ฉู่ลี่เดินจากไปทันที โดยมิได้ตอบคำถามของมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเบะปาก ข้องเขม็งไปด้านหลังของฉู่ลี่ พร้อมกับครุ่นคิดภายในใจ ตอนกลางคืนมองก็ไม่ชัด ยังกล้าเดินทางอีก
พอนึกถึงวัดสุ่ยอวิ๋น มู่อวิ๋นจิ่นกับขนลุกขนพองไปทั้งตัว
ต้นไม้พันปีต้นนั้นได้พันธนาการหรงเฟยไว้กับเสียงกลไกเตือนภัย ยามที่นึกถึงก็จนปัญญาจะรับมือ
แต่ในระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิด มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง
……
กระทั่งราตรีในคืนนี้มาถึงแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นได้นั่งเก้าอี้อยู่ในห้องนอน กลับมีเสียงคนเคาะประตูเบาๆ จากนั้นเสียงของติงเสี่ยนได้ดังขึ้นอย่างแ่เบา “พระชายาออกเดินทางได้แล้วขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” นางตอบอย่างเลือกไม่ได้
นางลุกขึ้นยืนมองควานหาเขือกเส้นหนึ่งรวบผมผูกไว้ด้านหลัง ส่วนเสื้อผ้านั้นใส่ที่สะดวกต่อการขยับตัวแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ที่ลานหน้าห้อง ฉู่ลี่ที่กำลังนั่งเก้าอี้หินจิบชา หันมองมาที่ประตูห้องของมู่อวิ๋นจิ่นที่เปิดออก
เขาถึงกับงงงวยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “เ้าแต่งตัวอะไรของเ้าเนี่ย? เปิ่นหวงจื่อ[1]ไม่ได้ไปฆ่าใครเสียหน่อย!”
แม้กระทั่งติงเสี่ยนยังมิอาจกลั้นให้หยุดหัวเราะได้ “พระชายา แต่งตัวได้เหมือนนักรบสตรี”
“ข้าเป็นักรบสตรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิ แม้ไม่ยินดีจะไปที่วัดสุ่ยอวิ๋น
“ไปกันได้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเดินนำหน้าฉู่ลี่ไป
ฉู่ลี่พยักหน้ารับ
ทั้งสามคนเดินออกจากประตูจวนด้านหลัง โดยมีรถม้าหยุดรออยู่
มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ขึ้นไปนั่งเป็ที่เรียบร้อย ติงเสี่ยนก็ดึงบังเหียนให้รถม้าเคลื่อน
ภายในรถม้าแสงไฟค่อนข้างคลุมเครือ ฉู่ลี่ก็ไม่ได้หยิบยกประจำตัวของมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นมา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ในความสลัวนั้น
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งกอดอกพิงพนักด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ไม่นานนัก รถม้าได้หยุดลงชั่วขณะ
“องค์ชาย พระชายา ถึงแล้วขอรับ” เสียงของติงเสี่ยนดังขึ้นจากด้านนอก
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น รีบพรวดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนเดินนำหน้าได้หันหลังกลับมามาองฉู่ลี่ “เ้ารอก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปนำโคมไฟมา
ฉู่ลี่ถึงกับคาดคิดไม่ถึง
หลังจากที่นางพรวดลงจากรถม้าก็รีบไปคว้าโคมไฟที่อยู่ในมือของติงเสี่ยนมา จากนั้นเปิดผ้าม่านออก ยื่นโคมไฟเข้าไปส่องสว่างด้านใน
ฉู่ลี่จึงเห็นทางและเดินลงจากรถม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นฉงนใจจึงเอ่ยถาม
“ไปห้องที่ท่านอาจารย์ท่านอาจารย์คงซื่อเคยพำนัก” ฉู่ลี่ตอบเสียงนิ่ง
พอมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินชื่อนั้น ขนทั้งตัวก็ลุกชูชันขึ้นมา “ยามวิกาลเช่นนี้ไปห้องของคนรู้จักเมื่อก่อน รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างไหม? ”
“มีองค์ชายอย่างข้าอยู่ทั้งคน เ้าจะกลัวทำไม?” ฉู่ลี่ย้อนถามพร้อมกับมองตาขวาง
มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับพูดไม่ออกที่ฉู่ลี่เอ่ยเช่นนั้น ทางเดียวที่ทำได้คือกอดอกทั้งสองข้าง เดินไปที่ห้องของท่านอาจารย์คงซื่อ
ในเวลานี้ ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนได้มายืนรอที่หน้าประตูตั้งนานสองนานแล้ว
“คารวะองค์ชายหก พระชายาหก” ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนเอ่ยแสดงความเคารพ
ฉู่ลี่พยักหน้า “ท่านอาจารย์ พวกเราเข้าไปด้านในกันเสียเถอะ”
“ได้”
จากนั้นท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนได้หยิบกุญแจขึ้นมาหนึ่งดอก ไขกุญแจที่ห้องซือหย่วน จนมีเสียงแก๊กดังขึ้นแล้วผลักประตูให้เปิดออก
ภายในห้องซือหย่วน เต็มไปด้วยความมืดมิดปกคลุมทั้งหมด
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนได้จุดโคมไฟที่เตรียมไว้แล้วให้โชติ่ขึ้น และมีติงเสี่ยนช่วยนำทางเข้าไป
พอก้าวเข้ามาด้านใน มู่อวิ๋นจิ่นพบว่าการตกแต่งในห้องนี้เป็ไปอย่างเรียบง่ายเหลือเกิน โดยมีหนึ่งเตียงนอนที่วางเปล่า กับหนึ่งชั้นหนังสือที่วางชุดคัมภีร์ไว้บนนั้น
หลายคนต่างกวาดสายตาจ้องมองที่คัมภีร์เล่มนั้น
ด้วยความใคร่รู้มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านสองสามหน้า พบว่าหน้าปกชุดคัมภีร์เหมือนมีบทสวดเขียนเอาไว้
เมื่อเห็นชุดคัมภีร์วางอยู่ นางยื่นมือหมายจะดึงออกมาดูเสียเล่มหนึ่ง
ฉู่ลี่กับท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นจนหันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมาย
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาเปิดอ่านด้วยความกระหายใคร่รู้
เพราะว่าคัมภีร์เล่มนี้ใช้เลขอารบิกเขียนกำกับเลขหน้า
สิ่งนี้ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นแปลกใจขึ้นไม่น้อย แอบคิดในใจว่า หรือท่านอาจารย์คงซื่อจะมาจากยุคปัจจุบันเหมือนนาง?
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากขึ้นเล็กน้อย การที่คนในยุคศตวรรษที่สิบเอ็ดอย่างนางมาอยู่ที่นี่ได้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งนางคิดมาเท่าไหร่ ก็ยิ่งใคร่รู้ว่าท่านอาจารย์คงซื่อเป็ใครกันแน่
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเปิดคัมภีร์ดูไปทีละหน้าด้วยความอดทน ทีละหน้าๆ จนกระทั่งเปิดได้เกือบร้อยหน้า จู่ๆ นางก็เห็นตัวอักษรโรมันปรากฏขึ้นสองตัว คือ F และW
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแน่น ปิดคัมภีร์เล่มนั้นเข้าหากัน พยายามจะมองหน้าปกคัมภีร์ แต่กลับเป็ปกที่ว่างเปล่าไร้ตัวอักษรโรมัน
“F.W.” มู่อวิ๋นจิ่นอ่านพึมพำได้ยินเพียงคนเดียว อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเสียงกลไกเตือนภัยในยุคปัจจุบัน
ในยามค่ำคืน เสียงกลไกเตือนภัย ค่ายกล F. กับ W.
