บทที่ 17 ดอกปี้หลิงสามกลีบ
เมื่อมาถึงเซียนเยว่ซวน ฉู่อวิ๋นก็เดินตรงเข้าไปในห้องโถงด้านใน ไม่มีใครขวางเขาไว้ระหว่างทาง ราวกับว่าได้รับคำสั่งจากผู้เฒ่าเหยาไว้ก่อนแล้ว
ทันทีที่เข้าไปในห้องโถงด้านใน เขาเห็นผู้เฒ่าเหยาเดินไปมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
ฉู่อวิ๋นเดินเข้าไปถาม "ผู้เฒ่าเหยา ท่านเป็อะไรไป? เหตุใดสีหน้าย่ำแย่นัก?"
“เฮ้อ น้องชาย เ้ามาผิดเวลาแล้ว...” ผู้าุโเหยามองฉู่อวิ๋นแล้วถอนหายใจ “ข้าผิดต่อสัญญาที่ให้ไว้ ยาเม็ดหิมะ...เกรงว่าวันนี้จะมอบให้เ้าไม่ได้แล้ว"
"เอ๊ะ?"
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็อดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เขายกยิ้มอย่างขมขื่น
ทั้งสองมีมิตรภาพให้แก่กัน ผู้เฒ่าเหยาเป็นักปรุงโอสถ ใช้พืชสมุนไพรอันล้ำค่าเพื่อกลั่นยาอายุวัฒนะอันดับสอง จึงเป็เื่ปกติที่เขาจะเปลี่ยนใจ
เมื่อเห็นใบหน้าของฉู่อวิ๋นดูจริงจังขึ้น ผู้เฒ่าเหยาก็อธิบายว่า "เฮ้อ น้องชาย อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าสัญญาสิ่งใดไว้ย่อมต้องทำตามสัญญา แต่ยาเม็ดหิมะนี้...ข้ายังไม่ได้กลั่นเลย "
“ยังไม่ได้กลั่นหรือ?” ฉู่อวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย ผู้เฒ่าเหยาถือเป็นักปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองไป๋หยาง ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่เขายังไม่ได้กลั่นยาอายุวัฒนะอันดับสองเลยหรือ?
“หรือผู้เฒ่ากุ่ยยังไม่ได้ให้โสมกระดูกหิมะร้อยปีกับท่าน?” ฉู่อวิ๋นถาม
ผู้เฒ่าเหยาส่ายหน้าแล้วพูดว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ เกิดความปั่นป่วนขึ้นรอบนอกป่าสนธยา มีสัตว์ป่าจำนวนมากปรากฏตัว พื้นที่สมุนไพรที่ข้าคุ้นเคยถูกทำลายไปหมด ทั้งมีสัตว์ป่าบางชนิดที่แย่งเอาสมุนไพรไป ข้าค้นหามานานแต่ก็ไร้ซึ่งร่องรอยสมุนไพรตัวสุดท้าย เลยไม่ได้กลั่นยาเสียที พูดแล้วก็ละอายใจนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็ฉุกคิดได้ว่าเป็เพราะผู้เฒ่าเหยาหาวัตถุดิบยาไม่พบ
ในเวลาเดียวกัน ความกตัญญูของฉู่อวิ๋นที่มีต่อผู้เฒ่าเหยาก็เพิ่มมากขึ้น ชายชราคนนี้ยินดีไปที่ป่าสนธยาด้วยตนเองเพื่อกลั่นยาสำหรับข้อตกลงเล็กน้อยนั่น เขาถือได้ว่าเป็คนที่รักษาคำพูดและสูงส่งกว่าคนปกติ
เมื่อเทียบกับญาติหน้าซื่อใจคดของเขาแล้วก็ยังดีกว่ามาก
แต่ฉู่อวิ๋นไม่้าเป็หนี้ผู้เฒ่าเหยา คงจะดีกว่าที่เขาจะทำบางอย่างด้วยตัวเอง
“ขอถามท่านว่าเป็สมุนไพรชนิดใดหรือ? ผู้น้อยสามารถไปหาให้ท่านได้” ฉู่อวิ๋นยังคงถามต่อไป
ผู้เฒ่าเหยาพูดขึ้นว่า "เฮ้อ พ่อหนุ่มเอ๋ย ป่าสนธยาตอนนี้อันตรายมาก เ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่า้าจะไป?"
