สาวใช้เสี่ยวเถา วันนี้สวมชุดนวมสองชั้นหนาๆ กำลังนั่งสัปหงกอยู่หน้าประตู
แสงแดดยามเย็นสาดที่สาดลงมาบนเท้าคู่ใหญ่ทั้งสองข้างของนาง
นางตื่นขึ้นเพราะเสียงรบกวนยามแม่นางหลัวเปิดหน้าต่างนั้นดังขึ้นมา
นางขยี้ตาสองสามทีก่อนมองใบหน้างดงามหลังหน้าต่าง ใบหน้านั้นมีแววเคร่งขรึม ท่าทางก็เคร่งขรึมไม่ต่างกัน
สตรีตรงหน้านางนั้นยิ่งนางเคร่งขรึมเท่าใด ก็ยิ่งขับเน้นให้นางน่ามองมากขึ้น
แม้เป็ใบหน้าสตรีเหมือนกัน แต่ใบหน้าของเสี่ยวเถากลับแบนไร้มิติ
ส่วนใบหน้าของแม่นางหลัวนั้นพริ้มเพราราวกับรูปสลัก ดังนั้นไม่ว่าจะยามสนทนา ยามมองผู้คน ยามมีโทสะ ยามเบิกบานใจ ก็ล้วนแต่ทำให้นางดูงดงาม
เสี่ยวเถารีบลุกขึ้น จากนั้นจึงทำตามความเคยชิน ยามนางเห็นแม่นางหลัวจะอาบน้ำ ก็หมายความว่านางจะต้องเตรียมยาห้ามเืแล้ว
......
ลูกปัดอัฐิที่แสนวิจิตรบัดนี้กลับถูกแลกเป็เนื้อแห้งจนหมด
เสี่ยวอู่คิดว่าเช่นนี้ช่างคุ้มค่านัก จึงรีบลากอาสวินไปทางสระกระดูกเพื่อหาลูกปัดพวกนั้นเพิ่ม พรุ่งนี้จะได้เอาไปแลกเปลี่ยนกับเ้าทารกน้อย
พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำเชลย
ถ้ำเชลยนั้นอยู่ในเนินเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง เส้นทางการสัญจรก็ซับซ้อนนัก ทว่าสุดท้ายเส้นทางทั้งหมดก็ล้วนทะลุไปยังสระกระดูกเล็ก
เหล่าคนในค่าย เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะมาตักกระดูกจากสระแห่งนี้กลับไป เมื่อตักหมดแล้ว ก็รอให้ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ก็จะมีกระดูกใหม่ๆ ลอยขึ้นมา
ลูกปัดกระดูกที่เสี่ยวอู่เจอนั้นก็เจอบริเวณสระกระดูกเล็กนี้เช่นกัน
ใกล้สระกระดูกเล็กนั้นมีรูเล็กๆ อยู่ รูนี้เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะมีลูกปัดกระดูกปรากฏขึ้นมาหลายเม็ด แต่ด้วยเพราะคนปกติไม่อยากจะเข้าใกล้สระกระดูกเล็กแห่งนี้นัก จึงไม่มีใครค้นพบลูกปัดเหล่านี้
ส่วนสาเหตุที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้สระกระดูกเล็กนั้นเป็เพราะมีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะลงไปในสระกระดูก เว้นเสียแต่จะมีคนโยนลงไปเท่านั้น ถึงจะมีคนเป็ลงไปในสระแห่งนี้
เสี่ยวอู่ล้วงหาลูกปัดอยู่นานสองนาน ทว่าก็ล้วงออกมาได้เพียงสองเม็ด
ศีรษะพลันรู้สึกปวดตุบๆ
“เ้าทารกนั่นแม้แต่พูดยังไม่เป็ภาษา แต่กลับเ้าเล่ห์นัก”
อาสวินเมื่อคิดท่าทางของทารกน้อยนั่งอยู่บนพื้น ทางหนึ่งก็วางเนื้อแห้งลง อีกทางก็เอาก้อนหินมาเรียงนั้น ร่างผอมราวกับโครงกระดูกนั้นก็พลันปรากฏรอยยิ้ม
เสี่ยวอู่เมื่อเห็นแล้วก็ขนลุก
อาสวินในสภาพเช่นนี้ เมื่อยิ้มออกมาก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
อาสวินนั้นผอมเกินไปแล้ว ผอมเสียจนหูสองข้างดูใหญ่โตผิดปกติ
วันต่อมา
วันนี้แม้ไม่ใช้หญ้าโหยวหมา เ้ามืดก็พาทารกน้อยเดินโคลงไปโคลงมาจนถึงปากถ้ำอยู่ดี
