“นี่...” สายตาของเหล่าผู้คนต่างนิ่งงัน สีหน้าตื่นตะลึงขณะมองซื่อหุนที่กลายเป็ศพแห้งๆ ด้วยใจเต้นระรัว
“เป็ไปได้อย่างไร ซื่อหุนสำแดงเคล็ดวิชาิญญาสังหารก็น่าจะกลืนกินจิติญญาของเย่เฟิงถึงจะถูกสิ แต่ทำไมถูกอีกฝ่ายกลืนกินได้เล่า หรือเย่เฟิงผู้นี้มีเคล็ดวิชาที่สามารถกลืนกินพลังงานของผู้อื่นได้?” บนอัฒจันทร์ ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ และอดไม่ได้ที่จะสนใจเย่เฟิงมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากตื่นตะลึงกัน ผู้ชมล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย ซื่อหุนสำแดงเคล็ดวิชาิญญาสังหาร แต่ยังคงตายในน้ำมือของเย่เฟิง เพราะถูกเคล็ดวิชาบางอย่างของเย่เฟิงดูดพลังจนกลายเป็ซากศพ นี่ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก
บนอัฒจันทร์ สีหน้าของตู๋กูหลงเปลี่ยนไปเรียบเฉยอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่คิดว่าเย่เฟิงจะฆ่าได้แม้กระทั่งซื่อหุน
“เฮ้อ!” เย่เฟิงถอนหายใจยาว พลังกลืนกินที่ปะทุออกจากไข่มุกค่อย ๆ สงบลง เขาแสยะยิ้มขณะมองศพที่เหี่ยวแห้งของซื่อหุนบนพื้นเวทีประลอง ซื่อหุนพยายามใช้วิชาชั่วร้ายกลืนกินจิติญญาของเขา เช่นนั้นเขาเย่เฟิงก็ใช้วิธีเดียวกันทำให้อีกฝ่ายจ่ายด้วยราคาแสนเ็ปที่สุด ตอนที่ไข่มุกกลืนกินพลังงานจากซื่อหุน เย่เฟิงได้รับประโยชน์มามากโข ระดับการบ่มเพาะถูกยกระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา ห่างจากขั้นรวมชี่อีกหนึ่งก้าว แต่หลังจากเย่เฟิงตรวจสอบไข่มุกแล้ว เขาค้นพบว่าเมื่อผ่านการกลืนกินครั้งนี้ ในที่สุดพลังในไข่มุกก็ถึงจุดอิ่มตัวอีกครั้ง ตราบใดที่เย่เฟิงยินยอมก็สามารถปลดปล่อยพลังหยดน้ำสีเขียวที่แกร่งกล้านั่นได้ทุกเมื่อ
“ไข่มุกนี้ฝืนชะตาฟ้าลิขิตจริง ๆ ไม่เพียงแต่ดูดซับพลังงานจากตัวสื่อกลางอื่น ๆ แต่ยังกลืนกินพลังยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ได้ นี่จะน่ากลัวมากไปแล้ว ฝืนชะตาลิขิตแบบนี้ ข้าต้องรักษาไว้ให้ดี ๆ ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ความลับของไข่มุกนี้ได้” เย่เฟิงคิดในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ คิดไม่ถึงว่าการประลองหนึ่งครั้งจะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่เขาเช่นนี้
“วูบ!” ขณะนั้นมีเสียงประหลาดดังขึ้น ผู้คนหันไปมองแล้วเห็นแสงกะพริบรอบกายของเย่เฟิง เป็แสงสีทองม่วงอย่างแท้จริง