ฉู่อวิ๋นพยักหน้าอย่างมั่นใจ "ผู้เฒ่าเหยา ท่านใช้โสมกระดูกหิมะร้อยปีเพื่อกลั่นยาเม็ดหิมะให้ข้า นี่เป็ความชอบที่ใหญ่ยิ่งแล้ว ข้าไม่สามารถนั่งดูเฉยๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้า้าเข้าร่วมการประลองเซี่ยหยาง คราวนี้ข้าจะไปที่ป่าสนธยา ถือว่าไปลองใช้ประสบการณ์ดู”
เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นมีไหวพริบดีมาก ผู้เฒ่าเหยาก็แสดงความชื่นชมออกมา "เช่นนั้นก็ได้ สมุนไพรยาชนิดนี้เรียกว่าดอกปี้หลิงสามใบ มีกลีบดอกสีเขียวสามกลีบ เรืองแสงสีขาว ก้านเรียวยาวมีหนาม เพราะดอกไม้ชนิดนี้ชอบที่จะฉกชิงพลังิญญา จึงไม่มีสมุนไพรอื่นใดที่จะเติบโตรอบๆ มันได้ ทำให้แยกแยะได้ง่าย"
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ฉู่อวิ๋นจับกระบี่ไว้แน่นและเตรียมจะออกเดินทางทันที แต่ถูกผู้เฒ่าเหยาเรียกไว้
“พ่อหนุ่ม เ้าจะรีบไปไหนกัน ข้ายังพูดไม่จบเลย ดอกปี้หลิงสามกลีบนี้ มีรสหวานและกลิ่นหอม สามารถดึงดูดสัตว์ป่าได้ง่าย เ้าจึงต้องระวัง และ…”
ผู้เฒ่าเหยาหันกลับมา หยิบกระบี่ออกมาจากกล่องสมบัติแล้วมอบให้ฉู่อวิ๋น
“เ้านำกระบี่เหล็กใกล้พังเล่มนี้ไปที่ป่าสนธยา คงใช้การได้ไม่นาน เ้าน้องชาย เ้าอยากตายหรือ? แม้ว่ากระบี่เศวตร[1]รุ้งนี้จะไม่ใช่อาวุธเทพแต่อย่างใด แต่ก็เป็อาวุธขั้นมนุษย์ระดับสูง สามารถใช้ต่อกรกับสัตว์ร้ายพวกนั้นได้”
อาวุธแต่ละชนิด แบ่งออกเป็ระดับสูง กลาง และต่ำ อาวุธธรรมดาคืออาวุธมนุษย์ และอาวุธมนุษย์ระดับสูงนั้นเป็ระดับที่คมที่สุดและทนทานที่สุดในบรรดาอาวุธธรรมดา มีมูลค่าหลายพันหรือนับหมื่นเหรียญทอง
กระบี่เศวตรรุ้งนี้มีมูลค่ามหาศาลอย่างแน่นอน
ฉู่อวิ๋นรับกระบี่เล่มยาวมา รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย "ผู้เฒ่าเหยา...ท่าน...วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนหน้าด้าน ไปป่าสนธยาคราวนี้ ข้าจะต้องนำทั้งกระบี่และสมุนไพรมากมายมาให้ท่านแน่นอน!”
ผู้เฒ่าเหยายิ้มและพูดว่า "ฮ่าๆ กระบี่เล่มนี้ย่อมต้องคืน แต่หากเ้าสามารถนำวัตถุดิบยากลับมาได้ ข้าก็จะขายให้ แต่อย่าพาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งเสียเล่า"
ฉู่อวิ๋นยิ้มและพยักหน้าก่อนที่จะสังเกตกระบี่เศวตรรุ้งในมือ
ตามชื่อของมัน ตัวกระบี่สีขาวหยกและคมกระบี่สะท้อนแสงหมือนสายรุ้งราวกับกำลังจะส่องทะลุท้องฟ้า
ฉู่อวิ๋นยกกระบี่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใช้นิ้วลูบคมกระบี่ด้วยแววตาประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบวิธีระบุขั้นอาวุธ แต่เขาก็พอรู้ว่ากระบี่เศวตรรุ้งนี้เป็กระบี่ระดับสูงในหมู่อาวุธมนุษย์ คุณภาพไม่อาจเทียบได้
ในขณะนี้ ิญญายุทธ์พุ่งขึ้นมาในใจของฉู่อวิ๋น เขา้าลองกระบี่เศวตรรุ้ง จึงออกจากห้องโถงด้วยการะโไม่กี่ครั้ง ก้าวเข้าไปในลานบ้านแล้วยกกระบี่ขึ้นฟันอากาศ
"ควั่บ--"
รังสีของปราณกระบี่หลายเส้นตัดผ่านความว่างเปล่า ลำแสงเปล่งประกายเจิดจ้า หนักแน่นราวลมฝน และรวดเร็วราวดาวตก
เมื่อััถึงพลังของกระบี่เศวตรรุ้ง ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกปลาบปลื้มและลองกระบี่อย่างกระตือรือร้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยค่อยๆ ใช้ดาราจรัสแสง
ผู้เฒ่าเหยาเดินช้าๆ ไปที่ลานบ้าน เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นร่ายรำท่ากระบี่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความใ
“เ้า...น้องชาย! เ้า...เ้ามาถึงขั้นจิตไหวกระบี่แล้วหรือ?”
