อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่หอซู่ิเซียงได้รับความนิยมมากกว่าที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะการเดินทางมาของกุลสตรีชั้นสูงท่านไหน แต่ส่วนหนึ่งนั้นหนีไม่พ้นร้านเถาเป่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง
ลูกค้าที่กำลังดื่มชาสองโต๊ะใกล้หน้าต่างกำลังมองคนงานในร้านเถาเป่าที่สวมเสื้อผ้าแปลกๆ ใส่จมูกสีแดงแปลกๆ จนเป็เื่ปกติ พวกเขายิ้มแย้มทักทายลูกค้า และหันหน้ากลับมาซุบซิบกันเป็ระยะๆ
“พี่เจิ้ง ข่าวลือที่พี่บอกนั้นมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?” หนึ่งในชายวัยกลางคนถามสหายที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงแ่เบา “ดูสิ ร้านเถาเป่าก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อน สิงเหล่าซานก็มีศัตรูมากมายไม่ใช่ว่าถูกคนอื่นจัดการไปอย่างนั้นหรือ?”
เพื่อนสกุลเจิ้งที่ถูกถามก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวไปมาอย่างมั่นใจ “ไม่มีทาง สิงเหล่าซานจะต้องถูกเ้าของร้านเถาเป่าส่งคนไปจัดการแน่ เ้าต้องรู้ว่าหลังจากที่เขาก่อเื่ที่ร้านเถาเป่าเมื่อกลางวันเสร็จ เย็นวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของเขา อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ [1] แต่นี่กลับทิ้งไว้เพียงกระดาษที่มีข้อความแผ่นหนึ่งว่าจะกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมแม่ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็แปลกประหลาดจริงๆ อีกอย่าง สิงเหล่าซานเลี้ยงลูกน้องที่เป็อันธพาลไว้ตั้งสิบกว่าคน และคนพวกนั้นต่างก็พูดว่าไม่เห็นจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรเลย ต่อให้สิงเหล่าซานจะมีเื่ด่วนจริง ยังไงเขาก็ต้องบอกลูกน้องเอาไว้สักหน่อย”
“หรือว่าเขาเป็หนี้เลยไปซ่อนตัวเพื่อหลบเ้าหนี้ และทิ้งลูกน้องไว้ให้รับผิดแทน?”
“เป็ไปไม่ได้ มีเพียงสิงเหล่าซานเท่านั้นที่จะบังคับให้เ้าหนี้ของเขาตาย ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าเขากลัวใคร เ้ารู้หรือไม่ว่าเื้ัของเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านฮวงปู่โถวที่อยู่ในศาลาว่าการ?”
“จริงหรือ ยังมีเื่เช่นนี้ด้วย?”
“แน่นอนว่ามันเป็เื่จริง ไม่เช่นนั้นจะอธิบายว่ายังไงได้ล่ะ บรรยากาศสังคมของเราย่ำแย่ลงทุกวันๆ”
“ระวังคำพูดหน่อย พวกเรามาดื่มชากันดีกว่าอย่าพูดถึงเื่ทางการเลย”
“ไอ้หยา ก่อนออกมาข้าดื่มเหล้าโบราณไปสองจอก คงจะพูดออกไปโดยไม่คิดจริงๆ พี่เจิ้งได้โปรดอย่าถือสา!”
เดิมทีทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็เงียบไปทันทีเมื่อพวกเขาพูดถึงเื่เกี่ยวกับทางการ แต่จะว่าไปการนินทาเหล่านี้หากคุยไม่สนุกก็คงยากที่จะไปต่อ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตัดสินใจจ่ายเงินค่าชาและแยกย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ปลอดภัยของตนเองแล้วค่อยพูดเื่นี้ต่อ
ทว่าหลังจากที่ทั้งสองคนกลับไปได้ไม่นาน ที่ด้านหน้าของร้านเถาเป่าก็มีอันธพาลมาอีกหลายคน พวกเขาเปลือยท่อนบนเหมือนกัน มีรอยสักเต็มตัว และท่าทางแต่ละคนก็ดูดุร้ายและน่ากลัว
แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคนเหล่านี้สวมชุดสีเขียว มองแล้วสีหน้าดูโเี้กว่าอันธพาลทั่วไป
ทุกคนในโรงน้ำชาล้วนมีสายตาแหลมคม ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องด้วยความประหลาดใจ ทุกคนต่างก็ครึกครื้นขึ้นมาและพากันไปรุมที่หน้าต่างทันทีเพื่อสังเกตการณ์
ผู้คนที่กำลังเดินบนท้องถนนตามปกติ เมื่อเห็นหัวหน้าอันธพาลกลุ่มนั้นก็รีบพูดกับคนข้างๆ ว่า “ไอ้หยา นี่คือลูกน้องของถงปั้นเฉิงนี่นา เมื่อวานข้าได้ยินว่าพวกเขาเพิ่งจะไปยึดอาณาเขตของสิงเหล่าซานเอาไว้นี่นา วันนี้มาทำอะไรกันที่นี่ล่ะ? หรือว่าพวกเขาคิดจะฮุบร้านเถาเป่า เพื่อสร้างชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ?”
“มันก็ไม่แน่นะ เมื่อก่อนเคยแบ่งกันปกครองสามฝ่าย แต่ทุกวันนี้เขาไปแล้วกว่าครึ่ง ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจัดการร้านเถาเป่าที่เป็กระดูกชิ้นโตอันนี้ออกไปก่อน จากนั้นก็ค่อยไปจัดการเหลียงสานเตาที่เมืองทางเหนือต่อ” คนอื่นๆ ด้านข้างพากันพูดต่อและสีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แม้แต่คนงานในโรงน้ำชาแห่งนี้เองก็ถือกาน้ำชามายืนด้านหน้าหน้าต่าง ครั้งที่แล้วที่สิงเหล่าซานมาพังร้านค้า เขาเองก็เห็นเต็มสองตา แล้ววันนี้จู่ๆ จะหายไปได้อย่างไร
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือถงปั้นเฉิงพาลูกน้องเข้าไปในร้าน ชายหนุ่มที่เป็คนงานสวมจมูกสีแดงก็รีบเดินออกจากร้านแล้วมายืนอยู่ที่ด้านข้างประตู พวกเขามองถงปั้นเฉิงทำลายข้าวของในร้านอย่างเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาแสดงอำนาจจนพอใจแล้วก็เดินกร่างจากไป
ทั้งสองจึงเข้าไปในร้านอีกครั้งและจัดของอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนกำลังทำความสะอาด่ปีใหม่โดยไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้า ความโกรธ หรือความกลัวใดๆ เลย
แขกที่มาดื่มน้ำชาทุกคนต่างก็ตกตะลึง หลังจากมองหน้ากันไปมาพวกเขาล้วนรู้สึกว่าชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นคงจะใจนทำอะไรไม่ถูก
มีคนที่ไม่มีอะไรทำและรู้สึกเบื่อจริงๆ ที่ยังคงสงสัยอยู่จึงนั่งอยู่ในโรงน้ำชาจนพระอาทิตย์ตก แต่ก็ไม่เห็นเ้าของร้านเถาเป่าที่รีบวิ่งมาด้วยความรีบร้อนเลย จึงได้แต่ผิดหวังและกลับบ้านไป
ผลปรากฏว่า วันรุ่งขึ้นในอำเภอชิงผิงเล็กๆ แห่งนี้ก็มีเื่ให้ใอีกครั้ง ถงปั้นเฉิงที่อาณาเขตไปกว่าครึ่ง เมื่อวานนี้เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับอีกแล้ว
ไม่มีข่าวคราว ไม่มีใครรู้เช่นเดิม เหมือนกับเื่สิงเหล่าซานครั้งก่อนไม่มีผิด
ผู้คนมานั่งอยู่ในโรงน้ำชาอีกครั้งโดยมองไปที่ประตูสองบานของร้านเถาเป่าที่เชื่อมต่อกันอย่างเงียบๆ และพวกเขาทั้งหมดรู้สึกหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลัง ราวกับว่าในร้านมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็สัตว์ประหลาดบางชนิดที่กลืนกินมนุษย์และมีจิตใจชั่วร้ายอาศัยอยู่
“ใครคือเ้าของร้านเถาเป่ากันนะ นี่มันช่าง…”
มีคนทนไม่ไหวจริงๆ ก็เลยถามออกมาหนึ่งประโยค
คนที่อยู่ข้างๆ เขาซึ่งมีข้อมูลค่อนข้างดีกล่าวต่อว่า “ข้าได้ยินมาว่าเป็เ้าของเดียวกันกับร้านเครื่องใช้ไม้สกุลติง แต่เ้าของร้านนั้นเกิดในครอบครัวชาวนา ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีอิทธิพลอะไรนี่นา”
“ร้านเครื่องไม้สกุลติงอย่างนั้นหรือ? ที่ขายเก้าอี้นุ่มๆ ร้านนั้นใช่ไหม?”