“แสงาระดับนี้ทรงพลังมาก หลังจากชนะซื่อหุน คะแนนของเย่เฟิงก็เพิ่มขึ้นเป็ 300,000 กว่าแต้ม ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก คะแนน 300,000 กว่าแต้มสามารถแลกเปลี่ยนเป็รางวัลล้ำค่าได้หลายชิ้น ครั้งนี้ตระกูลตู๋กูคงเสียหายหนักแน่!” ผู้คนส่งสายตาริษยาขณะมองเย่เฟิงที่อาบอยู่ท่ามกลางแสงาบนเวทีประลอง แม้แต่คะแนนหนึ่งถึงสองหมื่นแต้มพวกเขาก็ยังไม่กล้าจินตนาการ แล้วนับประสาอะไรกับคะแนนหลายแสนแต้ม วันนี้เย่เฟิงได้สร้างปาฏิหาริย์ด้วยตัวของเขาเอง
เขาใช้พลังขั้นบ่มเพาะกายา ใช้พลังตนเข้าต่อต้านตระกูลตู๋กูผู้เป็เ้าภาพอย่างเปิดเผย กวาดล้างผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลตู๋กูจำนวนมาก สังหารศิษย์อัจฉริยะขั้นรวมชี่แห่งสำนักศึกษาเสินเจียง ใช้กำลังอันแกร่งกล้ากำราบชายร่างสูงใหญ่ เอาชนะนักดาบแขนเดียวผู้ลึกลับในหนึ่งกระบวนท่า สุดท้ายเอาชนะซื่อหุนผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งในเขตเวทีประลองทดสอบแห่งนี้ และ่ชิงคะแนนมาได้ 340,000 แต้ม!
แสงเจิดจรัสของเขากลบทุกคนจนมิด กลายเป็บุคคลผู้เฉิดฉายที่สุดในวันนี้ และไม่มีใครแข่งกับเขาได้ เมื่อหวนนึกถึงความสำเร็จแต่ละอย่างของเย่เฟิงบนเวทีประลองทดสอบ เหล่าผู้คนจึงอดใจเต้นโครมครามไม่ได้ และตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกอยู่นาน
เย่เฟิงยืนตระหง่านบนเวทีประลอง เขาดูตัวสูงใหญ่ขึ้นภายใต้แสงาสีทองม่วงที่เจิดจรัส ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนไปล้ำลึกขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตู๋กูหลง ก่อนกล่าวว่า “เ้าพูดว่าอยากฆ่าข้าบนเวทีประลองแห่งนี้ แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่ดี เ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม?” เสียงของเย่เฟิงเปี่ยมด้วยความองอาจ ก่อนหน้านี้ตู๋กูหลงพยายามกำจัดเย่เฟิง จึงส่งผู้ฝึกยุทธ์ในตระกูลไปจัดการเย่เฟิง ต่อมาเสนอคะแนน 50,000 แต้มล่อลวงผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นให้สู้กับเย่เฟิง แต่สุดท้ายผู้ที่ท้าเย่เฟิงก็ถูกเย่เฟิงฆ่าตายทุกคน
บัดนี้เวทีประลองหลายสิบแห่งในเขตพื้นที่กว้างขวางแห่งนี้... ไร้วี่แววผู้คน มีเพียงเย่เฟิงผู้เดียวที่ยังคงยืนอยู่ราวกับเทพาแห่งยุคก็ไม่ปาน เขากังขาตู๋กูหลง จึงทำให้ตู๋กูหลงมีสีหน้าอึมครึม ถ้อยคำของเย่เฟิงทิ่มแทงหัวใจของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะโต้กลับอย่างไรดี เพราะว่าเย่เฟิงทำสำเร็จแล้วจริง ๆ ไร้เทียมทานและไร้ผู้ต่อต้าน ในตระกูลตู๋กูของเขาก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเวทีประลอง แม้แต่ซื่อหุนผู้แข็งแกร่งที่สุดยังถูกคนผู้นี้ฆ่าตาย กระทั่งคนผู้นี้เก็บสะสมคะแนนได้ 300,000 กว่าแต้ม แล้วใครเล่าจะกล้าท้าดวลอีก?