มู่อวิ๋นจิ่นคิดมาถึงตรงนี้ ในหัวสมองของนางได้นำเื่ราวต่างๆ มาปะติดปะต่อร้อยเรียงเข้าด้วยกัน
ไม่กี่อึดใจมู่อวิ๋นจิ่นมีความคิดที่แปลกประหลาดขึ้นมา
F.W. ล้วนเป็รหัสบางอย่าง หากนางจำไม่ผิดแล้วละก็
F.W. น่าจะเป็ตัวย่อของ เซอร์วิลเลียมเฮอร์เชลนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษท่านหนึ่ง ผู้ค้นพบว่าแสงอาทิตย์ที่ตามองเห็นมีรังสีอินฟราเรด ซึ่งมีความยาวคลื่นมากกว่าแสงแดดในแถบสเปกตรัม ด้วยเหตุนี้ทำให้สายตาของผู้คนมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เพราะฉะนั้น หากมีใครขยับเข้าไปใกล้ััเพียงเล็กน้อย เสียงกลไกเตือนภัยจะดังในฉับพลัน
ในความจริงแล้ว รังสีอินฟราเรดก็ง่ายต่อการทำลาย แต่ว่าค่ายกลได้ขัดขวางการเข้าไปด้านในห้อง เห็นทีท่านอาจารย์คงซื่อได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดให้กับสิ่งนี้
ท่านอาจารย์คงซื่อท่านนี้ช่างเป็ดั่งเทพเซียนเหลือเกิน
มู่อวิ๋นจิ่นคิดมาถึงตรงนี้ ทุกเื่ราวกลับชัดเจนกระจ่างในความเข้าใจของนางทั้งหมด นางมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าท่านอาจารย์คงซื่อท่านนี้ต้องมาจากยุคปัจจุบันเช่นเดียวกันแน่นอน
“มู่อวิ๋นจิ่น เ้าเข้าใจทุกอย่างแล้วใช่ไหม?”
ั้แ่ที่นางแสดงออกทางสีหน้าทุกครั้ง ฉู่ลี่ล้วนจับจ้องอยู่ตลอด โดยเริ่มั้แ่ที่นางแปลกประหลาดใจ จนกระทั่งใบหน้าแสดงความเข้าใจเื่ราว ฉู่ลี่ทราบได้ในฉับพลันว่านางต้องทราบความลับเกี่ยวกับค่ายกลเข้าแล้ว
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงของฉู่ลี่ผ่านเข้ามาในโสตประสาท สติสัมปชัญญะก็กลับมามองบรรยากาศรอบตัว
ดูท่าแล้ว เขาต้องสงสัยใจตัวองนาง
“อาตมาเคยอ่านคัมภีร์เล่มนี้มาก่อน ทว่าบนคัมภีร์มีอักษรแปลกประหลาด ที่อาตมามิอาจเข้าใจได้ ”
“เห็นทีในวันนี้ พระชายาหกได้ไขข้อกระจ่างในจุดนี้ได้แล้ว?”
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นท่านอาจารย์กับองค์ชายหกลงความเห็นไปในทางเดียวกัน ก็มิอาจเอ่ยปากปฏิเสธ ได้แต่ตอบด้วยสายตาแน่นิ่ง “หลักของค่ายกลนั้น บางทีอวิ๋นจิ่นอาจทราบแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด”
นางเคยรับงานพิเศษที่เกี่ยวกับรังสีอินฟราเรดที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่การที่ย้อนกลับมาในอดีตเป็พันปี ย่อมไม่มีใครรู้ถึงสิ่งเหล่านี้
“สิ่งที่ท่านอาจารย์คงซื่อทิ้งเอาไว้มีเพียงเท่านี้เหรอ?” มู่อวิ๋นจิ่นคิดในใจ
“ยังมีอีกห้องที่เป็แบบนี้ พระชายาหก้าให้อาตมาพาไปดูไหม?” ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนเอ่ยถาม
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ “พาไปดูหน่อยก็ได้”
เมื่อเดินไประหว่างทางในห้องเก็บห้อง ฉู่ลี่เบะปากขมวดคิ้ว ชำเลืองสายตามองมู่อวิ๋นจิ่น “เ้ามั่นใจใช่ไหม?”
