กู่ซิ่วชดใช้ของครบถ้วนทุกชิ้นทุกอย่าง สามพี่น้องสกุลลู่ก็ช่วยกันขนของขึ้นรถ
คุณนายลู่จึงเอ่ยถามกู่ซิ่วด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “แล้วเงินล่ะ?”
กู่ซิ่วรีบควักเงินสามพันหยวนส่งให้คุณนายลู่
คุณนายลู่พูดกับสวี่ฮุ่ยอย่างเป็กันเอง “ช่วยย่านับเงินหน่อยสิ ว่าครบหรือเปล่า”
สวี่ฮุ่ยนับไปสองรอบแล้วบอกว่า “ครบค่ะ” ก่อนจะส่งเงินคืนให้คุณย่าลู่
คุณนายลู่เก็บเงินแล้วพูดว่า “ย่าเตรียมซองแดงห้าพันหยวนไว้ให้หนูด้วย แต่เห็นหนูไม่รับแม้แต่เสื้อผ้า ย่าเลยไม่ให้ซองแดงกับหนูแล้ว เดี๋ยวได้ยื้อยุดกันไปมาเหมือนคนทะเลาะวิวาทอีก”
สวี่ฮุ่ยยิ้มรับ เธอเองก็ไม่อยากได้ซองแดงนั้นอยู่แล้ว มันเป็ภาระทางใจเกินไป
คุณนายลู่ให้หลานชายทั้งสามคนช่วยขนของที่เธอซื้อให้สวี่ฮุ่ยเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ
สวี่ฮุ่ยลุกตาม พลางพูดกับคุณนายลู่ว่า “คุณย่าลู่คะ หนูมีเื่อยากจะขอให้คุณย่าช่วยค่ะ”
คุณย่าลู่ถามอย่างอ่อนโยน “เื่อะไรเหรอ?”
สวี่ฮุ่ยชี้ไปที่สวี่เยว่ “สวี่เยว่แอบรับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยของหนูไป แต่ไม่ยอมให้หนูสักทีค่ะ”
สวี่ฮุ่ยอดทนไม่พูดมาจนถึงวันนี้ก็เพื่อให้สวี่เยว่ดูไม่ดีต่อหน้าคุณย่าลู่
ยัยตัวแสบชอบใส่ร้ายป้ายสีเธอนัก เธอต้องเอาคืนบ้าง
“จริงเหรอ?” คุณย่าลู่กับหลานชายหันไปมองสวี่เยว่อย่างไม่พอใจเป็ตาเดียว
สวี่เยว่ใแทบสิ้นสติ
เธอนึกขึ้นได้ว่าวันนั้นเธอรับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแทนยัยงั่ง พอกลับมาถึงบ้านเพิ่งคุยโทรศัพท์กับกู่ซิ่วเสร็จ ยัยงั่งก็กลับมาพอดี
ยัยงั่งต้องบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับกู่ซิ่วแน่ ๆ จึงรู้ว่าเธอแอบรับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแทนเธอ
ยัยงั่งนิ่งเฉยไม่ทำอะไรมาหลายวัน ที่แท้ก็วางแผนจะเล่นงานเธอตรงนี้!
สวี่เยว่แค้นใจจนกัดฟันกรอด แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “หนูไม่ได้แอบอ้าง หนูแค่รับแทน”
“หนูกะจะเอาจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยให้พี่สาวอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงลืม หนูจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
สวี่เยว่เข้าไปในห้องตัวเอง สักพักก็ถือจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยออกมาส่งให้สวี่ฮุ่ย
สวี่ฮุ่ยตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วหัวเราะเยาะ “เธอลืม? ฉันว่าเธอไม่อยากให้ฉันมากกว่า!”
สวี่เยว่น้ำตาคลอเบ้า “พี่สาว พี่อย่าใส่ร้ายฉันสิ”
“ฉันใส่ร้ายเธอเหรอ?”