เสี่ยวอู่แทบอดใจรอไม่ไหว รีบนำลูกปัดกระดูกออกมาทันที
เฉินโย่วน้อยเมื่อยื่นมือออกไปรับลูกปัดสองเม็ดนั้นมาแล้ว ก็เก็บลงไปในกระเป๋าตน
จากนั้นก็นั่งลงที่เดิมแหงนหน้ามองเด็กชายพร้อมทั้งยื่นมือออกไปรอต่อ
“ไม่มีแล้ว มีแค่เพียงสองเม็ดนี้” เสี่ยวอู่ตอบอย่างจนปัญญา
เฉินโย่วน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าทางเข้าใจ ล้วงเนื้อแห้งชิ้นที่บางที่สุดออกจากกระเป๋า แล้วฉีกแบ่งเป็สองชิ้น สุดท้ายจึงส่งเนื้อแห้งเพียงครึ่งชิ้นนั้นให้เสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่ “......”
อาสวินที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
แล้วจึงมองเสี่ยวอู่ด้วยความสังเวช
ทว่าทารกน้อยกลับยื่นเนื้ออีกครึ่งชิ้นให้อาสวิน ซ้ำยังพูดไปน้ำลายไหลไปว่า “พิพี่ ยิ้ม ฉวย”
ทางฝั่งอาสวินก็พลันนิ่งงัน
แม้ในถ้ำเชลยจะไม่มีกระจก แต่ฟังจากคำพูดของคนอื่น และเงาในสระกระดูกที่เขามองเห็นตัวเองว่าทั้งร่างเขานั้นผอมราวกับโครงกระดูก ผนวกกับหูสองข้างก็ดูใหญ่โตผิดปกติ หน้าตาเช่นนี้ของเขาคงจะดูน่ากลัวไม่เบากระมัง
ถึงกระนั้นเ้าตัวเล็กนี่ก็ยังพูดว่าเขายิ้มแล้วน่ามอง ซ้ำยังเรียกเขาว่าพี่ชาย
เสี่ยวอู่นั้นบัดนี้เริ่มรู้สึกสนิทสนมกับทารกน้อยเสียแล้ว เมื่อเห็นท่าทางของนางก็อดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มกลมของนางทีหนึ่ง
เ้าตัวเล็กนี่เนื้อเยอะ นุ่มมือเหลือเกิน
“อาสวิน เล่นกับนางนี่สนุกจริงๆ”
ทว่าไม่คาดคิดว่าทารกน้อยจะสะบัดหน้าแล้วร้องไห้เสียงดังจนอาอู่ลนลานรีบชักมือกลับ เพียงแต่ทารกน้อยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาคู่โตของนาง
“เ้าทำนางร้องไห้เสียแล้ว เ้าลองอุ้มนางขึ้นมาดู ไม่แน่ว่านางอาจหยุดร้อง” อาสวินพูดอย่างไม่แน่ใจนัก
เสี่ยวอู่ยังคงเชื่อคำอาสวินดั่งที่ผ่านมา ขอแค่อาสวินเป็คนกล่าว เื่นั้นย่อมถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงอุ้มทารกน้อยขึ้นมา เมื่ออยู่ในอ้อมอกเขาทารกน้อยก็หยุดร้อง เหลือเพียงดวงตาที่ยังพราวน้ำตานั้นกลอกมองไปมา
แม้ว่าเขาจะแบกอาสวินอยู่ตลอด บางทีก็อุ้มอาสวินขึ้นมาเช่นกัน แต่อาสวินทั้งร่างมีเพียงกระดูกแข็งๆ ไม่เหมือนเ้าหนูน้อยนี่ที่ทั้งร่างจ้ำม่ำไปด้วยเนื้อจนนุ่มนิ่มราวกับไม่มีกระดูก
เสี่ยวอู่เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยจนเกือบจะทำทารกน้อยในอ้อมกอดร่วงลงพื้น เคราะห์ดีที่เขานั้นมือเท้าว่องไวจึงรับร่างนุ่มนิ่มนั้นไว้ทัน
คิดไม่ถึงว่าทารกที่เกือบจะตกลงพื้นเมื่อครู่ นางไม่เพียงจะไม่ใกลัว ทว่ากลับยังหัวเราะขึ้นมาได้
ใบหน้าน้อยๆ ปรากฏรอยยิ้มหวานหยดที่สว่างสดใสยิ่งกว่าแสงตะวัน
วันนั้นลำแสงเส้นนั้นที่สาดส่องลงมาเกือบจะสาดลงมาบนร่างนาง ทว่ากลับหักเลี้ยวไปทางอื่น
บัดนี้...