“ต้องดูว่าห้องนั้นเป็อย่างไรก่อนถึงจะรู้” มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเดินเข้าไปด้านใน
ท่านอาจารย์หยวนไฮ๋หยวนพามู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในห้องพบหีบใบใหญ่วางอยู่ด้านข้าง เมื่อเปิดหีบออกแล้วได้กล่าวว่า “นี่เป็สิ่งของที่ท่านอาจารย์คงซื่อเหลือทิ้งเอาไว้”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ จากนั้นยื่นมือลงไปพลิกสิ่งของเพื่อเปิดดู
ในหีบ้าเต็มไปด้วยจีวรและประคำมากมายปะปนกัน มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกหงุดหงิดที่เปิดเจอแต่สิ่งเ่าั้ จนตัดสินใจยิ่นมือลงไปควานด้านล่าง
ในที่สุดนางก็ค้นสิ่งของในหีบจนหมด ทว่ากลับไม่พบสิ่งของที่นางคิดไว้
“ไม่มีเหรอ?” ฉู่ลี่ก้าวเดินไปดูด้วยความฉงน
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า ถอนหายใจ ด้วยความผิดหวัง จากนั้นยื่นมือลงไปควานหาของในหีบเปิดดูอีกรอบ
เมื่อหยิบจีวรชิ้นสุดท้ายออกมา มู่อวิ๋นจิ่นมองดูด้วยความใและร้องอี๋ออกมา จากนั้นจับจีวรผืนนั้นฉีกออกเป็สองส่วน
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนอยากร้องห้ามปรามเอาไว้ แต่ฉู่ลี่ยืนอยู่ด้วย จึงได้แต่ยืนมองเพียงเท่านั้น “อมิตาพุทธๆๆ”
หลังจากที่จีวรถูกฉีกออกก็มีแผ่นกลมเล็กสีดำร่วงหล่นลงมา มู่อวิ๋นจิ่นก้มตัวลงไปเก็บมองดูอย่างพินิจ
จากนั้นชี้นิ้วไปด้านนอก “ไป ไปห้องกลไก”
……
หลังจากนั้น พวกเขาต่างพากันไปที่ด้านหน้าค่ายกล
มู่อวิ๋นจิ่นจับแผ่นกลมสีดำนั้นไว้แน่นถนัด เป่าลมแ่เบาลงไปและใช้ชายเสื้อขัดเช็ดไปมา
จากนั้นยกแผ่นกลมสีดำขึ้นมา มองรอดผ่านช่องไป
ทุกอย่างเป็อย่างที่มู่อวิ๋นจิ่นคาดเดาไว้ นางเห็นลำแสงสีแดงไขว้กันไปมาอย่างซับซ้อน
ที่แท้เสียงกลไกเตือนภัยมาจากเส้นลำแสงสีแดงนี่เอง
มู่อวิ๋นจิ่นเก็บแผ่นกลมสีดำลงไป ในเมื่อเสียงกลไกเตือนภัยยังทำงานอยู่ นั่นแสดงว่าต้องมีห้องควบคุมอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่ง
มิอย่างนั้นเสียงกลไกลเตือนภัยมิอาจจะดังขึ้นมาได้
คิดได้ดังนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเบือนปากเผยอยิ้ม ส่ายหน้าด้วยความจำใจ ท่านอาจารย์คงซื่อย้อนเวลามาในอดีตต้องประดิษฐ์นี่นั่นไม่น้อย โดยนำความรู้ทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาใช้ในยุคโบราณ
“เ้าดูสิ” มู่อวิ๋นจิ่นยื่นแผ่นกลมสีดำให้ฉู่ลี่ดู
ฉู่ลี่มองรอดช่องสีดำนั้นไปดูว่าจะมีสิ่งใดอยู่เบื้องหน้า
พริบตาเดียว สีหน้าฉู่ลี่ก็เปลี่ยนในฉับพลัน
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนเกิดความใคร่รู้ จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “องค์ชายให้อาตมาดูบ้าง”
ฉู่ลี่ยื่นแผ่นกลมสีดำไปให้ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนดู
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนรับแผ่นกลมสีดำมาดู พร้อมกับร้องด้วยความใ “ในใต้หล้ายังมีค่ายกลที่ลึกลับอัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียว!”
“นี่มันคือสิ่งใดกันแน่? เหตุใดดวงตาถึงสามารถมองสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้?” ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนเอ่ยอย่างใคร่รู้
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากแน่นเล็กน้อย “จะให้อธิบายโดยใช้เวลาอันสั้นเกรงว่าจะไม่ได้ ห้องกลไกย่อมมีกลไกบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่กระมัง?”
“มีสิ มันคือลำแสงสีแดงนั่นแหละ” ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนชี้ไปที่ลำแสงสีแดงที่ไขว้ไปมา
[1] เปิ่นหวงจื่อ สรรพนามที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้