มีลูกค้าน้ำชาคนหนึ่งเข้ามาถาม แต่กลับถูกเพื่อนดึงกลับและกระซิบเตือนว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้ และอย่าพูดเื่นี้อีก ไม่ว่าเ้าของร้านจะเป็ใครก็ตาม มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
และการสนทนาเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในลานกว้างทางตอนเหนือของเมืองด้วย
เหลียงซันเตาสวมเสื้อคลุมสีดำ อายุไม่เกิน 30 ปี กำลังนั่งยองบนเก้าอี้และกินบะหมี่คำใหญ่ๆ เหมือนชาวนาแก่ๆ หลังจากได้ยินที่พวกลูกน้องคุยกันถึงผู้อยู่เื้ัของสกุลติง เขาก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างจริงใจ “พวกเ้ายังอยากจะไปขบกัดกระดูกชิ้นนั้นอีกเช่นนั้นหรือ?”
พวกอันธพาลหลายคนที่แต่เดิมมีเจตนาเช่นนั้น เมื่อพวกเขาเห็นลูกพี่ยิ้มก็รีบหดคอในทันที “พี่ใหญ่ สิงเหล่าซานและถงปั้นเฉิงต่างก็ถูกจัดการกันหมดแล้ว นี่ถือเป็โอกาสที่ดีสำหรับพี่น้องชาวเรา และตราบใดที่ร้านเถาเป่ายอมอ่อนข้อให้ วันหน้าพวกเราอยู่ในอำเภอชิงผิงก็จะ…”
“อยู่ในอำเภอชิงผิงจะยังไง?” เหลียงซานเตาวางชามลงบนโต๊ะแล้วจ้องไปที่เขาพร้อมดุว่า “สมองของพวกเ้าถูกสุนัขกินกันไปแล้ว! ครอบครัวสกุลติงแค่ครอบครัวเดียวจะจัดการสิงเหล่าซานและถงปั้นเฉิงอย่างเงียบๆ ได้ยังไง? พวกเขาเองก็ต้องมีคนอยู่เื้ัเป็แน่!”
“แต่พี่ใหญ่ หากคนคนนี้คิดจะทั้งอำเภอเมืองละ…”
เหลียงซานเตาะโลงบนพื้น เขายกมือขึ้นตบพี่น้องคนละที “เ้าพวกโง่! เ้าประเมินอำเภอเมืองนี้สูงเกินไปหรือเปล่า ดูแล้วพวกเขาคงไม่แม้แต่จะวางไว้ในสายตาเสียด้วยซ้ำ หากว่าคิดจะแย่งอาณาเขตกันจริงๆ พวกเขาก็คงไม่จัดการสิงเหล่าซานและถงปั้นเฉิงหรอก!”
“เตรียมของขวัญดีๆ เอาไว้หน่อย ข้าอยากจะไปที่ร้านเถาเป่าเพื่อสืบข่าวคราวด้วยตนเอง พวกเ้ายังไม่รีบเตรียมเก็บของไปยึดอาณาเขตอีก ่เวลาเช่นนี้คงไม่มีไปอีกหลายปี!”
“ตกลง พี่ใหญ่!”
พวกอันธพาลหลายคนรีบวิ่งออกไปโดยสวมผ้าคลุมศีรษะ ดังนั้นหลังจากเวลาเที่ยงเป็ต้นไป ลูกค้าของโรงน้ำชาแห่งนี้จึงได้ชมการแสดงที่คึกคักอีกรายการหนึ่งโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในอำเภอชิงผิง ได้เตรียมของขวัญเพื่อไปเยี่ยมร้านเถาเป่า ต่อให้เถ้าแก่เฉิงที่เข้มงวดจะพยายามปฏิเสธอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงทิ้งของขวัญเอาไว้และพาคนถอนตัวออกไป
โรงน้ำชาเงียบไปเป็เวลาครึ่งถ้วยชา ทุกคนต่างก็ยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปพูดคุยกันถึงเื่ดินฟ้าอากาศ พูดถึงหญิงสาวคนใหม่จากละครเื่เถาฮวาเซียนจื่อ และสถานที่ที่จะออกไปเที่ยว แต่ไม่มีใครพูดถึงร้านเถาเป่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลย
……
ติงเหว่ยใช้มือหนึ่งตรวจสอบบัญชีและอีกมือหนึ่งใช้ดีดลูกคิด หลังจากที่ตรวจสอบบัญชีทั้งสองเล่มแล้ว แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนางก็มองไปที่เฉิงต้าโหยวแล้วถามว่า “บางรายการในสมุดบัญชีดูผิดปกติ เ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
เดิมทีเฉิงเหนียงจื่อมีความสุขที่พ่อของลูกนางกลับมา และนางก็กอดอันเกอเอ๋อร์ที่กำลังเล่นอยู่ข้างๆ อย่างไม่มียางอาย ปรากฏว่าเมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาในทันที ไม่รอให้ผู้ชายของตนเองได้ตอบ นางก็รีบคุกเข่าลงและพูดว่า “แม่นาง ความผิดต่างๆ ล้วนเป็ของพ่อเด็กทั้งหมด ท่านแค่ลงโทษเขาก็พอ ได้โปรดอย่าขายครอบครัวพวกเราไปเลย”
ติงเหว่ยได้ฟังก็ทำอะไรไม่ถูก นางรีบยื่นมือไปพยุงเฉิงเหนียงจื่อขึ้น และนางก็รับลูกชายของนางมาดวงตากลมโตของเขามองมาด้วยความสับสน นางก็พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พี่เฉิงเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้สงสัยว่าเฉิงต้าโหยวจะทุจริต เขาเป็คนยังไงข้าเองก็เข้าใจอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าเดือนนี้มีคนมาก่อกวนที่ร้าน ทำลายข้าวของเสียหาย ดังนั้นก็ต้องเสียเงินไปบ้าง แต่รายได้ที่เขียนไว้ในสมุดบัญชีกลับมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ทำไมถึงเป็เช่นนั้นได้”
ประโยคสุดท้ายก็คือถามเฉิงต้าโหยว
เฉิงต้าโหยวได้ตรวจสอบบัญชีก่อนจะส่งให้กับนายหญิงหลายครั้งแล้ว ในใจเขาก็รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ตอนนี้ก็ไม่อยากจะทำให้ล่าช้าไปกว่านี้เขาจึงรีบรายงานว่า “ขอเรียนนายหญิง ถึงแม้ร้านค้าจะถูกคนทำลาย แต่วันรุ่งขึ้นก็มีลูกค้ามาซื้อของเล่นที่พังพวกนั้นไปทั้งหมด ทั้งสองครั้งที่ร้านถูกก่อกวนต่างก็เป็เช่นนี้ทุกครั้ง หลังจากนั้นกิจการก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ข้าน้อยเองก็ไม่เข้าใจในหลักการนี้ นอกจากนี้ เมื่อวานยังมีคนมาส่งของขวัญให้ถึงหน้าร้าน ว่ากันว่าเขาเป็อันธพาลที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองชื่อเฉิงซานเตา ข้าน้อยไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ จึงอยากจะขอคำชี้แนะจากแม่นางว่าจะให้จัดการยังไง?”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ” ติงเหว่ยหันหน้าไปมองทางเรือนหลักโดยไม่รู้ตัว นางนึกถึงเหอเถาเปื้อนเืที่กลิ้งอยู่บนพื้นในวันนั้น ในใจไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งหรือจะหวาดกลัวดี ดังนั้นนางจึงรีบกำชับเฉิงต้าโหยวว่า “เ้าไม่ต้องสนใจเื่อื่นๆ สนใจแค่เฝ้าร้านและขายสินค้าก็พอ ส่วนเื่ของขวัญที่สกุลเหลียงส่งมา เ้าเองก็เตรียมของขวัญไว้สักชุดหนึ่งและแสดงความขอบคุณแทนข้า”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ติงเหว่ยก็เปลี่ยนใจ แล้วกลับคำพูดว่า “ไม่ดีกว่า ให้ของขวัญที่มีมูลค่าน้อยกว่าที่ได้มาสามส่วน แล้วให้คนงานหนุ่มสองคนนั้นไปส่งก็พอ”
“ขอรับแม่นาง” เฉิงต้าโหยวไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายหญิงของเขาถึงให้จัดเตรียมเช่นนี้ แต่เขาก็ยังปฏิบัติตามอย่างตรงไปตรงมา
ติงเหว่ยพูดคุยเล่นอีกสองสามประโยค จึงอุ้มอันเกอเอ๋อร์กลับไป ปล่อยให้สองสามีภรรยาสกุลเฉิงได้พูดคุยเกี่ยวกับตนเองกันบ้าง
……
วันนี้อากาศแจ่มใสและมีแดดจัด น้อยครั้งนักที่สายลมจะพัดพาความอบอุ่นมาปะทะที่ร่างกาย กงจื้อิใช้ไม้ค้ำยันเดินไปรอบๆ เดิมทีเขาก็เป็คนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และยังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาหลายปี สภาพร่างกายก็มีพื้นฐานที่ดี หลังจากฝึกฝนไม่กี่วัน นอกจากอาการเซเล็กน้อยเวลากลับตัว เวลาอื่นๆ ก็สามารถเดินได้อย่างมั่นคง
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มและพูดคุยเล่นอยู่ข้างๆ นายท่านของเขา เมื่อเขาเห็นติงเหว่ยอุ้มอันเกอเอ๋อร์เข้ามา ริ้วรอยบนใบหน้าของเขาก็พับไปมาราวกับดอกเบญจมาศ
“แม่นางติงกลับมาแล้ว! เฉิงต้าโหยวดูแลร้านเป็ยังไงบ้าง พอใช้งานใช้การได้อยู่ใช่ไหม?”
หลังจากถามจบ เขาก็ยื่นมือออกไปรับอันเกอเอ๋อร์ตัวอ้วนๆ มา เขาตบหลังอันเกอเอ๋อร์และหัวเราะไปด้วยอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “อันเกอเอ๋อร์หนักขึ้นอีกแล้ว ข้าเกรงว่ากระดูกชราของข้าก็จะขยับไม่ไหวแล้ว”
แม้ว่าอันเกอเอ๋อร์จะอายุยังไม่ครบหนึ่งขวบดี แต่เด็กๆ ก็มีสัญชาตญาณตามธรรมชาติและรู้ดีที่สุดว่าใครปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักอย่างจริงใจ
ทันทีที่เด็กชายถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของท่านผู้าุโ มือเล็กๆ ของเขาก็กำเคราสีขาวไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
ติงเหว่ยรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือเขา แต่น่าเสียดายที่ในฝ่ามือของเ้าเด็กอ้วนคนนี้ยังมีหนวดเคราที่หลุดติดมาอยู่หลายเส้น
“ท่านลุงอวิ๋น อย่าเอาใจเด็กคนนี้มากเกินไป เขาจะกลายเป็เสี่ยวป้าหวัง [2] อยู่แล้ว!”
ท่านลุงอวิ๋นใช้มือข้างหนึ่งลูบหนวดเคราด้วยความเ็ป แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดตำหนิแม้เพียงครึ่งประโยค ทั้งยังพูดปกป้องเ้าเด็กอ้วนว่า “อันเกอเอ๋อร์เป็เด็กดี และฉลาดเฉลียวจะตายไป หลังจากเขาโตขึ้นจะต้องได้เรียนทั้งบุ๋นทั้งบู๊และกลายเป็วีรบุรุษ!”
-----------------------------------------
[1] อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ 活要见人,死要见尸 หมายถึง ไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดีอย่างไร
[2] เสี่ยวป้าหวัง 小霸王 หมายถึง เป็คนเผด็จการ เย่อหยิ่ง และไร้เหตุผล