บทที่ 61 ยั่วยุหลินเหยา
“ที่แท้เป็นางนี่เอง ข้าเคยได้ยินมา! แต่เหตุใดถึงมามีเื่กับนายน้อยตระกูลลู่ได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสองคนนี้เคยพบหน้ากัน! หรือว่าจะมีเกิดเื่ขึ้นั้แ่่พิธีรับศิษย์ที่ลือกันก่อนหน้านี้?”
“ก็น่าจะใช่นะ อาจเป็เพราะคุณหนูสามของตระกูลหลินกลับมาเยี่ยมญาติ แล้วรู้สึกว่าตระกูลหลินของตนนั้นเสียเปรียบ และอับอายขายหน้า เช่นนั้นแล้วจึงมาทวงถามหาศักดิ์ศรีให้ ได้ยินว่าแต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูสามผู้นี้ไม่ฟังเหตุผลใคร ยึดแต่เหตุผลตัวเองเป็หลัก นิสัยตรงกันข้ามกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยที่อ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อยเลยทีเดียว”
“ฮ่าๆ หากเป็เช่นนั้น นายน้อยตระกูลลู่คงได้สนุกแน่!”
ลู่อวี่เองก็ไม่คิดที่จะเป็ลิงที่ถูกคนมองอยู่ตรงนี้แน่นอน เช่นนั้นแล้วจึงเข้าไปขวางมู่เสวียนไว้แล้วเดินออกมาและถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็ใครในตระกูลหลินหรือ? อีกอย่างเมื่อสักครู่นี้ว่าอะไรนะ ข้าชิงตัวคนมาจากตระกูลหลิน เื่นี้คิดว่าคงมีอะไรที่เข้าใจผิดกันแล้ว ข้าเพียงแต่รับศิษย์จากตระกูลหลินมาคนหนึ่ง และนั่นเป็ข้อตกลงที่ทำร่วมกับคนตระกูลหลิน โดยมีนักพรตหลายร้อยคนเป็สักขีพยาน ไม่ว่าอย่างไร ก็คงใช้คำว่าชิงตัวมาไม่ได้ แม่นางไม่คิดว่าเป็การโต้แย้งอย่างไร้ซึ่งเหตุผลหรือ?”
“เชอะ จีชิงรั่วมีพร์ไฟแท้จื่อจี๋มาโดยกำเนิด ต่อให้ไม่เหมาะต่อการหลอมอาวุธ แต่หากตั้งใจฝึกฝน ไม่แน่ว่า หกในสิบส่วนของพลังยุทธ์ในกาย อาจมีพลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพในภายภาคหน้าได้ หากเทียบกับยาอายุวัฒนะเพียงไม่กี่เม็ด สิ่งใดสำคัญกว่ากันยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ? ลู่อวี่เ้าอาศัยสถานะคนปรุงโอสถขั้นห้า และยาอายุวัฒนะเพียงไม่กี่เม็ด เช่นนั้นแล้ว มันนับเป็อะไรได้หรือ? เชอะ หากนี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งตระกูลหลินของข้าแล้ว จะนับเป็อะไรได้เล่า?” หลินเหยาพูดด้วยความโกรธ หลังจากพูดจบ ก็เพิ่งจะนึกถึงสิ่งที่ลู่อวี่ถามก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงตอบกลับไปว่า “ข้าชื่อหลินเหยา คุณหนูสามของตระกูลหลิน หลินเยวี่ยเป็พี่ชายคนโตของข้า เ้าไม่เพียงแต่ชิงตัวผู้มีพร์ที่มีอนาคตไปจากตระกูลหลินของข้าเท่านั้น แม้แต่ชิงรั่วที่ถูกตระกูลหลินของข้ากำหนดไว้นานแล้วว่านางเป็ ...”
เมื่อพูดมาได้ถึงตรงนี้จู่ๆ หลินเหยาก็ได้สติกลับมา และเงียบไปทันที ได้แต่มองลู่อวี่ด้วยสายตาเ็าพร้อมกล่าวว่า “ว่าอย่างไร? เ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่? หากไม่กล้าก็คืนตัวจีชิงรั่วกลับมา ข้าก็จะไม่เอาความและปล่อยเ้าไป!”