“วันที่เธอรับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแทนฉัน ฉันเคยถามเธอต่อหน้าแม่ลูกฉินยงจวินแล้วว่าได้รับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยของฉันหรือเปล่า”
“เธอตอบว่ายังไง เธอคงไม่ลืมเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง”
สวี่เยว่หน้าซีดเผือด กัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไร
วันนั้นเธอก็รู้สึกแปลกใจอยู่ ทำไมจู่ ๆ ยัยงั่งถึงพูดเื่จดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยต่อหน้าแม่ลูกฉินยงจวิน ที่แท้ก็มีแผนนี่เอง
ยัยงั่งนับวันยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ !
สวี่ฮุ่ยหันไปถามสวี่ต้าซาน “ตอนนั้นพ่อก็อยู่ ในเมื่อสวี่เยว่ไม่ยอมพูด งั้นพ่อพูดแทนแล้วกันค่ะ”
สวี่ต้าซานพูดอย่างกระอักกระอ่วน “พอแล้ว มีแขกอยู่ด้วย ทำไมลูกยังไม่จบไม่สิ้นอีก”
สวี่ฮุ่ยแค่นเสียงเ็า “ขอแค่อะไรที่เกี่ยวกับสวี่เยว่ พ่อก็จะพยายามกดขี่หนูตลอด”
“เมื่อกี้สวี่เยว่ใส่ร้ายหนูต่อหน้าคุณย่าลู่ ทำไมพ่อไม่ว่าเธอบ้าง?”
“เพราะงั้นที่หนูเคยพูดไว้ไม่ผิดหรอก ถ้าพ่อไว้ใจได้ หมูคงปีนต้นไม้ได้ไปแล้ว”
คุณนายลู่กับหลานชายหัวเราะกันครืน
คุณย่าลู่หยิกใบหน้าเล็ก ๆ ของสวี่ฮุ่ยเบา ๆ
“เอาล่ะ ไม่ต้องไปเถียงกับคนอื่นหรอก ย่าเชื่อที่หนูพูด”
ทั้งสามคนในครอบครัวสวี่หน้าเสียไปตาม ๆ กัน
ก่อนขึ้นรถ คุณย่าลู่กำชับสวี่ฮุ่ยว่า “แม่หนู หนูต้องดูแลของที่ย่าซื้อให้ดี ๆ นะ ถ้ามีใครคิดจะแย่ง ต้องโทรหาพี่ลู่ของหนูให้เขาจับให้หมดเลย”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้ายิ้มๆ “ค่ะ คุณย่าลู่”
หลังจากส่งย่าหลานสกุลลู่กลับไปแล้ว สวี่ฮุ่ยก็ตรงดิ่งเข้าห้องตัวเอง ลองทาบเสื้อผ้าที่คุณย่าลู่ซื้อให้อยู่หน้ากระจก
คุณย่าลู่มีสายตาเฉียบแหลม เสื้อผ้าทุกชิ้นที่ซื้อล้วนงดงาม
นอกประตูห้องที่แง้มอยู่เล็กน้อย มีดวงตาแดงก่ำด้วยความริษยาของสวี่เยว่จ้องมองมา
ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
ั้แ่กู่ซิ่วตกงาน มาตรฐานอาหารในบ้านก็ลดลงฮวบฮาบ
เมื่อก่อนขอแค่สวี่เยว่อยู่บ้าน จะต้องมีอาหารที่ทำจากไข่หลายฟอง แต่วันนี้มีแค่ไข่ตุ๋นชามเล็ก ๆ ที่ทำจากไข่ฟองเดียว
กู่ซิ่วเหลือบมองสวี่ฮุ่ย กลัวว่าเธอจะเอาเื่ไข่ตุ๋นชามเล็ก ๆ นี้มาพูดให้ใหญ่โต
แต่สวี่ฮุ่ยไม่ได้สนใจไข่ตุ๋นชามนั้นสักนิด เธอยังกินอาหารบำรุงที่ลู่ฉี่เสียนสั่งให้จากร้านอาหารเหอเซิ่งไม่หมดเลย
แล้วเธอก็ออกจากบ้านไปโดยไม่เอ่ยลา