ทั้งูเากลับอาบไล้ไปด้วยแสงตะวันเป็ชั้นๆ ที่สาดลงมา เหล่าโจรบนูเาก็พลันรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นอุ่นขึ้นมา
เ้านกอินทรีก็บินสูงขึ้นๆ ก่อนจะกรีดร้องท่ามกลางหมู่เมฆ “แคว้ก”
นายท่านสามที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ก็พลันรู้สึกว่ารอยแผลบนไหล่ตนไม่ได้ปวดแปลบเช่นวันวานอีก
นายท่านใหญ่ที่กำลังถือมีดห้ำหั่นอีกฝ่ายด้วยโทสะนั้น ฟันไปได้เพียงครึ่งเดียวก็พลันปล่อยมีด แสงแดดที่สาดลงมาตกกระทบลงบนมีดที่ยังคงปักคาร่างฝ่ายตรงข้าม
ในส่วนลึกของถ้ำ เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังแบกเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งกลับเข้าไปยังด้านใน เสี่ยวอู่เอ่ยปากขึ้น “อาสวิน ข้ารู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะร้อนขึ้นแล้ว เช่นนี้ย่อมแปลว่าฤดูหนาวจะจบสิ้นแล้วใช่หรือไม่”
อาสวินส่ายหน้าเบาๆ “ยังหรอก แต่ก็คงอีกไม่นาน”
อาลู่ที่กำลังขี่ม้าด้วยความเร็ว ก็ค่อยๆ รู้สึกร้อนจนไม่อาจสวมเสื้อนวมตัวเก่าได้อีก
“ท่านอาปา อากาศเหมือนจะเริ่มดีขึ้นแล้ว”
เหล่าปาเงยหน้าขึ้นมอง หน้าผากพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ
“หากเหมันต์ผ่านไป ชีวิตของพวกเราคงง่ายขึ้นมาก”
ในส่วนลึกของสระกระดูกมีเงาสีดำกำลังเคลื่อนไหวรุนแรง ราวกับักำลังม้วนกายก็ไม่ปาน
เ้ามืดเองก็ออกเดินอย่างไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก
เฉินโย่วน้อยจึงลุกขึ้นมานั่ง มองลำแสงเส้นหนึ่งบนท้องฟ้า นางจึงค่อยๆ ยกมือขึ้น ก่อนที่มือคู่น้อยจะดูราวกับว่าจับลำแสงเส้นนั้นไว้ได้ นางไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ รู้เพียงว่ามันงดงามนัก
ใบหน้าดำคล้ำของทารกน้อย เพียงครู่เดียวก็พลันเปลี่ยนเป็ขาวเกลี้ยงเกลาเช่นลำแสงนั้น
ฝ่ามือน้อยๆ จึงค่อยๆ คลายออก
ปล่อยให้ลำแสงนั้นจากไป
ลำแสงสีขาวนั้นค่อยๆ แผ่ขยายจากูเากระดูกไปยังบริเวณรอบๆ ไม่นานนักก็ค่อยๆ ปกคลุมทั้งท้องทุ่งหญ้า ูเาหิมะและแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
หีบไม้คร่ำคร่าที่อยู่ในก้นบึงพลันแตกออก ยันต์ที่ถูกบรรจุไว้ด้านในก็ไหลไปกับสายน้ำ เ้างูตัวนั้นสะบัดหางทีสองที ก่อนจะว่ายกลับยังส่วนลึกของบึง
เฉินโย่วน้อยขี่ม้ามุ่งหน้าไปหาพี่ชาย หางเป็มันเงาวาววับของเ้ามืดก็ยังคงสะบัดไปมา