โหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่ตรงหน้ากระจก มองตาปริบๆ พลางจ้องมองคนแปลกหน้าในกระจก
เซลล์สมองของเขาประมวลผลอย่างหนักกว่าจะทำให้เขายอมปักใจเชื่อว่า ิญญาของตัวเองได้มาสิงอยู่ในร่างของคนแปลกหน้าจริงๆ
หนุ่มน้อยในกระจกอายุใกล้เคียงกับเขา ราวสิบเจ็ดสิบแปดปีเห็นจะได้ บนเรือนร่างสวมใส่ชุดนักพรตสีเขียวคราม บนหัวมีปิ่นปักผมสีเขียวมรกตซึ่งดูแสนธรรมดา เส้นผมดำขลับ ทั้งยังมีกลิ่นอายแบบนิยายเทพเซียนปรัมปรา
หากแต่ว่า ใบหน้าของเขานั้นช่างดูซีดเซียว โดยเฉพาะริมฝีปากนั้น แทบจะไม่มีสี อย่างกับว่าพึ่งผ่านเื่ราวแสนสาหัสมาอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่งามแดงช้ำ บวมเปล่งเหมือนลูกวอลนัท
โหยวเสี่ยวโม่หน้าซีดเผือด ไม่คุ้นชินกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้
เมื่อจมอยู่กับอารมณ์โศกเศร้าได้เพียงชั่วครู่ โหยวเสี่ยวโม่ตัดสินใจมองไปรอบห้องของตนเอง
ห้องอันเรียบง่าย มีเพียงแค่เตียง โต๊ะ เก้าอี้ไม้อย่างละตัวและตู้เก็บของซึ่งมีกระจกวางอยู่บานเดียวแค่นั้น ของใช้ที่เกินความจำเป็แทบจะไม่มีเลย
ถึงแม้จะเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายโบราณ นี่มันยุคสมัยประวัติศาสตร์ชัดๆ
กอปรกับการแต่งกายวิถีนักฝึกตนเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ตระหนักได้ว่า ตัวเองคงหลงมาในยุคที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้
แต่ว่า เขาคือคนยุคปัจจุบัน!!
เขาจำได้แม่นยำ เหตุการณ์แก๊สรั่วะเิจากห้องข้างๆ จนทำให้เพื่อนบ้านที่น่าสงสารอย่างเขาต้องพลอยซวยไปด้วย ะเิแค่ตู้มเดียว ก็ดันมาสิงอยู่ในร่างคนแปลกหน้านี่เสียแล้ว
แม้เื่ราวพิสดารนี้อาจไม่น่าเชื่อก็ตาม แต่มันก็คือเื่จริง
โหยวเสี่ยวโม่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยให้มันเป็ไปตามนั้น
เขาสวมรองเท้าเสร็จสรรพ ขณะที่กำลังจะออกไปสอดส่องสถานการณ์ด้านนอกนั้น ทันใดนั้นเอง ก็มีคนผลักประตูเข้ามา เล่นเอาเขาสะดุ้งโหยง หัวเกือบกระแทก และชายผู้นั้นก็หลบออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคำทักทายที่น่าแปลกประหลาดใจ
“โหยวเสี่ยวโม่ ในที่สุดเ้าก็ยอมลงจากเตียงสักทีนะ”
โหยวเสี่ยวโม่มั่นใจว่านอกจากตัวเอง ไม่มีใครรู้จักชื่อเขาแน่นอน ถ้าเช่นนั้นชายผู้นี้คงเรียกชื่อเ้าของร่างนี้สินะ ์ยังคงเมตตาปรานีเขาอยู่บ้าง ถึงประทานร่างที่มีชื่อเดียวกันมาให้
โหยวเสี่ยวโม่สำรวจชายผู้นี้ ยังหนุ่มยังแน่น อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมมีรอยยิ้มแสนสดใส