ลู่อวี่รู้สึกตื่นเต้นที่ถูกผู้หญิงคนนี้รู้สิ่งที่เขาทำอย่างชัดเจน แต่ก็พูดด้วยความไม่พอใจ “แม่นางหลิน ข้าไม่สนหรอกว่าเ้าจะคิดว่ามันยุติธรรมหรือไม่ แต่เื่นี้มีประมุขตระกูลหลินและผู้เฒ่าทุกคนร่วมถึงนักพรตหลายร้อยคนเป็พยาน จะให้ข้าคืนคนให้เ้าเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของเ้าท่านเท่านั้นหรือ? เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร? มหาเทพหรือ?”
หลินเหยาพูดอย่างไม่แยแสและเย่อหยิ่ง “หากเป็เช่นนั้นก็รับคำท้าของข้าสิ หากเ้าชนะข้า ข้าก็จะจากไปเอง มิเช่นนั้นหากเ้าแพ้ ก็ต้องส่งตัวจีชิงรั่วมาให้ข้า!”
ลู่อวี่ก็หัวเราะด้วยความโกรธ เมื่อเห็นผู้คนรอบตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่อยากยืดเยื้อเวลา จึงพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “หากข้ายอมรับคำท้าจากเ้า ก็ไม่นับว่าเป็อะไรได้ เพียงแต่ระดับพลังยุทธ์ของเ้าสูงกว่าข้า และของเดิมพันกลับเป็คนของข้าอีก กฎเหล่านี้มาจากที่ใดเล่า?เ้าลองถามสหายทุกผู้ในที่นี้ ตระกูลหลินมีสิทธิ์มาวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“แล้วเ้าจะเอาอย่างไร?” หลินเหยาทำหน้าบึ้งตึง โดยไม่แม้แต่จะมองคนที่มุงดูอยู่ด้วยซ้ำ นางทำเพียงมองหน้าลู่อวี่ และคิดว่า ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงอีกฝ่ายตกปากรับคำ ย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน พลังยุทธ์ของนางอยู่ใน่ปลายขั้นฟันฝ่า มีหรือจะเอาชนะคนปรุงโอสถขั้นห้าที่มีพลังยุทธ์เพียง่ต้นขั้นฟันฝ่าผู้หนึ่งไม่ได้?หากเป็เช่นนั้น การที่นางฝึกฝนมาสิบกว่าปี ไม่นับว่าสูญเปล่าหรือ
นอกจากนี้ สิ่งที่ตัวนางเรียนรู้มาจากอาจารย์ ไหนจะประสบการณ์การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดใน่หลายปีที่ผ่านมา ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษผู้นี้ ที่วันๆ เอาแต่ใช้เวลาไปกับการปรุงโอสถอยู่แต่ในห้องกลมๆ จะจินตนาการถึงได้ หรือต่อให้ระดับพลังยุทธ์ของนางจะต่ำกว่าเขา บุรุษผู้นี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
เช่นนั้นแล้วเมื่อเอ่ยปากถามก็รู้สึกเต็มไปด้วยความมั่นใจ และไม่สนใจว่าหลังจากลู่อวี่หยิบยกเงื่อนไขที่มากเกินไปให้ แล้วตัวเองอาจจะได้ทำตามนั้นจริงๆ
เวลานี้ลู่อวี่ก็พอจะรู้นิสัยของคุณหนูสามผู้นี้บ้างแล้ว นับเป็นิสัยหยิ่งผยองที่มาจากสันดานโดยแท้ เช่นนั้นแล้วเงื่อนไขที่เสนอให้ ย่อมต้องทำให้เหนือความคาดหมายไปเสียบ้าง
ในเมื่อนาง้าคนจากเขา เพียงแต่ตัวเขาไม่ได้้าอะไรจากนาง นอกจากคน เช่นนั้นแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากข้าแพ้ เช่นนั้นแล้ว ข้าจะมอบตัวลูกศิษย์ของข้าให้ตระกูลหลินของเ้า แต่หากข้าชนะ แม่นาง ตัวข้าไม่ได้้าสิ่งใดจากตระกูลหลินของเ้า เพียงแต่...หลินเหยา เ้าจะตกเป็ของข้าทันที หากทำเช่นนี้ถือว่ายุติธรรม!”