“เ้าอยากพูดอะไร?” กล้ามเนื้อมุมปากของตู๋กูหลงกระตุกวูบ
“ตอนนี้ข้ามีคะแนน 300,000 กว่าแต้มแล้ว ข้าจึงอยากแลกเปลี่ยนเป็ของรางวัล เ้าตระกูลตู๋กูคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ!” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มเย็นเยียบ
“ตระกูลตู๋กูข้าเป็ถึงกองกำลังทรงอิทธิพลแห่งเมืองหลวง และจัดการประลองนี้ แล้วจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า!” เมื่อตู๋กูหลงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเย็นเยียบขึ้นแต่ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจ คะแนน 300,000 กว่าแต้มสามารถแลกเปลี่ยนเป็ของรางวัลได้ แต่สำหรับตระกูลตู๋กูเขาเป็ของรางวัลที่ล้ำค่าอย่างมาก หากเป็คนอื่นได้ไปก็ไม่เป็อะไร แต่คนที่ได้กลับเป็เย่เฟิง ทำให้ตู๋กูหลงไม่ชอบใจยิ่งนัก
“งั้นก็ดี กระดูกปีศาจันั่นเป็ของข้าแล้ว!” เย่เฟิงพยักหน้า ขณะมองสีหน้าเ็ปของตู๋กูหลงพลางเย้ยหยันในใจ เมื่อกล่าวเช่นนั้นออกไป พลันแววตาของผู้คนเป็ประกาย เย่เฟิงผู้นี้เลือกกระดูกปีศาจัอย่างที่คาดการณ์ไว้ ของล้ำค่าสิ่งนี้ไม่จำเป็ต้องอธิบายให้มากความ เพราะมีหลาย ๆ คนรู้จักของสิ่งนี้
“กระดูกปีศาจั?” ตู๋กูหลงได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเงียบไป ส่วนคนอื่น ๆ ของตระกูลตู๋กูต่างตาเผยประกายคมกริบขณะจ้องมองเย่เฟิง จากนั้นมีชายวัยกลางคนของตระกูลตู๋กูคนหนึ่งเดินไปที่ด้านหน้าตู๋กูหลง ก่อนก้มลงกระซิบที่ข้างหูว่า “นายน้อย ปีนั้นผู้นำตระกูลกว่าจะได้กระดูกปีศาจันั้นมาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านมิอาจให้คนผู้นี้ไปได้”
ตู๋กูหลงมองหน้าชายวัยกลางพลางพยักหน้าให้ จากนั้นมองไปที่เย่เฟิง และกล่าวว่า “ข้าตระกูลตู๋กูมีของรางวัลมากมาย เ้าเลือกอย่างอื่นได้หรือไม่ สำหรับกระดูกปีศาจั ตระกูลตู๋กูไม่อยากแลกเปลี่ยน”
“ไม่อยากแลกเปลี่ยน?” เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเหยียดยิ้มอย่างเ็าพร้อมกล่าวว่า “หากข้าบอกว่า้าจะแลกเปลี่ยนให้ได้ล่ะ?”
เวลานี้ผู้คนต่างได้กลิ่นทะแม่ง ๆ จากการปะทะฝีปากระหว่างเย่เฟิงกับตู๋กูหลง
“ทางที่ดีเ้าควรรักษาโอกาสนี้ไว้!” ตู๋กูหลงกล่าวเสียงเย็นพลางแววตาเผยประกายคมกริบ เมื่อครู่นี้เขาพูดอย่างชัดเจน แต่เย่เฟิงผู้นี้กลับไม่รู้จักกาลเทศะ
“น่าขัน!” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นและระบายยิ้มด้วยความดูแคลน เขาไม่คิดว่าตู๋กูหลงจะหน้าไม่อายเพียงนี้ “ตระกูลตู๋กูเ้านำกระดูกปีศาจัมาเป็ของรางวัลสำหรับการประลองทดสอบในครั้งนี้ ผู้คนในที่แห่งนี้ต่างทราบกันดีและมีหลายคนมาเข้าร่วมก็เพื่อของสิ่งนี้ ตอนนี้ข้าเย่เฟิงเก็บคะแนนถึง 300,000 แต้มที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็กระดูกปีศาจัได้แล้ว คิดว่าทุกคนที่มาเข้าร่วมการประลองนี่เป็คนเขลาหรือ?”
