลายสีเงินอันวิจิตร ช่วยขับเน้นความงดงามและสง่างามได้อย่างลงตัว เสื้อคลุมตัวนี้ไม่เพียงให้ความอบอุ่น แต่ยังเสริมให้นางดูโดดเด่น
ถือว่าคราวนี้ท่านโหวเลือกได้อย่างเหมาะเจาะ ราวกับรู้ใจว่าภรรยาของตนนั้นเหมาะสมกับสิ่งใด
เมื่อได้พูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านหลายคน นางจึงรับรู้ถึงปัญหาที่ฝังรากลึกในแดนเหนือแห่งนี้ ฤดูหนาวที่รุนแรงและยาวนานทำให้พวกเขาไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ และเสบียงที่เตรียมไว้ั้แ่่ฤดูร้อนนั้น มันไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตตลอด่หน้าแล้ง
หลายครอบครัวต้องอดอยาก และบางครั้งถึงขั้นต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของอันมีค่าที่เหลืออยู่เพื่อความอยู่รอด
ไป๋ลู่ไม่รอช้า นางสั่งให้คนในจวนเบิกเสบียงส่วนหนึ่งที่เก็บสะสมไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และนำมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านโดยที่ไม่ได้ปรึกษาท่านโหวเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางความตกตะลึงของบ่าวไพร่ในจวน
“หากคนในจวนโหวอยู่กันอย่างอิ่มหนำ แต่ปล่อยชาวเมืองต้องอดอยาก นั่นคงจะมิใช่เื่ดีแต่อย่างใด”
นอกจากการแจกจ่ายเสบียงแล้ว ไป๋ลู่ยังตัดสินใจที่จะใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อช่วยชาวบ้าน นางเรียกกลุ่มหญิงชาวบ้านมารวมตัวกัน พร้อมแสดงวิธีการถนอมอาหารแบบง่ายๆ ด้วยการดองผักในน้ำเกลือ การตากแห้งเนื้อสัตว์ และการทำปลาเค็ม
ไป๋ลู่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและยังสาธิต ลงมือทำให้ดูเป็ตัวอย่าง วิธีการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยยืดอายุอาหาร แต่ยังเป็การเพิ่มโอกาสให้ชาวบ้านสามารถกักตุนเสบียงไว้ใช้ในฤดูหนาวในปีต่อๆ ไปได้
“ปีหน้าพวกเ้าจะไม่ต้องกลัวอดอีกต่อไป หากเรียนรู้วิธีถนอมอาหารเหล่านี้”
เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรม ไป๋ลู่นั้นรู้สึกพึงพอใจเป็อย่างมากในการฝึกสอนและช่วยเหลือชาวบ้านเื่เสบียง แม้จะรู้ว่าการกระทำครั้งนี้อาจทำให้ท่านโหวไม่พอใจ แต่นางก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ
หากท่านโหวปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับชาวเมืองเหนืออย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ปกป้องพวกเขาโดยการใช้แค่กำลังทหารเท่านั้น
ณ ชายแดนฝั่งเหนือ หวังจิ่นหรงกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูง สายตาคู่คมของเขาทอดมองลงมาเบื้องล่าง
เขได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ฮูหยินของเขาได้นำเสบียงในจวนไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านจนเกือบหมด แม้เนื้อหาของรายงานนั้นจะฟังดูเหมือนเป็เื่ร้ายแรง แต่คราวนี้ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงความโกรธเคืองแม้แต่น้อยอย่างที่ควรจะเป็
“หากฮูหยินทำแล้วมีความสุข ก็ให้นางทำต่อไปเถิด”
หน้าจวนโหว ไป๋ลู่และผิงผิงยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก เหล่าพ่อครัวแม่ครัวจากโรงครัวของจวนต่างช่วยกันนำอาหารที่ทำขึ้นโดยมีฮูหยินของจวนเป็แกนนำแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่มารวมตัวกันด้วยความหวัง
“เมื่อชาวบ้านเหล่านี้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะอยู่รอดในฤดูหนาวปีหน้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างจวนโหวและเมืองนี้จะยิ่งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปด้วย”
แม้ว่าเสบียงอาหารของในจวนจะลดน้อยลงไปมาก แต่ไป๋ลู่กลับรู้สึกมีความสุข รอยยิ้มหวานถูกยกยิ้มขึ้นมา ด้วยหวังว่าความเอื้อเฟื้อที่นางได้ทำลงไป จะงอกงามและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับนางในอนาคต
อีกฝั่งหนึ่งของจวนโหว สายตาของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืด ดวงตาสีทองคู่นั้นแอบมองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและยากจะอ่านออก
ภาพของไป๋ลู่ในตอนนี้แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง จากเด็กสาวที่เคยดูอ่อนโยนและเปราะบางในเวลาเดียวกัน ชวนให้รู้สึกอยากปกป้องในทุกย่างก้าว บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็ความเข้มแข็งและสง่างามจนเขาไม่อาจละสายตาได้
ไม่รู้ว่าอย่างไหนดีกว่ากันระหว่างความอ่อนโยนที่นางเคยมีกับเข้มแข็งที่เต็มเปี่ยมในตอนนี้
“ลู่เอ๋อร์ เ้าช่างเปลี่ยนไปมาก...”
หวังจิ่นหรงกำมือแน่นด้วยใจสับสนไปหมด ความเข้มแข็งที่ไป๋ลู่แสดงออกมาทำให้เขาภูมิใจในตัวนางมาก แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัว
“เ้าเข้มแข็งกว่าที่ข้าคาดคิดไว้มาก จนข้ากลัว... กลัวว่าวันหนึ่งเ้าอาจจากข้าไปไกลแสนไกล”
“ฮูหยินเ้าคะ! ท่านโหวกลับมาจากชายแดนแล้วเ้าค่ะ”ผิงผิงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวให้กับนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยหวังว่าสาเหตุที่นายหญิงของนางดูซึมเศร้าใน่นี้ สาเหตุอาจจะมาจากการที่ต้องห่างไกลกับท่านโหว
บ่าวคนนี้จึงคาดคิดไปเองว่าหากทำให้ทั้งสองได้เจอหน้ากัน สถานการณ์อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็อยู่ แต่ความจริงที่ผิงผิงไม่รู้ก็คือ ระหว่างไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง ยังคงมีบางเื่ที่ยังถกกันอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็เสมือนเชือกเส้นบางที่ขึงตึง พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ
ไป๋ลู่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด ั์ตาสีเทาอ่อนที่เคยสงบนิ่งของนางฉายแววสับสนชั่วขณะ
“เขากลับมาแล้วหรือ...”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเฉย แต่ไป๋ลู่นั้นกลับซ่อนความรู้สึกอันหลากหลายเอาไว้ในใจ
“เ้าคิดว่า...เขาอยากเจอข้าหรือไม่?”
“ฮูหยินเ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านโหวอยากพบท่านแน่นอนเ้าค่ะ บางที...นี่อาจเป็โอกาสที่ดีที่ท่านทั้งสองจะได้พูดคุยกัน”
จากนั้นไป๋ลู่ก็ออกไปนอกเรือนเพื่อพบหน้าท่านโหวที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน ใจนางอดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าเขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหม ยังคงเป็คนที่ปากเก่งและเย่อหยิ่งเช่นเดิมหรือไม่
แต่เมื่อไป๋ลู่มาถึงบริเวณหน้าจวน บ่าวหญิงต่างวิ่งกันไปมา สีหน้าของแค่ละคนนั้นดูใกันเป็อย่างมาก
“ฮูหยินเ้าคะ! แย่แล้ว ตอนนี้ท่านโหวป่วยหนักมาก ไข้สูงไม่ยอมลดเลยเ้าค่ะ!”
บ่าวรับใช้ในเรือนของหวังจิ่นหรงเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไป๋ลู่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะั้แ่หญิงสาวลู่ทะลุมิติเข้ามาในจวนโหวเป็เวลาหลายเดือน นางยังไม่เคยเห็นหวังจิ่นหรงล้มป่วยเลยสักครั้ง
"ดูท่าภัยหนาวที่ชายแดนจะโหดร้ายเหลือเกิน... แม้แต่บุรุษผู้แข็งแกร่งอย่างท่านโหว ยังต้องยอมศิโรราบให้กับมัน"
สภาพของหวังจิ่นหรงที่นอนซมอยู่บนเตียง มาดของท่านโหวผู้เหี้ยมโหดนั้นหายลับไปกับตา แม้ปากจะเอ่ยว่าอยากหย่า อยากไปให้พ้น ไม่้าพึ่งพาอาศัยเขาอีก แต่ในยามนี้กลับกลายเป็ไป๋ลู่เสียงเองที่ให้เขาได้พึ่งพิงอย่างไม่มีข้อแม้
“ท่านโหว ท่านพี่...” ไป๋ลู่เรียกเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงเพ้อจากพิษไข้ของเขา
“ลู่เอ๋อร์... ลู่เอ๋อร์ อย่าจากพี่ไป...”
หวังจิ่นหรงพึมพำเบาๆ ท่ามกลางความมืดของยามราตรี น้ำเสียงนั้นแ่เบาแต่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ทำให้หัวใจของไป๋ลู่กระตุกวูบ
“ลู่เอ๋อร์?”
เขากำลังเพ้อเพราะพิษไข้หรืออย่างไรกัน? ปกติแล้ว เขาไม่เคยเรียกข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อนเลย
ความรู้สึกบางอย่างที่นางพยายามกดเก็บไว้ กลับปะทุขึ้นมาจนแทบควบคุมไม่ได้
หลายวันผ่านไป ภายใต้การดูแลของไป๋ลู่อย่างใกล้ชิด อาการป่วยของหวังจิ่นหรงก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะหายสนิท
แม้เขาจะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว แต่เขายังคงแกล้งทำเป็นอนหลับเพื่อเฝ้าดูว่าฮูหยินของเขานั้นจะทำอย่างไรต่อไป
ไป๋ลู่เข้ามาเช็ดตัวให้เขาอีกครั้ง เมื่อเสร็จแล้ว ในขณะที่นางตั้งใจจะลุกออกไปจากห้อง
“หมับ!”
หวังจิ่นหรงคว้ามือของนางไว้แน่น ไป่ลู่หันหน้ามามองท่านโหวด้วยความปละหลาดใจ ไม่ใชว่าเขากำลังนอนหลับอยู่หรือ
“เ้าต้องปรนนิบัติข้า นั่นเป็หน้าที่ของภรรยา”
ไป๋ลู่สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหน้าแดงเรื่อ นางรีบตอบกลับด้วยความเขินอาย
“ใครจะไปร่วมเตียงกับท่าน! ข้ายังไม่พร้อม!”
“อย่าได้คิดเพ้อเจ้อไป เ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าแค่จะให้เ้าช่วยอาบน้ำให้ข้าเท่านั้น มันเป็หน้าที่ที่ภรรยาแต่งอย่างเ้าควรทำมิใช่หรือ?”
ใช่สิ... ท่านไม่เคยเห็นข้าเป็คนรักของท่านเลยสักครั้ง หากไม่มีความรักต่อกัน แล้วเราจะอยู่ร่วมกันไปเพื่ออะไร? หรือบางทีข้าควรพูดเื่หย่าให้มันชัดเจนเสียที จะได้ไม่ต้องทนอยู่อย่างไร้ความหมายเช่นนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้