ในวันที่หกเดือนสิบ หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเป็วันที่สอง
หิมะตกแล้ว
หิมะตกครั้งแรกเป็สัญญาณของการเข้าสู่เหมันต์อย่างเป็ทางการ
ผ้าหลากสีที่แขวนไว้บนูเากระดูกโดนหิมะปกคลุมจนกลายเป็สีขาวโพลน ทำให้ทั้งูเาดูศักดิ์สิทธิ์ดุจวิหารของเทพเซียน
เฉินโย่วที่ยังคงหลับใหลพลันตื่นขึ้นอย่างมึนงงด้วยเสียงอึกทึก นางเห็นว่าพี่ชายและพี่อู่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ชุดที่พี่ชายสวมแม้จะดูหนาไปสักหน่อย บนร่างสวมชุดยาวที่ทอจากขนสัตว์ บนคอก็พันผ้าพันคอที่ทอจากขนสัตว์ด้วยเช่นกัน แต่รวมๆ แล้วทำให้เขาดูรูปงามนัก
พี่อู่ยังคงแต่งตัวเรียบง่ายไม่ต่างจากวันปกติ เขาร่างกายแข็งแรงยิ่ง ทั้งยังไม่กลัวหนาวแม้แต่น้อย
เด็กหญิงยังคงทำตาปรือ ไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนเท่าใดนัก
เด็กหญิงหันหน้าไปมองก็เห็นว่ากระทั่งพี่สวินที่ยังตาปรือก็ถูกพี่อู่ฉุดขึ้นมาเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นพี่สวินก็ยังคงนั่งสัปหงกต่ออยู่ดี
เมื่อเห็นว่าพี่สวินน่าเวทนายิ่งกว่านางเสียอีก นางก็พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทว่านางก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ไม่นาน สุดท้ายก็โดนพี่ชายลากให้ลุกขึ้นมาเช่นกัน
“ด้านนอกหิมะตกแล้ว น้องสาวรีบลุกขึ้นมาเร็ว อีกประเดี๋ยวพวกเราจะออกไปกันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเก็บบุปผาน้ำแข็งได้” เสี่ยวอู่กล่าวขึ้นเสียงดัง
“พี่อู่โกหกเ้าแล้ว บุปผาน้ำแข็งอะไรกัน มีแต่ในตำนานทั้งนั้น” อาสวินที่ยังไม่ตื่นดีกล่าวขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ท่าทางดูไม่สงบเสงี่ยมเช่นปกติ
“แต่ว่าพวกท่านผู้เฒ่าเล่ามาเช่นนี้นี่นา ยามหิมะแรกโปรยปราย หากเราได้พบบุปผาน้ำแข็ง ปีนั้นเราก็จะโชคดีไปทั้งปี ทั้งบุปผาน้ำแข็งยังเป็ยาวิเศษ ไม่ว่ารอยแผลเป็จะน่าเกลียดเพียงใดก็รักษาได้” เสี่ยวอู่โต้ขึ้นอย่างมั่นใจ ไร้ความเคลือบแคลง
อาลู่มองเสี่ยวอู่กับอาสวินปะทะฝีปากกัน เขาเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ส่วนมือนั้นก็ยังไม่หยุดดึงเด็กหญิงให้ลุกขึ้นมา
เขาไม่เชื่อเื่บุปผาน้ำแข็งเท่าใดนัก ชอบเพียงแค่เวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับน้องชายน้องสาวเท่านั้น โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้
ไม่นานทุกคนก็แต่งตัวเรียบร้อย
ยามนี้บนูเาทอผ้าเองได้แล้ว กระโปรงที่เฉินโย่วสวมอยู่ตอนนี้แม้จะบางแต่ก็อบอุ่นนัก ราชครูเป็คนคัดขนแกะให้เป็พิเศษแล้วจึงให้คนบนูเาช่วยกันทอขึ้น
ผ้าขนแกะพวกนี้เป็แบบเดียวกันกับที่ขายให้คนข้างนอก
เหล่าปาก็ตื่นแล้วเช่นกัน เมื่อครู่จึงได้ยินเื่ที่เด็กๆ กล่าวว่าจะออกไปหาบุปผาน้ำแข็งกัน ใบหน้าของชายชรามีรอยยิ้มจางๆ คิดในใจว่าเด็กเหล่านี้ยังเยาว์นัก คงแค่อยากจะเล่นหิมะกระมัง
ถึงแม้จะหาไม่เจอแต่เขาก็ไม่กล้าหัวเราะพวกเด็กๆ อยู่ดี ถึงอย่างไรเขาก็ยังเชื่อว่าไม่มีทางหาพบ เพราะเื่นี้เป็แค่เื่หลอกเด็กเท่านั้น ทว่าเขาก็ชอบที่เด็กๆ ดูกระตือรือร้นเช่นนี้
“รีบไปเสีย อีกประเดี๋ยวข้าจะทำอาหารเช้าไว้รอพวกเ้า”