แม้ว่าผู้เฒ่าเหยาจะเป็เพียงนักปรุงโอสถ แต่เขาก็มาถึงขั้นมหาสมุทรได้ก็เพราะพลังยุทธ์ เขามีความรู้ที่ดีและมีสายตาที่มีประสบการณ์ ย่อมสามารถมองออกถึงการฝึกฝนวิชากระบี่ในตอนนี้ของฉู่อวิ๋น
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็เก็บกระบี่เศวตรรุ้งคืนฝักและถามอย่างสงสัย "ผู้เฒ่าเหยา ท่านพูดอะไร? จิตไหวกระบี่อะไรหรือ?"
ฉู่อวิ๋นคิดว่าเขาเคลื่อนไหวกระบี่ได้ไม่ดีนัก ทั้งยังเคลื่อนไหวผิดจังหวะด้วย
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉู่อวิ๋น ผู้เฒ่าเหยาก็หัวเราะด้วยความประหลาดใจ ส่ายหัวแล้วพูดว่า "เฮ้อ น้องชาย เ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตแห่งกระบี่ของตนเองก้าวหน้าไปมากแล้ว ทำเอาข้าโกรธเข้าแล้วจริงๆ"
“ขอบเขตแห่งกระบี่?” ฉู่อวิ๋นสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเขาก็จำฉากที่เขาเผชิญหน้ากับนักรบสี่คนที่เรือนตระกูลหลักก่อนหน้านี้ได้ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าไปสู้กับคนอื่นมา ตอนนั้นเหมือนข้าจะเข้าสู่สภาวะแห่งความสงบ กระบี่ในมือดูเหมือนจะกลายเป็ส่วนหนึ่งของร่างกาย ข้าชี้ไปที่ไหนมันก็ไปทางนั้น โชคดีที่ตอนนั้นพอจะเชี่ยวชาญประกายทมิฬอยู่บ้าง พอนึกกลับไปดูก็ยังตื่นตระหนกไม่หาย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าเหยาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ฉู่อวิ๋นคนนี้มีพร์ด้านกระบี่อย่างมาก เขาทะลวงระดับขั้นผ่านการต่อสู้ได้จริงๆ!
หลังจากนั้น ผู้เฒ่าเหยาก็ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับขอบเขตแห่งกระบี่ให้ฉู่อวิ๋นฟัง ทำให้เขาเบิกตาโต
“ข้างงนิดหน่อย...ที่แท้จิตไหวกระบี่ก็มีพลังมากเช่นนี้” ฉู่อวิ๋นเกาหัวและหัวเราะอย่างเต็มที่
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ใส่ใจของฉู่อวิ๋น ผู้เฒ่าเหยาก็พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็มืดลงและถอนหายใจ
ตอนนี้ฉู่อวิ๋นตัวคนเดียว เขาเพียงแต่พึ่งตัวเองเพื่อก้าวหน้าในพลังยุทธ์ ท้ายที่สุด ความสำเร็จของเขาย่อมมีจำกัด เขาต้องมีคนคอยชี้แนะเพื่อกระตุ้นศักยภาพทั้งหมดออกมา หากปล่อยให้พัฒนาอย่างอิสระ จะเป็การเสียความสามารถไปเปล่าๆ
เมื่อนึกได้ดังนั้น ผู้เฒ่าเหยาจึงถามว่า "น้องชาย อภัยให้ข้าที่ไร้มารยาทด้วย พร์ด้านกระบี่ของเ้าโดดเด่นมาก เ้าเคยคิดจะกราบอาจารย์หรือไม่?"
ใบหน้าของฉู่อวิ๋นมืดมนลง เขาพูดว่า "ข้าย่อมเคยคิดมาก่อน แต่ข้าเกิดมาพร้อมกับิญญายุทธ์พิการ ไร้ซึ่งพริญญายุทธ์ ใครจะยินดีรับข้าเป็ศิษย์กัน?"