“พูดบ้าอะไร!” หลินเหยาใกับข้อเสนอของลู่อวี่ยิ่งนัก จึงเผลอแสดงท่าทีไม่ควรออกมา นางะโถามเสียงดังอย่างลนลาน
“ไอ๊หยา เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ แม้ว่าลูกศิษย์ผู้นี้ของข้าจะอายุยังน้อย แต่เมื่อมาอยู่ในตระกูลลู่ของเราแล้ว ก็คล้ายกับว่าเป็เ้าหญิงตัวน้อยในตระกูลแล้วเช่นกัน อาวุธวิเศษอื่นๆ หรือยาวิเศษ ยาอายุวัฒนะต่างๆ เทียบกับเส้นผมลูกศิษย์ของข้าไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว เว้นแต่คุณหนูหลินเช่นเ้าที่เปรียบเสมือนเ้าหญิงของตระกูลหลินเช่นกัน ไม่เช่นนั้น อย่าคิดว่าข้าจะตกปากรับคำท้าของเ้า ข้าไม่ได้ขลาดเขลาเบาปัญญา เื่นี้เห็นได้ชัดว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ หึ แล้วใครเล่าจะกล้ารับปาก? ยิ่งไม่ต้องใช้ท่านอาจารย์หรือคนของตระกูลหลินมาข่มขู่ แม้จะไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของเ้าเป็ใคร แต่เขาคงไม่หอบสังขารมาหลายลี้ เพื่อมาข่มขู่เด็กหนุ่มที่มีพลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่าผู้หนึ่งเช่นข้าหรอก!”
ในขณะที่ลู่อวี่กำลังพูดอยู่ ก็ไม่รู้เสกพัดขึ้นมาจากที่ใด ภาพนั้นราวกับชายหนุ่มรูปงาม แต่เขากลับไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของเขาสร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็นเสียแล้ว ยิ่งมาเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ในเวลานี้อีก ทำให้ทั้งองครักษ์ของเขาเอง รวมถึงลู่เหว่ยเฉิน และทุกคนรู้สึกเหมือนว่า นิสัยหนุ่มเ้าสำราญเมื่อก่อนหน้านี้ ได้กำเริบกลับมาอีกแล้ว และทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะห้ามปรามหรือทำอะไรอย่างอื่นดี
“หน้าไม่อาย เ้าอย่าฝันหวาน คางคกอยากกินเนื้อหงส์” หลินเหยากัดฟันด้วยความเจ็บใจ
“อ้าว หากเป็เช่นนั้น คงต้องขอตัวแล้ว คุณหนูหลิน หลังจากนี้อย่าได้พบเจอกันอีก!” ลู่อวี่ตบพัดในมือ จากนั้นก็ชูขึ้นช้าๆ ส่งสัญญาณให้ทุกคนที่อยู่ด้านหลังและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าลู่อวี่และคนอื่นๆ ใกล้จะไปกันแล้ว หลินเหยาก็ทั้งโกรธ และรู้สึกจนใจขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดเลยว่านายน้อยของตระกูลลู่จะจัดการยากเช่นนี้ เหล่าบุรุษที่เคยพบปะนางในอดีต คนเ่าั้เพียงถูกนางยั่วยุเล็กน้อย ไม่ว่าเงื่อนไขใดก็ยอมตอบตกลงทั้งสิ้น ถึงขั้นที่นางไม่ต้องเอ่ยปากเลยด้วยซ้ำ เพียงบอกใบ้เล็กๆ น้อยๆ คนเ่าั้ก็แย่งกันออกหน้าให้แล้ว ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาพบเจอกับบุรุษเช่นนี้
แต่ว่าบุรุษผู้นี้มีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นฟันฝ่าเท่านั้น ไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้อะไร นางสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย แต่เงื่อนไขที่คนผู้นี้เสนอมามันมากเกินไป มันทำให้นางไม่สามารถยอมรับได้ในทันที แต่เมื่อได้สงบสติอารมณ์ ลองคิดดูถึงเื่นี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจทันที
“ช้าก่อน ข้าตกลง หากข้าแพ้ ข้าจะแต่งเข้าตระกูลลู่ แต่หากข้าชนะ เ้าต้องส่งตัวจีชิงรั่วให้กลับไปกับข้า! เช่นนั้นแล้วไม่สู้พวกเราไปที่สนามประลองเมืองเซียนของตระกูลลู่กันตอนนี้เลยเล่า รีบทำให้มันเสร็จสิ้น วางใจได้ ข้าไม่เอาชีวิตของเ้าหรอก!” หลินเหยารีบพูดทักท้วง
“ช้าก่อน ข้าพูดเมื่อไรว่าจะแต่งกับเ้า? ไม่ได้ยินหรืออย่างไรว่าหากจะแต่งเข้าตระกูลลู่ของเรา ต้องผ่านด่านน้องสาวของข้าก่อน? เมื่อสักครู่นี้ข้าบอกว่าหากเ้าแพ้ เ้าจะเป็คนของข้า แต่หากเ้าจะมาเป็ภรรยา อนุภรรยาหรือสาวใช้ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของข้า เข้าใจหรือไม่?” ทันทีที่ลู่อวี่ได้ยิน ก็รีบพูดแก้ไขให้ถูกต้อง
หลินเหยาอยากจะกัดบุรุษที่หน้าไม่อายผู้นี้ให้ตายเสียั้แ่บัดนี้ นางเป็ถึงคุณหนูสามแห่งตระกูลหลิน ยังไม่นับว่าคู่ควรกับการเป็ภรรยาของเขาอีกหรือ? แต่เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง นางจึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากสวยได้รูป ดวงตาลุกเป็ไฟจ้องเขม็งมองลู่อวี่ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อลู่อวี่ใกล้จะหมดความอดทนแล้ว ถึงกัดฟันแล้วพูดว่า “เอาละ ข้าตกลง!”
แต่ในใจกลับคิดว่า เดิมทีหากอีกฝ่ายแพ้ นางก็จะไว้หน้าเขาอยู่สักส่วน แต่ตอนนี้หากไม่เหยียดหยามคนสารเลวผู้นี้ให้อับอายจนจมดิน ก็นับว่ารู้สึกผิดกับตนเองไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ชำเลืองมองลู่อวี่ด้วยสายตาแข็งกร้าว หันหลังแล้วเดินไปทางสนามประลอง
ถึงแม้ทุกเมืองเซียนจะเป็เหมือนกัน คือการไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนขั้นต่ำกว่าพลังยุทธ์ขั้นตงซวนเหาะเหินบินไปมาตามใจชอบ แต่ต่อให้ไม่บินไปมา ผู้ฝึกตนเหล่านี้เพียงเดินเร็วๆ ก็รวดเร็วราวกับสายฟ้าแล้ว
ลู่อวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้แม่นางผู้นี้จากตระกูลหลินจะมีพลังยุทธ์สูงกว่าตัวเองมาก และหากคิดจะอาศัยพลังยุทธ์ของตัวเองเอาชนะนางก็ไม่ใช่เื่ยากอะไร แต่เวลาดันไม่เพียงพอ ตัวเขามาเข้าร่วมงานประมูล ไม่ได้มาเกี้ยวสตรี ก็ต้องรีบประลองฝีมือให้จบไปโดยเร็วไว แม่นางผู้นี้จะได้เลิกทำท่าหยิ่งผยองเสียที แล้วจะได้ไม่มาหาเื่เขาในภายภาคหน้าอีก
“ข้าจะไปก่อน พวกเ้าค่อยตามไปภายหลัง!” ลู่อวี่พูดจบ ร่างกายก็กะพริบวิบวับ อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง หลังจากตัวเขากะพริบอยู่หลายครั้งก็หายวับไปโดยไม่เห็นร่องรอย
เมื่อครั้งสมัยโบราณกาล นักพรตจะมีสิ่งที่ต่างกันตามคุณสมบัติและเคล็ดวิชาที่ต่างกัน จะแบ่งออกเป็การฝึกฝนร่างกาย การหลอมอาวุธ การฝึกฝนยันต์ และการฝึกฝนพลัง เป็ต้น แต่เมื่อส่งต่อเคล็ดวิชากันมาจนถึงตอนนี้ เคล็ดวิชาฝึกฝนก็สูญหายไปแล้วจำนวนมาก เช่นนั้นแล้วจึงไม่มีการแบ่งแยกอะไรทำนองนี้ในโลกการบำเพ็ญเพียรแห่งเทียนตู และแม้ว่าจะไม่มีการแบ่งแยก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอยู่