เฉินโย่วน้อยจูงมือพี่ชายแล้วจึงพยักหน้ารับทราบ “ตกลงเ้าค่ะ ท่านอาปา ตอนเช้าข้าอยากกินน้ำแกงแกะ น้ำแกงแกะอร่อยยิ่งนัก”
เหล่าปาได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความยินดี วันนี้ยังมีกระดูกจากเมื่อคืนเหลืออยู่ เอามาตุ๋นน้ำแกงแล้วดื่มในวันหนาวๆ เช่นนี้คงจะอุ่นกายไม่เบา
อาลู่ผลักประตูกระท่อมให้เปิดออก นอกกระท่อมไม่มีทุ่งหญ้าสีทองอีกแล้ว มีแต่เพียงท้องทุ่งสีขาวโพลน สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาจึงมีเพียงสีขาวอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อคืนหิมะตกยาวนานตลอดคืน หิมะตกต้องตามฤดูกาลเช่นนี้ย่อมเป็นิมิตหมายอันดีในการเก็บเกี่ยว
ปีหน้าต้องเป็ปีที่ดีแน่
เหล่าปามองเด็กทั้งสี่เดินออกจากกระท่อมไปพร้อมกับรอยยิ้มเต็มหน้า
ยามที่ประตูถูกผลักออก สายลมเย็นๆ พลันพัดเข้ามา ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างไร กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาด้วยซ้ำ
เหล่าปาจึงสวมผ้ากันเปื้อนแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร
สาเหตุที่เขาสวมผ้ากันเปื้อนนั้นไม่ใช่เพราะเกิดนึกพิถีพิถันขึ้นมา แต่เป็เพราะชุดผ้าขนสัตว์ที่เพิ่งได้มาใหม่นี้ ยามสวมแล้วเขาก็รู้สึกกังวลใจนัก กลัวว่าจะทำเลอะ
ชุดนี้เป็ชุดที่เฉินโย่วให้เหล่าแม่นางบนูเาทำให้เขาเป็พิเศษ โดยตัดให้พอดีกับหลังที่ปูดนูนขึ้นมาของเขา ชุดนี้จึงมีเพียงแค่ชุดเดียว ทั้งยังเป็สิ่งที่เด็กหญิงตั้งใจทำให้เขา
ด้านนอกกระท่อมอาลู่จะอุ้มเฉินโย่วขึ้นมา แต่เฉินโย่วกลับปฏิเสธอย่างองอาจ
“ข้าอยากจะเดินเอง” เด็กหญิงกล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น
หิมะยังคงโปรยปราย ผมจุกน้อยๆ ของเฉินโย่วบัดนี้ได้ถูกหมวกใบน้อยสีแดงครอบไว้ บนหมวกยังมีหิมะสีขาวเกาะอยู่
ร่างน้อยสวมชุดขนสัตว์สีขาว ด้านนอกสวมชุดคลุมมีหมวกสีแดงทับไว้ ยามเดินย่ำลงไปบนหิมะจึงงดงามเกินจะหาคำใดมาบรรยาย
อาสวินยังคงทำตาปรือเพราะยังสะลึมสะลืออยู่ ในใจก็นึกอิจฉาน้องสาวที่มีคนอาสาจะอุ้มนาง
เขานั้นไม่อยากจะเดินเองเลยด้วยซ้ำ ทว่าหากเขาเอ่ยปาก พี่ชายแสนทึ่มของตนอย่างพี่อู่จะต้องยอมแบกเขาแน่ๆ ทว่าพี่ลู่คงจะไม่ยอม
อาสวินจึงได้แต่คิด แล้วเดินตามพวกเขาไป
ไม่นานนักเฉินโย่วก็เริ่มะโโลดเต้น รอยเท้าบนพื้นหิมะจึงเป็รอยลึกบ้างตื้นบ้าง คดเคี้ยวไปตลอดทาง
ยามนี้ยังเช้านัก
กระทั่งฟ้าก็ยังไม่สว่างด้วยซ้ำ
แต่ว่าเพราะมีหิมะตก ทั่วทั้งฟ้าดินจึงมีเพียงสีขาวรวมกันเป็เนื้อเดียว ราวกับพวกเขาได้ไปเยือนอีกโลกหนึ่ง
เด็กทั้งสี่คนเดินไม่เร็วและไม่ช้า ทว่ากลับพบแต่หิมะและหิมะเท่านั้น ไม่ยักจะเห็นบุปผาน้ำแข็งในตำนาน
อาลู่เดิมทีก็ไม่ได้มีความหวังว่าจะหาเ้าดอกไม้นั่นเจอ เพียงแค่อยากจะพาเหล่าน้องชายน้องสาวออกมาเดินเล่นเท่านั้น อีกทั้งเขายังชอบดูหิมะ ทว่าเพียงเดินไปได้พักหนึ่งอาสวินก็มีท่าทีลิงโลดขึ้นมา
ในมือปั้นหิมะก้อนหนึ่งปาใส่เสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่หนังหนา หิมะแค่นี้จึงไม่อาจระคายผิวเขาได้ ทว่าเฉินโย่วเมื่อเห็นว่าพี่สวินรังแกพี่อู่ก็รีบปั้นหิมะปาใส่พี่สวินคืน
แม้แต่อาลู่ก็เริ่มกอบหิมะขึ้นมาปั้น แล้วเริ่มปาใส่คนอื่น