เมื่อคิดถึงนักรบิญญาที่เขาเคยพบในอดีต ฉู่อวิ๋นก็ไม่มั่นใจเล็กน้อย แม้ว่าพลังปราณฮุ่นหยวนที่เขาฝึกฝนจะมีศักยภาพสูงกว่าคนอื่นๆ แต่ก็เป็พลังที่มากกว่าในแง่ของการเปิดเส้นลมปราณหรือเพิ่มความแข็งแกร่ง
แต่ความแข็งแกร่งของนักรบิญญานั้นอยู่ที่พร์ทางิญญายุทธ์
ยิ่งระดับการฝึกยุทธ์สูงเท่าไหร่ ผลของพร์ิญญายุทธ์ก็จะชัดเจนขึ้นเท่านั้น และจะส่งผลต่อสถานการณ์การต่อสู้มากขึ้นเช่นกัน
เช่นเดียวกัน ฉู่เฟยที่ปลุกิญญายุทธ์ระดับหกขึ้นมา นางสามารถเอาชนะฉู่อู๋ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ เพียงแค่อาศัยเปลวไฟของนางแอ่นเพลิงมรกต
แต่ฉู่อวิ๋นยังต้องปลุกพร์ิญญายุทธ์ขึ้นมา ดังนั้นจึงมีช่องว่างในพลังการต่อสู้เป็ธรรมดา เขาจึงต้องนำส่วนอื่นๆ มาชดเชยเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นกังวล ผู้เฒ่าเหยาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า "อืม...เื่กราบอาจารย์ บางทีข้าอาจช่วยเ้าได้"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉู่อวิ๋นก็ดีใจมากและพูดอย่างตื่นเต้นว่า "ผู้เฒ่าเหยา หรือว่า...ท่านยินดีรับข้าเป็ศิษย์หรือ?"
ผู้เฒ่าเหยาหัวเราะและพูดว่า "ฮ่าๆ ข้าไม่ได้รับสิทธ์นั้นหรอก อีกอย่าง วิชายุทธ์ที่ข้าฝึกคือหมัดมวย ไม่รู้เกี่ยวกับกระบี่เลยแม้สักนิด เ้าต้องหาปรมาจารย์ที่เก่งกล้าในการใช้กระบี่และร่วมในสำนัก ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เ้าจึงจะมีทรัพยากรการฝึกฝนให้ใช้ได้อย่างไม่ต้องกังวล”
“สำนักที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์เซี่ยตะวันออกค่อนข้างเข้มงวดในการรับสมัคร ข้าเกิดมาพร้อมิญญายุทธ์พิการ พวกเขาจะเต็มใจรับข้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังต้องเตรียมตัวสำหรับการประลองเซี่ยหยาง เื่กราบอาจารย์จึงเป็เื่ไกลตัวไปหน่อย”
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ เหลือเวลาเพียงครึ่งเดือนก่อนการประลองเซี่ยหยาง หากเขาไม่เข้าสามอันดับแรก เขาจะต้องคอยรับใช้ตระกูลหลัก สูญเสียอิสรภาพไป
ผู้เฒ่าเหยายิ้มและพูดว่า "ฮ่าๆ เื่นี้เ้าไม่ต้องกังวล ข้าบังเอิญรู้จักเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เขาเป็ปรมาจารย์ขั้นพื้นพิภพและเป็ผู้ฝึกกระบี่ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเป็ที่ปรึกษาที่มีสิทธิ์มีเสียงในสำนัก หลังจากที่การประลองเซี่ยหยางจบลงแล้ว ข้าจะเชิญเขามาพบเ้าดู เชื่อว่าเขาจะต้องใ แทบรอไม่ไหวที่จะรับเ้าเป็ศิษย์แน่”
“ปรมาจารย์ขั้นพื้นพิภพ?!”
ฉู่อวิ๋นรู้สึกเกินคาดอยู่บ้าง คนที่แข็งแกร่งพออย่างฉู่เจิ้นหนานก็แค่ขั้นมหาสมุทรเท่านั้น หากกราบปรมาจารย์ขั้นพื้นพิภพเป็อาจารย์ได้ นั่นคือสิ่งที่ไม่คาดคิด
“เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณผู้เฒ่าเหยาไว้ก่อน!” ใบหน้าของฉู่อวิ๋นเต็มไปด้วยความสุข เขายกมือขึ้นคำนับให้อยู่หลายที
หลังจากนั้นฉู่อวิ๋นไม่พูดอะไรอีก เดินออกจากเซียนเยว่ซวนและมุ่งหน้าสู่ป่าสนธยานอกเมือง
ในห้องโถงด้านในของเซียนเยว่ซวน ผู้เฒ่าเหยาหยิบพู่กันและหมึกออกมา กำลังเตรียมเขียนจดหมายส่งสารออกไป
“ตาเฒ่านั่น ไม่รู้ว่ายังยินดีจะรับศิษย์อยู่หรือเปล่า? ถ้าเขายังกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามปีก่อนนั่นเล่า? เื่ที่ข้าตกลงกับเ้าหนุ่มคงเปล่าประโยชน์สินะ…เฮ้อ นี่ข้ามุทะลุไปหน่อยใช่หรือไม่?”
เมื่อผู้เฒ่าเหยาหยิบพู่กันขึ้นมาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกและถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นเขาก็หยุดคิดและเริ่มลงมือเขียนอย่างรวดเร็ว
--------------------
[1] เศวตร หมายความว่า สีขาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้