“ใช่แล้ว เย่เฟิงผู้นี้พูดถูก ตระกูลตู๋กูทำแบบนี้ไม่ดูถูกเกินไปหน่อยหรือ มีคนเก็บคะแนนถึง 300,000 แต้ม แต่ตระกูลตู๋กูกลับปฏิเสธ ช่างเลวทรามมาก!” มีคนหนึ่งของกองกำลังเมืองหลวงเอ่ยขึ้นจากอัฒจันทร์บางแห่ง คล้ายไม่ชอบวิธีเลวทรามของตระกูลตู๋กู เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย
เมืองหลวงนั้นเป็แหล่งศูนย์รวมของผู้ฝึกยุทธ์มากความสามารถ กองกำลังต่าง ๆ มีการแข่งขันอย่างยุติธรรม ดังนั้นเห็นการกระทำของตระกูลตู๋กูเช่นนี้ พวกเขาจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร
เมื่อตู๋กูหลงได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้ก็เผยสีหน้าขุ่นมัว พวกเขาตระกูลตู๋กูก่อตั้งเวทีประลองทดสอบ จำต้องสนใจคำพูดของเหล่าผู้คน
“นายน้อย ในเมื่อเด็กคนนี้อยากได้กระดูกปีศาจั พวกเราคงต้องตอบสนองเขาแล้ว นายน้อยประกาศเถิด” ขณะนั้นมีคนหนึ่งเดินมาหาและกล่าวกับตู๋กูหลง ตู๋กูหลงตาวาบประกายแสง ทั้งสองคุยกันสองสามประโยค ก่อนคนนั้นจะถอยออกไป
ดวงตาของตู๋กูหลงเผยประกายคมกริบ เขามองไปที่เย่เฟิงอีกครั้งพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อเ้าอยากแลกเปลี่ยนเป็กระดูกปีศาจั งั้นตระกูลตู๋กูข้าจะสนองเ้าเอง จงรับไปซะ!”
เมื่อกล่าวจบ ผู้คนเห็นตู๋กูหลงโบกสะบัดมือ พลันพลังประหลาดก่อตัวที่กลางอากาศกลายเป็ฝ่ามือ จากนั้นหยิบกระดูกปีศาจับนแท่นบูชา ก่อนจะลอยไปหาเย่เฟิง เย่เฟิงเหลือบมองตู๋กูหลงแวบหนึ่ง จากนั้นรับกระดูกปีศาจัไปอย่างไม่เกรงใจ
“หมอนี่ได้รับกระดูกปีศาจัของตระกูลตู๋กูจริง ๆ!” ผู้คนจำนวนมากเห็นฉากนี้ต่างใจเต้นถี่แรง แต่ก็รู้สึกอิจฉา และไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลตู๋กูเปลี่ยนท่าทีเร็วถึงเพียงนี้
“เวทีประลองทดสอบของตระกูลตู๋กูไม่เลวเลย หากมีโอกาสจะมาอีก ข้าขอลา!” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย แม้ถ้อยคำจะดูเกรงใจ แต่สำหรับตระกูลตู๋กู มีเพียงแต่ความหยามเกียรติและศักดิ์ศรี
ผู้คนของตระกูลตู๋กูได้ยินเช่นนั้นจึงเผยหน้าเขียว เพียงวันเดียวเย่เฟิงก็คว้ากระดูกปีศาจัสมบัติล้ำค่าของตระกูลตู๋กูไปได้ หากหมอนี่มาที่นี่อีก เวทีประลองทดสอบของตระกูลตู๋กูคงพังพินาศไม่เป็ท่า
เย่เฟิงผู้เดียวแลกเปลี่ยนของรางวัลที่ตระกูลตู๋กูตั้งไว้ไปมากมาย แม้แต่ระดับการบ่มเพาะเดียวกันยังไม่มีใครเอาชนะเขาได้
ดูไปแล้วตระกูลตู๋กูช่างน่าเวทนายิ่งนัก กองกำลังชั้นยอดแห่งเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว คาดไม่ถึงว่าไม่มีปัญญาจัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาเพียงคนเดียวได้