ต้นฤดูใบไม้ผลิ สำนักศึกษาสตรี รัชศกคังอันปีที่สิบแปด
วันนี้ขึ้นเก้าค่ำเดือนสาม สำนักศึกษาเปิดเรียนวันแรก เฉียวเยว่ถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า ไท่ไท่สามช่วยตรวจสอบความเรียบร้อยของอาภรณ์ให้กับนาง
จะว่าไปแท้จริงแล้วก็ไม่มีสิ่งใดต้องตรวจสอบ เพราะทั้งสำนักศึกษาสตรีล้วนแต่งกายแบบเดียวกัน คืออาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินเข้มมองไม่เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของหญิงสาวอยู่แล้ว คล้ายสวมเสื้อคลุมหลวมๆทับบนร่างกาย แน่นอนว่าอาภรณ์ชุดนี้เป็งานตัดเย็บ แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น ก็ยังคงหลวมกว่าอาภรณ์ปรกติสองส่วน คล้ายว่าไม่อยากให้พวกนางสวมใส่แบบพอดีตัว ขนาดรัดสายคาดเอวยังรู้สึกหลวมโพรก
เฉียวเยว่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย ก็ทาสีผึ้งหิมะบำรุงผิวหน้า ไท่ไท่กลัวว่านางจะผัดแป้งแต้มชาด จึงกำชับว่า "เ้าอ่านคู่มือของสำนักศึกษาแล้วใช่หรือไม่ ห้ามแอบแก้อาภรณ์ของสำนักศึกษาเอง และไม่อนุญาตให้ผัดแป้งทาชาด และไม่อาจสวมเครื่องประดับ รวมถึงทาเครื่องหอมด้วย"
เฉียวเยว่ย่อมรู้ "ข้าทราบเ้าค่ะ เพียงแค่ทาสีผึ้งหิมะ อย่างอื่นไม่แตะต้อง"
นางลุกขึ้นมัดผมแล้วถักเปียสองข้าง "เสร็จเรียบร้อย"
ทั้งเรียบง่ายและสดใสจริงๆ
"อาภรณ์ชุดนี้ไม่มีใครสวมใส่แล้วดูดีสักคน เ้าอย่าได้ใส่ใจนัก ทุกคนล้วนเหมือนกันหมด" ไท่ไท่สามพูดต่อ
เฉียวเยว่หันไปยิ้มถามมารดา "ยามท่านแม่เป็ดรุณีน้อยก็ไม่ชอบเครื่องแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?"
ไท่ไท่สามหน้าแดง "เหลวไหล ข้าจะไม่ชอบได้อย่างไร"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก แล้วพูดอย่างจริงจัง "มิเช่นนั้นท่านแม่จะเอาแต่เอ่ยเช่นนี้หรือ แท้จริงแล้วข้าว่าเครื่องแบบเช่นนี้ก็ไม่เลว เลอะยากแล้วก็สวมใส่สบาย สะดวกกว่าชุดกระโปรงธรรมดาตั้งเยอะ"
การแต่งกายเช่นนี้ดูค่อนไปทางบุรุษ แม้ว่าเสื้อกับกางเกงขายาวจะหลวมมาก แต่กลับไม่ยาวเทอะทะ เมื่อรัดสายคาดเอวแล้วก็ยังดูมีเอว เพียงแต่ไม่เห็นเรือนร่างอันเป็เอกลักษณ์ของสตรีชัดเจนมากเท่านั้นเอง
ตอนนี้อกของนางยังเป็ลานจอดสนามบินเล็ก แต่ถึงจะเป็เสี่ยวหลงเปาน้อยๆ อย่างของพี่สาว เมื่อสวมเครื่องแบบก็ยังมองเห็นไม่เด่นชัดมาก สามารถปกปิดลักษณะความเป็หญิงได้ดี
เฉียวเยว่ลองขบคิดดู นี่ก็เพื่อพวกนางทั้งนั้น ถึงอย่างไรอาคารบนเนินเขาข้างสำนักศึกษาสตรีก็คือกั๋วจื่อเจียน ชายหนุ่มหญิงสาว นางสามารถเข้าใจได้
มีพูดติดตลกซึ่งในเมืองหลวงคนมักนิยมล้อเล่นกัน นั่นก็คือหาก้าหาโฉมสะคราญตัวจริง ต้องไปแอบดูที่สำนักศึกษาสตรี เพราะถึงอย่างไรศิษย์หญิงของที่นั่นล้วนไม่แต่งหน้า
นี่ไม่ได้ นั่นไม่อนุญาต เสื้อผ้าก็น่าเกลียด หากถึงขนาดนี้แล้วยังคงดูงดงามกระจ่างตา ก็แสดงว่าเป็หญิงงามที่แท้จริง
เฉียวเยว่นั่งรถม้ามาแต่เช้า เห็นมีคนจำนวนไม่น้อยมาเดินเตร็ดเตร่อยู่หน้าประตูสำนักศึกษาสตรี สถานที่กลางเขามีอะไรน่าเดิน หากไม่ใช่มาเพื่อแอบดูคน แม้ว่ากั๋วจื่อเจียนที่อยู่ติดกันล้วนเป็คนเรียนหนังสือ แต่ก็มีบางคนแสร้งมองมาทางนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เฉียวเยว่นับว่าได้ส่วนที่ดีมาจากซูซานหลางและไท่ไท่สามครบทุกอย่าง ความงดงามของนางไม่แ่จางละเมียดละมุนดุจสายน้ำจนดูไม่เหมือนคนเดินดินตามพิมพ์นิยมของยุคสมัยนี้ หากแต่ระคนไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ มีคิ้วและดวงตาที่งดงาม เป็โฉมสะคราญที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้สึกสะดุดตา
เดิมทีตัวมีแต่เนื้ออวบอ้วนย่อมจะไม่เด่นชัด แต่ตอนนี้ต่างไปจากเดิม จึงเห็นได้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะเมื่อสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนที่เหมือนกันหมดเช่นนี้ นางก็ยิ่งโดดเด่นกว่าใครๆ
พี่น้องสามคนลงจากรถม้า ฉีอันเอ่ยขึ้นว่า "ข้าอยู่ติดกัน หากเ้ามีปัญหาอันใดก็มาหาข้าได้ แต่อย่าไปสนใจเ้าหนุ่มหน้าเหม็นเ่าั้"
เขาทำตัวราวกับเป็พี่ชาย เฉียวเยว่ก็พูดเลียนแบบน้ำเสียงของเขาบ้าง หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมา
แม้ว่าเพิ่งจะสิบขวบ แต่นางรูปร่างสูงเพรียวสะโอดสะอง ไม่ต้องแสร้งทำตลกหรือทำตัวน่ารักก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้คนไม่อาจละสายตาอยู่แล้ว ยิ่งยิ้มเช่นนี้ ก็ได้ยินเสียงคนสูดหายใจอ้าปากค้าง
อิ้งเยว่นิ่วหน้า "พอแล้ว ไปกันเถอะ"
สำนักศึกษาสตรีเรียนกันมากสุดคือห้าปี ั้แ่อายุสิบปีถึงสิบห้าปี อิ้งเยว่กำลังจะจบการศึกษาปีนี้ การสอบจบการศึกษาของนางตรงกับ่ฤดูร้อน
นักเรียนใหม่เปิดภาคเรียน พวกนางจะไม่มาก็ได้ สามารถทบทวนบทเรียนเองที่บ้าน ถึงมาก็ต้องศึกษาด้วยตนเอง เพราะไม่มีอาจารย์มีเวลาว่างมาสอนพวกนาง
แต่ละปีมีทั้งคนมาและไม่มาจำนวนไม่แน่นอน เพราะพื้นฐานของแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน บางคนก็มาเรียนร่วมกัน ตรงไหนไม่ได้ก็สามารถขอคำชี้แนะจากอาจารย์ แน่นอนว่าก็มีบางคนที่ไม่มา แต่เชิญอาจารย์จากข้างนอกมาสอนเพิ่มเติม ก็ไม่ทำให้คะแนนการสอบภาคฤดูร้อนย่ำแย่เกินไป
แน่นอนว่าลำดับและชื่อเสียงเรียงนามก็จะถูกติดบนป้ายประกาศขนาดใหญ่
เฉียวเยว่รู้สึกว่าเื่นี้ไม่ดีอย่างยิ่ง แต่ต้าฉีล้วนมีธรรมเนียมปฏิบัติกันมาแบบนี้ ใช่ว่านางอยากจะเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้
"เฉียวเยว่" รถม้าของสกุลหยางมาถึง โม่หลันลงจากรถม้าแล้วรีบเข้ามาด้านข้างเฉียวเยว่ด้วยความดีใจ "เ้ามาถึงเร็วกว่าข้าอีก พวกเราเข้าไปด้วยกันเถอะ"
หลังจากนั้นก็หันมาคำนับและทักทายอิ้งเยว่ "เหตุใดพี่อิ้งเยว่ไม่อ่านตำราที่บ้านเล่า?"
"ข้ากลัวว่านางจะก่อเื่ เลยตามมาดู คงต้องเฝ้าจับตาสักสามเดือน ถึงจะแก้นิสัยไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้"
เฉียวเยว่ "..."
โม่หลันหัวเราะออกมา
คะแนนของหยางโม่หลันจัดอยู่ในระดับปานกลาง นางถอนหายใจเอ่ยว่า "เฉียวเยว่เฉลียวฉลาดปานนี้ พี่สาวมีสิ่งใดต้องวิตกอีกเล่า ไม่มีปัญหาหรอกเ้าค่ะ"
นางจูงมือเฉียวเยว่ "ไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบแล้ว หากไปสายั้แ่วันแรกก็คงจบเห่"
หลังจากเข้ามาเรียนแล้วเฉียวเยว่ถึงพบว่า แม้ตอนสอบจะมีคนเพียงร้อยกว่าคน แต่ที่นี่ตอนนี้กลับมีไม่ถึงสามสิบคน หลังกวาดตามองอย่างละเอียด มียี่สิบหกคน
อาจารย์ใหญ่กำลังให้โอวาท เฉียวเยว่ยืนอยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า ท่าทางมีมารยาท ดวงหน้าน้อยจดจ้องอาจารย์ใหญ่ด้วยความตั้งใจ
ไม่นานนักอาจารย์ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า "ลำดับต่อไปจะให้ศิษย์พี่ของพวกเ้ามาถ่ายทอดประสบการณ์ในการเรียนหนังสือ"
หลังจากนั้นก็ถอยออกไป
เฉียวเยว่นึกอยู่เงียบๆ คงไม่ใช่พี่สาวของนางกระมัง?
เป็ไปตามคาด เป็ซูอิ้งเยว่จริงๆ แต่พอมาคิดดูก็สมควรอยู่ นางเป็ชายารัชทายาทที่ได้รับพระราชทานสมรส มีชื่อเสียงภายนอกว่าฉลาดปราดเปรื่องเหนือสามัญ บัดนี้นางยังเป็ผู้เก็บบันทึกข้อมูลมากมายในสำนักศึกษา ให้นางถ่ายทอดประสบการณ์จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว
เพียงแต่... เฉียวเยว่ขบริมฝีปากนึกอยากหัวเราะอยู่เงียบๆ นางสงสัยเหลือเกินว่าพี่สาวของตนเองจะพูดออกมาตรงๆ หรือไม่ว่า เพราะข้าฉลาด หาได้มีประสบการณ์อันใด
แต่ความเป็จริงหาได้เป็เช่นนั้น อิ้งเยว่กล่าวอย่างจริงจังว่า "ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าข้าเป็คนมีพร์สติปัญญาฉลาดปราดเปรื่อง แต่ข้ารู้สึกว่าตนเองเก่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพียงเล็กน้อย หลายต่อหลายครั้ง ผลการเรียนของข้าล้วนมาจากความขยันหมั่นเพียร ข้าคิดว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็เหมือนกัน"
เฉียวเยว่ถอนหายใจ พี่สาวของนางก็รู้จักพูดเหมือนกัน
พิธีการปฐมนิเทศค่อนข้างยาวนาน จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง เฉียวเยว่ก็หิวท้องกิ่วจนหน้าอกแทบจะไปติดกับแผ่นหลังอยู่รอมร่อ
โม่หลันเป็ฝ่ายเข้ามานั่งข้างเฉียวเยว่ นางยิ้มตาหยี "พวกเรานั่งโต๊ะเดียวกัน"
"พวกเ้าได้ยินหรือไม่ ชั้นเรียนของพวกเราแท้จริงแล้วมีสามสิบคน"
เสียงแม่นางสองสามคนกำลังคุยกัน โม่หลันกล่าวทันควัน "แต่มีแค่ยี่สิบหกคนไม่ใช่หรือ ยังขาดอีกสี่คน"
"อีกสี่คนคะแนนไม่ถึง เป็นักเรียนฝากแทรกเข้ามา"
พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็เข้าใจทันที ไม่ใช้เงินก็ใช้อำนาจเส้นสาย ทุกปีจะมีแบบนี้สักสามสี่คน เช่นคุณหนูสามซูหรงเยว่ของสกุลซูเป็ต้น
แท้จริงแล้วนักเรียนหญิงบางคนก็ไม่ได้ตั้งใจจะเรียนอันใดจริงจัง เพียงแค่มาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเลือกตระกูลสามีที่ดี แต่ถึงอย่างไรคนมีสถานะชาติตระกูลดี ย่อมจะแตกต่างกัน
แต่การเข้าสำนักศึกษาด้วยวิธีนี้ มักจะถูกครหานินทาไม่มากก็น้อย เพราะผู้อื่นล้วนอาศัยความสามารถแท้จริง แต่บางคนกลับ... หึหึ
"ข้ายังได้ยินมาว่า... " แม่นางที่กำลังพูดมีเขี้ยวเล็กๆ สองซี่ สีหน้าของนางแลดูคลุมเครือ ซ้ำยังกระตุกเล็กน้อย "ข้ายังได้ยินมาว่า อวี้อ๋องจะมาดูแลที่นี่"
ทุกคนต่างทำสีหน้าเหมือนปวดฟันพร้อมกัน หลังจากนั้นก็หันไปมองเฉียวเยว่
แม้ยังไม่คุ้นเคยกัน แต่เฉียวเยว่ก็จะไม่ทำให้ตนเองถูกอัปเปหิออกจากกลุ่ม พวกนางยังต้องเรียนอยู่ร่วมกันอีกห้าปีเชียวนะ!
นางยกมือเอ่ยทันควัน "ข้าสาบานว่าไม่รู้เื่"
สาวน้อยมีเขี้ยวหัวเราะพรืดออกมา "ข้าชื่อฉินอิ๋ง ข้าไม่ได้บอกว่าเ้ารู้เสียหน่อย แค่จะถามว่าเ้ารู้... ข่าววงในหรือไม่เท่านั้นเอง"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า สีหน้างุนงง นางไม่รู้เลยจริงๆ
"ข้าจะกลับไปถามให้พวกเ้าเอง" ท่าทางพร้อมสืบข่าวเต็มที่
หรงจ้านจะมาสำนักศึกษาสตรี? มาทำไม? มาสอนนักเรียนหญิง?
นึกมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉียวเยว่ก็ยิ่งเหมือนคนท้องผูก ซ้ำยังปวดฟันขึ้นมาเล็กน้อย
ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้จะเอาโรครักความสะอาดขั้นรุนแรงมาแพร่ใส่ทุกคนหรือไม่
คิดถึงเื่นี้ เฉียวเยว่ก็เริ่มกลุ้ม แต่ยังไม่รู้จริงเท็จ และเขาคิดอย่างไรถึงมาเป็อาจารย์?
เื่นี้เฉียวเยว่ยังไม่ทันใคร่ครวญจบ ก็เห็นอาจารย์ใหญ่พาเด็กสาวเข้ามาอีกสี่คน หนึ่งในนั้นก็คือท่านหญิงฉางเล่อ เฉียวเยว่รู้สึกละเหี่ยใจอย่างยิ่ง ดันต้องมาเจอศัตรูเก่าบนทางแคบ แต่นางไม่อยากถือสาหาความกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง
หากนางเป็ท่านหญิงน้อย คงจะไม่มาศึกษาที่นี่ เมื่อมีโอกาสเหตุใดถึงไม่ใช้เล่า!
เฉียวเยว่ทอดถอนใจอยู่เงียบๆ
วันแรกไม่มีการเรียนการสอน แต่ทุกคนกลับมารวมกลุ่มทำความรู้จักกัน ถึงอย่างไรพวกนางก็อายุไม่มาก และเฉียวเยว่ก็ดูเป็คนเข้าถึงง่าย
ระหว่างทางกลับบ้าน เฉียวเยว่ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด "วันนี้ช่างดียิ่ง ทุกคนเข้ากันได้เป็อย่างดี อ้อจริงสิ ข้าพบว่ามีหลายคนเลยที่เลื่อมใสในตัวท่านด้วยนะ พี่สาวของข้าเก่งที่สุด"
หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "แต่ข้าก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน อาจารย์ชื่นชมข้าด้วย"
เสียงของเฉียวเยว่ดังกังวาน ิ่จื้อรุ่ยขี่ม้าอยู่ข้างนอกหันมามอง มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
วันนี้เขาตั้งใจมาส่งพวกนางโดยเฉพาะ เดิมนึกว่าเฉียวเยว่จะปฏิเสธ แต่ก็ไม่
ขณะกำลังใคร่ครวญอยู่ เฉียวเยว่ก็เลิกม่านขึ้นเอ่ยว่า "พี่จื้อรุ่ย วันหลังท่านไม่ต้องส่งพวกเราก็ได้ ไม่เป็ไรหรอก ท่านยิ่งเงอะงะงุ่มง่ามอยู่ ควรกลับไปศึกษาทบทวนวิชาให้มากดีกว่า" ดูเอาสิ คนบางคนคุยก็คุยไม่เป็
จื้อรุ่ยเม้มปากเอ่ยเสียงเบา "บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจมารับเ้า แค่ทางผ่านเท่านั้นเอง เ้าอย่าคิดมาก"
เฉียวเยว่หัวเราะ "ข้าหรือคิดอะไร ข้าเองยังไม่เห็นรู้สึกเลย พี่จื้อรุ่ย ข้ารู้ท่านเป็คนอย่างไร อ๊ะ! รอก่อน รถม้าหยุดสักครู่"
ฉีอันนวดจุดไท่หยาง "เ้าจะทำอันใดอีกล่ะ?"
เฉียวเยว่ "ข้าจะลงไปซื้อขนม"
จื้อรุ่ย "เ้าจะเอาอะไร เดี๋ยวข้าช่วยไปซื้อให้"
เฉียวเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด "ข้าอยากไปดูว่ามีของอร่อยมาใหม่ที่ถูกใจหรือไม่ ท่านไม่รู้หรอก"
นางลงจากรถม้า วางตัวเป็คุณหนูใหญ่ผู้มีมารยาท "เถ้าแก่ เอาขนมเหมยกุ้ยหนึ่งกล่อง ขนมโม่ลี่หนึ่งกล่อง..." ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะยืนอยู่ด้านข้าง
"ท่านพี่จ้าน ช่างบังเอิญยิ่งนัก" นางเงยหน้าดวงน้อยซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"วันนี้ข้าเลี้ยง ท่านจะซื้อกี่กล่อง คิดรวมกับข้าได้เลย" หลังจากนั้นรอยยิ้มก็แย้มบานขึ้นอีกหลายส่วน
หรงจ้านชี้กล่องในมือ "หากข้าไม่เอาไปเยอะหน่อย ดูเหมือนจะผิดต่อเ้ามืออย่างเ้า"
เฉียวเยว่นั่งพิงเก้าอี้ ดวงหน้าอาบรอยยิ้มกระจ่างพร่างพราย "แต่ท่านเอาไปเยอะกินไม่หมด เป็การสิ้นเปลืองไม่ดีอย่างยิ่ง"
"ข้าพอใจ เ้ารับผิดชอบจ่ายเงินก็พอ"
หรงจ้านทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเฉียวเยว่ก็พลันนึกถึงคำว่า คิ้วงามตาสวย
นางถอนหายใจ "ข้าว่านะ พี่จ้าน ท่านเองก็แลดูทะนงองอาจ มีสง่าราศีเหนือสามัญ เป็บุรุษที่หาได้ยากมีเพียงหนึ่งในหมื่น แต่เหตุใดถึงหาภรรยาไม่ได้เสียทีเล่า? ข้าเดาว่า คงเป็เพราะคำพูดของท่านไม่ค่อยเสนาะหูเป็แน่"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้