ทุกคนจึงพากันลืมเื่ที่ออกมาตามหาบุปผาน้ำแข็งกันหมด ต่างคนต่างเร่งปั้นก้อนหิมะมาปาใส่กัน
อาลู่เพราะต้องเป็พี่ชายคนโต ยามปกติจึงต้องทำตัวเป็ผู้ใหญ่อยู่เสมอ ทั้งที่ความจริงเขาก็ยังคงเป็เพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น
บัดนี้ยามที่เขายิ้มกว้างจนเห็นรอยบุ๋มตรงมุมปาก จึงทำให้ทั้งใบหน้างดงามนัก
บนพื้นที่หิมะทับถมกันสูงเช่นนี้ ต่อให้ปาหิมะกันจนล้มลงก็ไม่เจ็บอันใด
กระทั่งเหล่าปาที่ทำอาหารอยู่ในกระท่อมก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นอยู่ด้านนอก เขายืนคนโจ๊กในหม้อไปก็ฮัมเพลงที่ตนก็ไม่รู้ชื่อไปพลาง
โจ๊กในหม้อนั้นทำจากข้าวขาวล้วนๆ แต่ละเม็ดอวบอ้วนนัก
เตาด้านข้างยังต้มน้ำแกงแกะไว้ เมื่อเริ่มเดือดกลิ่นของมันก็หอมฟุ้งขึ้นมา
เ้าอินทรีเสี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านล่างของสระกระดูก เมื่อได้ยินเสียงก็รีบบินออกไปหา
เ้าเสี่ยวอวี้หาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองได้แล้ว มันเป็ถ้ำที่อยู่บนหน้าผาที่ตั้งตระหง่านติดกับสระกระดูก
ปกติแล้วยามกลับมา มันก็จะมาอาศัยอยู่ที่นี่
ยามที่มันบินออกไปร่วมสนุกกับคนอื่นๆ เ้าาาม้าที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดก็ออกมาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน
เพียงพริบตาบรรยากาศพลันคึกคักยิ่งกว่าเดิม
เฉินโย่วน้อยนั้นช่างคล่องแคล่ว แม้ว่าอายุจะยังน้อย แต่ทักษะการหลบหลีกกลับยอดเยี่ยม
เสี่ยวอู่นับว่าเสียเปรียบที่สุด แม้ว่าทักษะการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ติดที่ร่างกายของเขานั้นแข็งแรงเกินไป จึงไม่กล้าออกแรงปาหิมะใส่ใคร ดังนั้นจึงได้แต่โดนคนอื่นๆ รุมปาหิมะใส่ตน
เมื่อมองร่างที่เต็มไปด้วยเศษหิมะของเสี่ยวอู่ เฉินโย่วก็พลันหัวเราะเสียงดัง
ทันใดนั้นนางจึงถูกพี่สวินปาหิมะใส่ ทันทีที่เสียงแผละดังขึ้น ร่างของเด็กหญิงพลันล้มลง
ตรงด้านข้างที่เด็กหญิงยืนอยู่นั้นบังเอิญเป็ทางลาดพอดี จึงทำให้ร่างของนางกลิ้งหลุนๆ ลงไป
ภาพเด็กหญิงกำลังกลิ้งหลุนๆ นั้นทำเอาเหล่าพี่ชายใจนขาอ่อน
น้องสาวกลิ้งไถลลงจากเนินลาดแล้วจึงหยุดลงเพราะชนเข้ากับเนินดิน
อาลู่พลันออกวิ่งไปตรงหน้าเด็กหญิง ทว่าฝีเท้าก็พลันต้องหยุดชะงัก
เพราะน้องสาวที่เพิ่งจะกลิ้งลงมาจากเนินลาดนั้น บัดนี้ได้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว ทั้งตรงหน้านางยังมีบุปผาน้ำแข็งดอกหนึ่ง
ดอกไม้ตรงหน้าย่อมเป็บุปผาน้ำแข็งในตำนานอย่างแน่นอน เพราะบัดนี้ทั้งฟ้าดินล้วนแล้วแต่เป็สีขาวโพลน มีเพียงเ้าดอกไม้ดอกนี้ที่เป็สีฟ้าเด่น อีกทั้งสีฟ้าของมันยังส่องประกายอ่อนโยนออกมา
อาสวินก็พลันตกตะลึง ตำนานเื่นั้นเป็เื่จริงหรือนี่
ใบหน้าของเสี่ยวอู่พลันปรากฏแววตื่นเต้น
“น้องสาวหาบุปผาน้ำแข็งเจอแล้ว ดียิ่งนัก”
เฉินโย่วที่เพิ่งกลิ้งลงมาจากเนิน บัดนี้ยังรู้สึกมึนอยู่เล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดอกไม้ดอกโตอยู่ตรงหน้าตน กำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“ดูท่าแล้วน่าจะรสชาติดีแน่ๆ เลย” เฉินโย่วกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ
เหล่าพี่ชาย “...”
