บนโต๊ะมีเหรียญทองแดงเป็พวงๆ วางอยู่ ทั้งหมดมีอยู่หลายสิบพวง แต่ละพวงมีเหรียญทองแดงหนึ่งพันเหรียญซึ่งเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน สุดท้ายแล้วนับออกมาได้สามสิบพวงและบวกเพิ่มนอกเหนือจากนั้นอีกเจ็ดร้อยเหรียญทองแดง นอกจากนั้นยังมีก้อนหยวนเป่า [1] เงินสี่สิบตำลึง สี่สิบตำลึงเงินนั้นได้มาจากในมือของชายฉกรรจ์สามคนที่มาหาเื่นางก่อนหน้านั้น เดิมทีคือห้าสิบตำลึงเงิน แต่ตอนสั่งทำเข็มเงินใช้ไปสิบตำลึงเงิน จึงเหลือเพียงเท่านี้
กล่าวได้ว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวพวกเขาล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว รวมทั้งหมดเจ็ดสิบตำลึงเงินกับเจ็ดร้อยสิบสองเหรียญทองแดง
หยางซื่อ หลิงต้าจื้อ หลิงจื่อเซวียน หลิงจื่ออวี้และหลิงมู่เอ๋อร์ต่างพากันนิ่งอึ้งไป
ทั้งครอบครัวต่างไม่เคยเห็นเงินมากมายอย่างนี้มาก่อน ภายในระยะเวลาอันสั้นหนึ่งวันพวกเขาก็หาเงินได้มากขนาดนี้ ถ้าหากขายต่อไปเรื่อยๆ เื่การซื้อร้านค้าในตัวเมืองก็เป็เื่ที่เป็ไปได้
“มู่เอ๋อร์ เงินทั้งหมดในบ้านล้วนให้เ้าเป็คนจัดการ” หยางซื่อแย้มรอยยิ้มสว่างไสวออกมา “เ้าเป็คนหาเงิน ให้เ้าเป็คนดูแลจัดการเื่ในบ้าน”
“ท่านแม่ แต่ว่าข้าเป็บุตรสาว ภายหลังต้องแต่งงานออกไป ท่านไม่กลัวข้าจะนำเงินไปด้วยหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เมื่อถึงตอนนั้นพวกท่านก็คว้าน้ำเหลวน่ะสิเ้าคะ”
“เดิมทีเงินนี้ก็เป็เ้าที่หามา ต่อให้เ้าจะเอาไป นั่นก็ถือว่าสมควรแล้ว” หลิงต้าจื้อที่สูบใบยาสูบอยู่เอ่ยอย่างใจเย็น
สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์กวาดผ่านพวกเขาคนในครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า แววตาของพวกเขาทุกคนใสบริสุทธิ์ ไม่มีความโลภหรือการคิดร้ายใดๆ สิ่งที่หยางซื่อกล่าวเมื่อครู่ ทุกคนล้วนรู้สึกว่ามันสมควรที่จะเป็อย่างนั้น เพราะฉะนั้น หลิงมู่เอ๋อร์จึงมั่นใจได้อีกครั้งว่าครอบครัวนี้คุ้มค่ากับการพึ่งพา ทั้งหมดที่นางได้ทำเพื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่คุ้มค่า
“เจ็ดสิบตำลึงเงินดูเหมือนว่าเป็เงินจำนวนมหาศาล แต่จริงๆ แล้วไม่พอใช้แม้แต่น้อย พวกเราเก็บเงินไว้ก่อนเพื่อใช้เป็ทุนในการเริ่มต้นของกิจการ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะหาพี่ใหญ่ถามเื่เงินค่าเช่า ทีแรกไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่คิดว่าการค้าจะได้รับการตอบรับเป็อย่างดี ในเมื่อมีเงินแล้วพวกเราก็เช่าร้านในตัวเมือง ที่ดีสุดต้องมีเรือนอยู่ด้านหลัง เช่นนี้ถ้าหากพวกเราเหนื่อยแล้วก็สามารถพักอยู่ในเมืองโดยไม่ต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้ได้เ้าค่ะ รอให้พวกเราเก็บเงินได้เพียงพอค่อยซื้อร้านค้าในเมือง จากนั้นก็ซื้อเรือนสักหลัง”