ยกตัวอย่าง สิ่งที่ลู่อวี่ใช้เมื่อสักครู่นี้ คือเคล็ดวิชาฝึกฝนร่างกายชนิดหนึ่งที่แตกสาขามาจากศิลปะการต่อสู้ซึ่งเป็เคล็ดวิชาแขนงใหญ่ที่สุดของการฝึกฝนร่างกาย ตราบใดที่ร่างกายแข็งแกร่งมากพอ แม้ว่าลมปราณจะอ่อนแอ แต่ก็ยังสามารถใช้ได้ และไม่ช้าไปกว่าการเหาะเหินของนักพรตในขั้นพลังยุทธ์เดียวกันเท่าใด
หลังจากที่สองคนหายตัวไป คนมุงดูเหตุการณ์บางส่วนก็สลายตัวตามไปทันที คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประมูล และแม้บางคนจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประมูลได้ แต่ไม่สนใจว่าจะประมูลสิ่งใดได้ในงานประมูล เพียงแต่หันมาสนใจยุ่งเื่ของคนตระกูลหลินกับคนตระกูลลู่มากกว่า
ส่วนคนที่เหลือเ่าั้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจเื่นี้ แต่ส่วนหนึ่งซุบซิบนินทากันสนุกปากมากกว่าเดิม เข้าไปในงานประมูลเรียกหามิตรสหาย ประกาศเสียงดังถึงการพนันการต่อสู้ระหว่างนายน้อยตระกูลลู่กับคุณหนูสาม ตระกูลหลิน จากนั้นก็พูดคุยเื่นี้และพาคนกลุ่มหนึ่งไปที่เวทีประลอง
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในงานประมูล ล้วนเป็คนที่มีนิสัยสุขุม เ้าเล่ห์เพทุบาย และมีความฉลาดแยบยล อย่างไรเสียงานประมูลจะเริ่มช้าเพราะสาเหตุนี้ไม่ได้อยู่แล้ว หากเป็เช่นนี้ก็จะมีคู่แข่งลดน้อยลง ราคาก็จะต่ำลงมากตามไปด้วย พวกเขาก็จะได้เปรียบมากขึ้น
“เ้าสารเลวน้อยของตระกูลลู่กำลังต่อสู้กับคุณหนูสามจากตระกูลหลินหรือ? ฮ่าๆ เื่นี้คงต้องไปดูให้เห็นกับตา คราวที่แล้วปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้ ครั้งนี้ดูสิเขาจะหนีไปได้อย่างไร ได้ยินว่าอาจารย์ของคุณหนูสามจากตระกูลหลิน เป็ถึงปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ใน่กลางของขั้นเกิดเทพเ้า ยอดฝีมือที่ปกป้องลู่อวี่อยู่ไม่ว่าอย่างไรย่อมต้องกำเริบเสิบสานอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชามารายงาน เมิ่งเทียนเจวี๋ยก็ดีใจไม่น้อย ลุกขึ้นพูดโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยนิด
แน่นอนว่าต้องมีคนจากตระกูลเมิ่งมาเข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้ด้วย เพียงแต่ผู้ที่มางานนี้ย่อมต้องไม่ใช่เมิ่งเทียนเจวี๋ยอยู่แล้ว แต่เป็เมิ่งเทียนอิงซึ่งเป็นายน้อยของตระกูลเมิ่ง ทว่าเมิ่งเทียนอิงไม่อยากเสียโอกาสในการประมูลสินค้าราคาถูก แต่เมิ่งเทียนเจวี๋ย้าไป เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามปราม เช่นนั้นแล้วเขาจึงพูดว่า “ไปดูก็ดี แต่จำไว้ว่าอย่าไปก่อเื่!” พูดจบก็โบกมือให้ และไม่สนใจผู้ใดอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้