“มันไม่ได้มีไว้กิน ตามตำนานเล่าว่าหากเห็นบุปผาน้ำแข็งสีฟ้า ก็หมายความว่าปีนี้ย่อมเป็ปีที่สงบสุข นอกจากจะเป็ดอกไม้แห่งความสงบสุข มันยังเป็ดอกไม้แห่งความงามอีกด้วย ว่ากันว่าดอกของมันใช้รักษารอยแผลเป็ได้” อาสวินอธิบายให้ทุกคนฟัง
“ทว่าหากไม่กินมันเสีย ยามพระอาทิตย์ขึ้นมันก็จะละลายหายไปอยู่ดี” เฉินโย่วกล่าวไปก็ชี้ไปยังขอบฟ้า
ขอบฟ้าเริ่มมีแสงตะวันแต่งแต้มขึ้นมาแล้ว
อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว
เ้าอินทรีเสี่ยวอวี้ก็พลันนิ่งค้าง
เ้าาาม้าก็พลันชะงักฝีเท้าเช่นกัน
สัญชาตญาณของสัตว์นั้นดีกว่ามนุษย์มาก พวกมันพากันหยุดอยู่หน้าแสงตะวันคงเพราะกำลังพยายามช่วยบังแสงเ่าั้ไม่ให้มาถึง
เฉินโย่วนับว่ามือเท้าว่องไวมาตลอด
เมื่อเห็นว่าแสงตะวันเริ่มสาดส่องลงมาบนทุ่งหญ้า นางก็รีบเด็ดเ้าบุปผาน้ำแข็งมาเก็บไว้
ยามที่นางกำลังเด็ดดอกไม้นั้น ทั้งเ้ามืดและเสี่ยวอวี้ที่กำลังหันหน้าหาแสงตะวันอยู่นั้นก็พลันหันกลับมามองนางอย่างพร้อมเพรียง
เ้าสัตว์สองตัวนี้แย่งกันจะมาที่นี่ให้ได้ ทั้งยังกางปีกยืดขาช่วยกันบังแดดก็เพราะบนผืนหิมะมีบุปผาน้ำแข็งงอกขึ้นมา อีกทั้งในมือของเด็กหญิงตอนนี้ยังมีเ้าบุปผาน้ำแข็งอยู่จริงๆ
ยามแสงแดดตกกระทบ ก็ปรากฏประกายแวววาวราวกับหยดน้ำออกมา
เพียงพริบตาก็เรืองรองไปทั้งสี่ทิศ ดูแล้วช่างงดงามอย่างน่าประหลาด จากนั้นก็ละลายหายไปกลางฝ่ามือของเฉินโย่ว เพียงพริบตาก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่
ทั้งอาลู่และเสี่ยวอู่ก็ได้แต่นิ่งค้างด้วยความใ
หากไม่มีเ้ามืดและเสี่ยวอวี้กำลังตีกันอยู่ด้านข้าง พวกเขาคงคิดว่าเื่นี้เป็แค่ภาพลวงตา
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” อาลู่ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
คิ้วของเฉินโย่วพลันขมวดเข้าหากัน ใบหน้าน้อยๆ ทำท่าทางครุ่นคิด “เหมือนว่าจะรู้สึกอิ่มขึ้นมา”
เหล่าพี่ชาย “...”