แต่คำพูดที่เขาว่า ยอมลงจากเตียงได้สักทีนะ มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเ้าของร่างมีนิสัยขี้เซางั้นหรือ
ชายหนุ่มไม่รีรอให้เค้าถาม จึงพูดออกมาเองต่อว่า
“โหยวเสี่ยวโม่ เ้าอย่าได้เศร้าใจนักเลย ถึงแม้ปราณิญญาของเ้าจะเป็สีเขียว แต่อย่างน้อย เ้าก็ยังสามารถฝึกฝนให้เป็นักหลอมโอสถระดับกลางได้ เ้าก็รู้ การจะได้เป็นักหลอมโอสถระดับกลางนั้นยากอยู่พอสมควร บางคนต่อให้ฝึกทั้งชาติก็เป็ได้แค่นักหลอมโอสถระดับล่างเท่านั้น ฉะนั้นเ้าอย่าโศกเศร้าไปเลย พรุ่งนี้เช้าก็ต้องเริ่มไปฝึกที่ตำหนักโอสถแล้ว เ้าต้องตั้งสตินะ”
โหยวเสี่ยวโม่มึนงงอยู่ชั่วขณะ อะไรคือปราณิญญาสีเขียว? นักหลอมโอสถระดับกลาง? ฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลย
แต่อย่างน้อยเขาก็จับใจความได้นิดหน่อย ตรงที่ว่าเพราะปราณิญญาสีเขียว ทำให้เขาหดหู่เหมือนโดนจับสวมหมวกเขียว* เลยทำให้เขาแอบร้องไห้เสียใจอยู่ในห้องจนกระทั่งตรอมใจตาย?
โหยวเสี่ยวโม่กุมหน้า วิธีการตายนี้ มันไม่ดูน่าอายไปหน่อยหรือ
“แล้วเ้าล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างระมัดระวัง
ในยามนี้ เขารู้จักแค่ชายหนุ่มผู้นี้ คงได้แต่ล้วงข้อมูลเื่ราวยุคนี้กับเขาเสียแล้ว
ทว่าเขาก็กังวลว่าจะถูกจับได้ เื่ที่เขาไม่ใช่โหยวเสี่ยวโม่ตัวจริง ฉะนั้นก็เลยไม่กล้าถามตรงๆ แต่อันที่จริงสิ่งที่เขาเองยังไม่รู้คือ สองคนนี้พึ่งรู้จักกันไม่นาน หลังจากที่พบว่าคุณสมบัติของตนเองนั้นอยู่ในขั้นห่วยแตก เ้าของร่างนี้ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ถ้าจะไม่รู้เื่ราวข้างนอกบ้างก็คงไม่แปลก
ชายหนุ่มพลันตอบอย่างหน้าระรื่น พูดอย่างถ่อมตนว่า “ปราณิญญาของข้าคือสีฟ้าคราม”
ดูจากสีหน้าชายหนุ่มก็รู้ได้ว่า ปราณิญญาสีฟ้าครามต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่ว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เื่นี้… ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ สองวันมานี้สมองข้ายิ่งเบลอๆ เื่มากมายที่ลืมไปหมดสิ้น เ้าพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”
โหยวเสี่ยวโม่ระวังการพูดการจา ครั้นหลบตา กลัวชายหนุ่มสงสัย
หากแต่เขาผู้นี้กลับไม่สงสัยอะไรเลย คงเพราะเส้นประสาทที่หนาทึบ แถมยังบอกเล่าสิ่งที่เขาอยากรู้ออกมาจนหมดเปลือก รวมถึงสถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้ด้วย
พอฟังจบ โหยวเสี่ยวโม่ถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ในหัวสมองนอกจากอึ้ง ก็คือทึ่ง จนเขาไม่ทันสังเกตว่าชายหนุ่มผู้นั้นเดินจากไปตอนไหนด้วยซ้ำ
โลกใบนี้ ช่างแตกต่างกับโลกที่เขารู้จักอย่างสิ้นเชิง
เขาเข้าร่วมกับสำนักเทียนซินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตฝั่งใต้ดินแดนหลงเสียง พูดให้ถูกคือเป็ศิษย์ฝึกหัดนั่นเอง ในสำนักเทียนซิน แบ่งออกเป็สองแขนง หนึ่งคือศาสตร์แขนงการต่อสู้หรือวรยุทธ์ ปราณิญญาของผู้ฝึกตนจะไม่มีสี สามารถฝึกการต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ ส่วนอีกหนึ่งแขนงคือศาสตร์การหลอมโอสถ นักหลอมโอสถหรือนักปรุงยานั่นเอง ปราณิญญาของนักหลอมโอสถนั้นล้วนมีสี
เฉดสีนั้นสามารถแบ่งได้หลากหลายและแตกต่าง จากอ่อนไปเข้มแบ่งเป็ สีชมพู สีเหลือง สีเขียว สีมรกต สีฟ้าครามและสีม่วง
ปราณสีชมพูและสีเหลืองคือปราณที่สามารถเป็ได้แค่ นักหลอมโอสถระดับล่าง
ปราณสีเขียวและสีมรกตสามารถฝึกฝนเป็ นักหลอมโอสถระดับกลาง
และปราณสีฟ้าครามกับสีม่วงซึ่งสามารถเป็ นักหลอมโอสถระดับสูงได้
แต่ปราณิญญาแบบหลังนั้นแกร่งกล้ากว่าแบบก่อนหน้ายิ่งนัก กล่าวคือ ปราณสีม่วง พลังนั้นจะแกร่งกว่าปราณสีฟ้าครามมาก เพราะฉะนั้นมีแววเป็ไปได้สูงที่อาจจะแฝงเร้นไปด้วยสุดยอดนักหลอมโอสถก็เป็ได้
ฉะนั้นปราณิญญาสีฟ้าคราม ก็สามารถเรียกได้ว่า เป็ว่าที่นักหลอมโอสถระดับสูง ถึงว่าสิเ้าหนุ่มนี่ถึงได้ทำหน้าดีอกดีใจขนาดนั้น
แต่กลับกัน เ้าของร่างนี้เป็แค่ศิษย์ฝึกหัด สามวันก่อนก็พึ่งถูกผู้าุโของสำนักเทียนซินพาตัวมาพร้อมกับคนอื่น
คงเพราะเ้าของร่างนี้มีนิสัยอวดดี หลังการทดสอบเมื่อวาน พึ่งรู้ว่าคุณสมบัติของตนเองนั้นแย่ที่สุดในหมู่คนทั้งหลาย ถึงขั้นรับไม่ได้ จึงหนีมาแอบร้องไห้ในห้อง
เ้าเด็กนี่ ช่างไม่เอาไหนเสียจริง!
นอกจากนี้ เขายังได้ข้อมูลที่สำคัญมากด้วย
เหตุที่ว่าเขาเป็แค่ศิษย์ฝึกหัด เขาจำเป็ต้องผ่านบททดสอบหลังจากนี้อีกครึ่งปีให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกขับออกจากสำนัก
สำนักเทียนซินเป็สำนักใหญ่มีกฎระเบียบเข้มงวดต่อลูกศิษย์ โดยเฉพาะนักหลอมโอสถ ครึ่งปีหลังจากนี้เขาต้องฝึกปรือจนได้เกณฑ์ที่กำหนด ไม่เช่นนั้นก็คงถูกกวาดออกสำนักเป็แน่
สำหรับคนที่มีแต่ตัวเปล่าเปลือย ไร้ญาติมิตรสหาย สมองก็ยังไม่ได้เชื่อมโยงกับโลกใบนี้มากนักอย่างโหยวเสี่ยวโม่ ข่าวนี้ช่างเสมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
*สวมหมวกเขียว หมายถึง สำนวนเปรียบเปรยระหว่างความสัมพันธ์ของคู่รัก ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกนอกใจนั่นเอง