“เมื่อก่อนพวกเราไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงชีวิตเช่นนี้เลย ตอนนั้นแม้แต่ข้าวยังกินไม่อิ่ม รู้สึกว่าชีวิตความเป็อยู่ลำบากมากในทุกวัน บางครั้งก็คิดที่จะจบชีวิตไปเสียเช่นนี้จริงๆ แต่เมื่อคิดว่าถ้าพวกข้าจากไปพร้อมกัน ลูกหลานอย่างพวกเ้าจะอยู่กันอย่างไร?จึงต้องประคับประคองชีวิตให้รอดไปในแต่ละวันแล้วยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันที่มู่เอ๋อร์นำพาชีวิตที่ดีเช่นนี้มาให้กับพวกเรา มู่เอ๋อร์ ความ้าของแม่นั้นมีไม่มาก ความร่ำรวยมีเกียรติอันใด ข้าไม่กล้าคิดมาก่อน เงินเจ็ดสิบตำลึงเงินในมือบัดนี้ พวกเรานำมาสร้างบ้านสักหลังและที่เหลือก็เก็บไว้ค่อยๆ นำออกมาใช้จ่าย เช่นนี้ก็จะใช้ได้ไปถึงแปดปีสิบปี ใน่เวลาแปดปีสิบปีนี้พวกเ้าก็ไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไปแล้ว” หยางซื่อเอ่ยพลางทอดถอนใจอย่างหดหู่
“แม่ของลูก อย่าพูดคำพูดไม่ดีพวกนั้นเลย มู่เอ๋อร์มีอนาคตที่สดใสพวกเราควรดีใจถึงจะถูก เงินเ่าั้เป็ลูกที่หามา นางอยากจะวางแผนจัดการอย่างไรก็ย่อมได้ ถ้าหากเกิดขาดทุนเสียหายขึ้นมาแล้ว อย่างมากก็แค่กลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ข้ายังหนุ่มยังแน่นอยู่ สามารถออกไปทำงานหาเงินได้” หลิงต้าจื้อจับมือของหยางซื่อพลางกล่าว “ข้าจะดูแลเ้าอย่างดี จะไม่ให้เ้าทนหิวอีกแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อมั่นในตัวข้าหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
หยางซื่อรีบร้อนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ แม่เพียงแค่…เกรงกลัวต่อความจนเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่ ท่านสนใจเพียงแค่รอใช้ชีวิตที่ดีก็พอแล้วเ้าค่ะ วันข้างหน้าจะมีแต่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อด้วยความแน่วแน่
หยางซื่อยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน
“ถ้าอยากจะเปิดร้าน พวกเราแค่ไม่กี่คนรับมือไม่ไหวเป็แน่ ท่านแม่ต้องอยู่ในครัวคอยเป็ลูกมือข้า ข้าคนเดียวไม่อาจรับมือกับปริมาณอาหารของลูกค้ามากมายขนาดนั้นแน่นอน าแที่ขาของพี่ชายยังคงต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง ่ระยะเวลานี้พี่ชายยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะฉะนั้น ท่านทำได้แค่เฉพาะงานที่เบาๆ เท่านั้น อวี้เอ๋อร์ก็อย่าได้วิ่งซุกซนไปมา เมื่อเปิดร้านแล้วทุกคนต่างยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นกันหมด จึงไม่มีเวลามาดูแลอวี้เอ๋อร์ รอให้ข้าเก็บเงินอีกสักสองสามวัน และหากว่าเก็บเงินได้สักหนึ่งร้อยตำลึงเงินแล้ว ข้าก็จะให้อวี้เอ๋อร์ไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเอกชนเ้าค่ะ”
“เ้าจะให้อวี้เอ๋อร์เข้าเรียน?” หลิงต้าจื้อมองที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างตกตะลึง “ค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนไม่น้อยเลย!เ้าดูท่านปู่ท่านย่าของเ้าเถิด คนในครอบครัวตั้งหลายคนส่งหลิงจื่อจวิ้นเล่าเรียนได้เพียงผู้เดียว ว่ากันว่าตอนที่พวกเขาต้องส่งมอบของกำนัลของทุกๆ ปี คนทั้งครอบครัวต้องนำเงินที่เก็บออมทั้งหมดมารวมกันถึงจะเพียงพอจ่ายให้หลิงจื่อจวิ้นผู้เดียว”
“ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องกังวลเื่นี้เ้าค่ะ เื่หาเงินเป็หน้าที่ของข้าและพี่ชาย น้องชายมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือก็พอ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ย “ใช่แล้ว รอให้เปิดร้านสำเร็จ พวกเราก็ไปรับท่านยายกับท่านลุงมาอยู่ที่นี่ ครั้นถึงตอนนั้นก็ให้ท่านลุงช่วยงานในร้านของพวกเราเถิด! พวกเขาพักอยู่ในร้านก็พอแล้ว เช่นนี้พวกเราก็สามารถช่วยกันดูแลเสี่ยวหู่ได้ ยังมีเื่ดวงตาของท่านยาย ตอนนี้ข้ามีเงินที่จะซื้อสมุนไพรและสามารถช่วยรักษาดวงตาให้ท่านยายได้แล้วเ้าค่ะ”
“มู่เอ๋อร์ ดาวนำโชคดวงน้อยของข้า” หยางซื่อกอดหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความซาบซึ้ง
“เช่นนั้นก็จัดการตามนี้” หลิงต้าจื้อกล่าว “มู่เอ๋อร์ เกี๊ยวที่จะขายในวันพรุ่งนี้ยังห่อไม่เสร็จใช่หรือไม่?ตอนบ่ายพวกเราไม่ได้ทำเื่อันใดก็มาห่อเกี๊ยวกันเถิด”
“ตกลงเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับ “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะสอนทุกคนห่อเกี๊ยว”
ผ่านไปสักพัก ทุกคนทั้งบ้านนั่งล้อมวงห่อเกี๊ยวด้วยกัน
หยางซื่อห่อเกี๊ยวไปพลางเอ่ยถามไปพลาง “มู่เอ๋อร์ ผักพวกนั้นของเ้าเก็บมาจากที่ใดกัน ดูไปแล้วสดใหม่เอามากๆ ฤดูกาลในตอนนี้ยังมีผักที่เขียวสดขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์เดาได้นานแล้วว่าหยางซื่อจะต้องถามเื่นี้ หลิงต้าจื้อไม่มีความรู้ในเื่ของสวนผัก แต่หยางซื่อกลับรู้เป็อย่างดี
“ท่านแม่ นั่นซื้อมาจากร้านของผู้เฒ่าท่านหนึ่งเ้าค่ะ ท่านผู้เฒ่าบอกว่านางอาศัยอยู่บนูเา ที่นั่นมีน้ำพุร้อนอยู่บ่อหนึ่ง นางอาศัยอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว ไม่มีคู่ชีวิตและไม่มีลูกสาว จึงต้องปลูกพืชผักเลี้ยงชีพด้วยตนเอง นางเห็นว่าอากาศที่นั่นดีก็เลยลองปลูกผักดู นึกไม่ถึงว่าจะปลูกได้รอดเ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นางเลยปลูกพืชผักหลายอย่าง” หลิงมู่เอ๋อร์เตรียมเหตุผลมาอย่างดีแล้ว ถ้าหยางซื่อถามว่าสถานที่ที่หญิงชราผู้นั้นอยู่ที่ใด นางก็จะบอกว่าตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็หญิงที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว นางไม่อาจล่วงรู้ได้ทุกเื่
“์ช่างมีจิตใจเมตตากรุณาจริงๆ พระองค์จะไม่ยอมให้ผู้คนตกอยู่ในสภาพที่อับจนไร้หนทาง มักจะมีโอกาสหนทางรอดให้เขาเสมอ ก็ต้องดูว่าเขาจะไขว่คว้าโอกาสนั้นอย่างไร มู่เอ๋อร์ ผักที่เ้าซื้อมาจากผู้เฒ่าท่านนั้นก็ให้ตำลึงนางมากสักหน่อย นางอาศัยอยู่บนูเาคนเดียว ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ” ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของหยางซื่อเริ่มเอ่อล้นอีกครั้งแล้ว
โชคดีที่เป็ผู้เฒ่าที่ไม่มีตัวตนจริง ต่อให้นางจะเห็นอกเห็นใจเพียงใดก็หาคนไม่พบ
หลิงมู่เอ๋อร์คล้อยตามคำของนาง เื่นี้ไม่อาจเปิดเผยออกไปได้ ทุกคนทั้งบ้านต่างลองห่อเกี๊ยวกัน แม้แต่หลิงจื่ออวี้ก็ยังเข้าร่วมในกิจกรรมด้วย
เพิ่งได้เริ่มเรียนห่อเกี๊ยวไปเมื่อสักครู่ รูปร่างที่ห่อออกมานั้นดูไม่น่ามอง หลิงมู่เอ๋อร์เอาเกี๊ยวที่มีรูปร่างแปลกประหลาดเก็บไว้กินเอง ถึงอย่างไรหลิงจื่ออวี้ก็ชอบกินเกี๊ยว จึงเก็บเกี๊ยวเ่าั้เอาไว้กินได้หลายมื้อ หลิงจื่ออวี้ก็ไม่มีทางเบื่อแน่นอน วันนี้ขณะที่อยู่แผงขายหลิงจื่ออวี้กินเกี๊ยวคนเดียวไปถึงสองถ้วย
“ท่านแม่ พี่ใหญ่น่าจะกลับมาแล้ว ข้าไปหาเขาสักหน่อยเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหยางซื่อกับหลิงต้าจื้อห่อได้เข้ามือแล้ว พร้อมทั้งยกตำแหน่งอาจารย์สอนให้กับพวกเขา ให้พวกเขาสอนพี่น้องคู่นั้นต่ออีกที
“แม่ของลูก เ้าว่าหลิงมู่เอ๋อร์กับเฉินเอ๋อร์…มีความเป็ไปได้หรือไม่?” หลิงต้าจื้อมองทอดเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ที่เดินจากไป
“ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลเกี่ยวกับเื่นี้ บุตรสาวของพวกเราก็ไม่ด้อย ทำเหมือนกับว่าบุตรสาวของพวกเราจะแต่งไม่ออก ต้องพึ่งพาเขาผู้เดียวอย่างไรอย่างนั้น” หยางซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจ “ห่อเกี๊ยวของท่านต่อไปเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินบนถนนเส้นเล็กๆ ของหมู่บ้านชนบท ััได้ถึงอากาศที่สะอาดสดชื่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถูมือที่แข็งเย็นะเืแล้วเดินมุ่งหน้าไปทิศทางบ้านของซั่งกวนเซ่าเฉิน
่ระยะนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินล้วนมาทานข้าวที่เรือนของพวกเขา ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งเป็อย่างยิ่ง ออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาดึกๆ ทุกวัน
หลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินคุ้นเคยกันเป็อย่างดีแล้ว เนื่องจากซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ นางจึงตัดสินใจเข้าไปรอเขาอยู่ด้านในเรือน และถือโอกาสนี้สำรวจภายในเรือนของซั่งกวนเซ่าเฉินว่าเป็อย่างไร
ครั้งที่แล้วตอนที่เข้ามา นางเห็นห้องครัวของซั่งกวนเซ่าเฉินเละเทะไปหมด ครั้งนี้ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว ซั่งกวนเซ่าเฉินยุ่งมากกว่าเมื่อก่อน เกรงว่าห้องครัวน่าจะรกมากกว่าเดิม
นางมองการจัดวางข้าวของภายในห้องครัว แล้วส่ายศีรษะเบาๆ
ห้องครัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง และหม้อสีดำปิ๊ดปี๊ใบนั้นที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว แล้วมองดูโอ่งที่มีน้ำอยู่เต็มภายในนั้น แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น
นางเดินหาผ้าและเริ่มทำความสะอาดห้องครัว หลังจากนางทำความสะอาดตรงนี้เสร็จ ครั้นมองห้องโถงใหญ่รวมถึงห้องนอนที่รกและสกปรกเช่นเดียวกันก็เกิดขัดหูขัดตาไปหมด ด้วยเหตุนี้โรคย้ำคิดย้ำทำของนางก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง นางเริ่มทำความสะอาดห้องโถงและห้องนอนอีกครั้ง หลังจากที่นางทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า แต่เวลานี้นางก็รู้สึกปวดเอวปวดหลังได้เหมือนกัน
ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนอยู่หน้าประตู มองดูหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำจัดวัชพืชด้วยมือเปล่าที่ลานบ้าน ดวงตาของเขาฉายประกายมืดครึ้ม
“เหตุใดถึงได้ลงมือทำเื่เช่นนี้เล่า?” ซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ั้แ่ที่ซั่งกวนเซ้าเฉินเดินเข้ามาจากประตูนานแล้ว เพียงแต่งานในมือยังทำไม่เสร็จ นางจึงไม่อยากหยุดก็เท่านั้นเอง
“ท่านดูสิว่าในเรือนของท่านเปลี่ยนเป็สภาพเช่นไรแล้ว?” หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่เปรอะเปื้อน “ท่านไปสังหารคนมาหรือเ้าคะ?เหตุใดทั้งร่างถึงเต็มไปด้วยเื?”
“่นี้ในเมืองมีนักโทษหลบหนีออกมาผู้หนึ่ง ข้าต้องคอยช่วยตรวจสอบที่หลบซ่อนของมันและเืท่วมตัวนี้เป็ของนักโทษที่ทิ้งคราบเืเอาไว้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “ข้าขอไปล้างตัวก่อน”
หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้นยืน นวดคลึงเอวของตน
ซั่งกวนเซ่าเฉินหิ้วถังน้ำไปด้านหลังลานบ้าน ตอนนี้อากาศหนาวเป็อย่างยิ่ง แต่เขากลับอาบน้ำเย็นทั้งอย่างนั้น ช่างทำให้ผู้คนไม่นับถือไม่ได้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงถอนหญ้าต่อไป รอจนซั่งกวนเซ่าเฉินเดินออกมา นางก็ถอนหญ้ากำสุดท้ายเสร็จพอดี
“ดินในลานบ้านท่านอุดมสมบูรณ์ดียิ่ง ข้าอยากบุกเบิกพื้นที่ว่างของท่านเพื่อทำสวนผักเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับไป “่ที่สามารถปลูกผักได้ก็จะปลูกพืชผักทุกชนิดในที่นี่ เวลาอยากกินก็ถอนขึ้นมาจากดิน จะต้องอร่อยมากแน่ๆ เ้าค่ะ”
“ได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะจัดการให้”
ได้ยินคำอธิบายของนางแล้ว เขาก็ตั้งตารอคอยมากเช่นกัน พื้นที่ลานบ้านของเขากว้างใหญ่มาก แต่ว่างเปล่าเกินไป ไม่มีความชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มเบาๆ พลางกล่าว “พี่ใหญ่ มือปราบที่มาในวันนี้เป็คนรู้จักของพวกท่านใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้ปิดบังอะไรและไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง ด้วยความเฉลียวฉลาดของนางจะคาดเดาไม่ออกได้อย่างไร?ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเดาไม่ออก แต่ภายหลังก็ต้องได้พบกันอีก “หลังจากนี้มีปัญหาอันใด ขอเพียงแค่เห็นคนที่สวมใส่ชุดแบบนั้น เ้าสามารถให้พวกเขาช่วยเหลือเ้าได้”
“พวกท่านมีกี่คนเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“หืม? สิบห้าคน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว
“เช่นนั้น… พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมเกี๊ยวไว้สักจำนวนหนึ่ง ท่านบอกให้พวกเขามาทานนะเ้าคะ!วันนี้ช่วยข้าเอาไว้ตั้งมากมาย พี่น้องของท่านผู้นั้นไม่้าสิ่งใดก็เดินจากไปแล้ว เดิมทีข้าอยากจะกล่าวขอบคุณเขาสักหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปหาซั่งกวนเซ่าเฉิน นางลูบที่พวงแก้ม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความใ “ไอ๊หยา สกปรกจะแย่แล้ว ข้าจะกลับไปอาบน้ำที่บ้านแล้วเ้าค่ะ จริงสิเ้าคะ พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ข้าอยากไปดูร้านค้าสักหน่อย ท่านว่าพอจะมีร้านค้าสักหนึ่งแห่งให้เช่าได้ใช่หรือไม่? ถ้าพรุ่งนี้ท่านไม่มีธุระอันใดก็ขอรบกวนช่วยพาข้าไปดูสักหน่อย!พรุ่งนี้ตอนสายๆ พวกเราทำงานเสร็จแล้วก็ไปดูกันเถิดเ้าค่ะ ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินทอดมองหลิงมู่เอ๋อร์วิ่งจากไป เสียงของนางดังลอยมาจากระยะไกลๆ
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “นิสัยรีบร้อนเช่นนี้ ไม่เหมือนท่านพ่อท่านแม่ของนางเลยสักนิด”
แต่ว่า นางเป็เพียงหญิงสาวชาวนาธรรมดาจริงๆ หรือ?ความสามารถพวกนั้นร่ำเรียนมาจากที่ใดกันแน่?เขาเคยส่งให้คนไปสืบมา นางในอดีตเป็คนขี้ขลาดขี้กลัว แม้กระทั่งโต้เถียงกับผู้อื่นยังไม่กล้า นิสัยของนางเปลี่ยนไปมากหรือว่าจะเป็เพราะเื่ราวที่เกิดขึ้นใน่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่านางผ่านเื่ราวอะไรมากันแน่ ถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
เชิงอรรถ
[1] หยวนเป่า (元宝) หมายถึง เงินจีนในสมัยโบราณประเภทหนึ่ง หยวนเป่ามีลักษณะเป็แท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้าย ๆ เรือตรงกลาง ตรงกลางแต่เดิมแบนราบ ภายหลังได้ทำให้มันนูนป่องขึ้นตรงกลาง ด้านข้างของเงินหยวนเป่าจะนิยมแกะสลักลวดลายมงคลแบบต่างๆ และมักจะมีอักษรมงคลสลักไว้ด้านข้าง