เล่มที่ 4 บทที่ 103
บางทีอาจเป็เพราะปรุงยาทั้งคืนบวกรวมกับจิตสำนึกของการเป็ผู้รักษา หรือไม่บางทีนางคิดที่จะทำให้จ้าวจื่อซินหายโกรธ ฉะนั้นยามที่จ้าวจื่อซินขอให้นางป้อนยา มู่หรงฉิงจึงไม่รู้สึกเก้อเขิน หมอผู้รักษามักมีใจเหมือนคนเป็พ่อเป็แม่ ในเมื่อมีความตั้งใจที่จะเรียนหมอ ดังนั้นก็ควรละขนบธรรมเนียมอันวุ่นวายเ่าั้ ไม่ใช่หรือ?
ความคิดนั้นพานางไปนั่งตรงหน้าเขาและตักยา นางเป่าลมเบาๆ ก่อนป้อนยาเข้าปากของเขา ขณะป้อนยา นางก็เกลี้ยกล่อมเขาไปพลางโดยหวังว่าเขาจะไม่คับแค้นใจกับเป้ยหนิงอีกต่อไป “แท้ที่จริงแล้ว ศิษย์พี่หญิงเป็คนดีมาก อุปนิสัยตรงไปตรงมาและอารมณ์ดี กล้าที่จะรักและกล้าที่จะเกลียด วันนี้เป็เพราะอยู่ในป่าคนเดียวเป็เวลานานมากจึงเกิดความหวั่นกลัวในใจ ศิษย์พี่หญิงจึงพูดไม่เลือกคำ เ้าเป็ผู้ชายจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงที่บอบบางทำไมกัน?”
“นางเป็ผู้หญิงที่บอบบางหรือ?” หลังจากกลืนยาที่คู่สนทนาตักให้ถึงปาก จ้าวจื่อซินก็เปล่งเสียงฮึพลางพูดด้วยเสียงเ็าว่า “พูดเหมือนฟ้าร้อง มิหนำซ้ำมักจะพูดและทำตัวเย่อหยิ่งยโส คนอื่นสามารถทำตามใจนางได้ แต่ข้าไม่มีหน้าที่จะต้องตามใจนางเช่นนั้น”
“ก็ไม่ใช่ว่าให้เ้าตามใจนาง แต่อย่ายั่วโมโหนางเท่านั้น อย่างน้อยนางเป็องค์หญิงแห่งแว่นแคว้นหนึ่ง มีอุปนิสัยที่ตามใจตนเองเล็กน้อยย่อมเป็สิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในความคิดของข้า อุปนิสัยของนางดีกว่าสมาชิกในราชวงศ์ทั่วไปอย่างมาก นางใจกว้างตรงไปตรงมา และมีความชอบธรรมเพียงพอ” นางยังคงพูดถึงสิ่งดีๆ ของเป้ยหนิง แม้ยังไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมนางถึงได้กลัวความขัดแย้งระหว่างจ้าวจื่อซินกับเป้ยหนิง?
เมื่อได้ฟังเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลประกอบกับความตั้งใจดูแลรับใช้ของนาง จ้าวจื่อซินคิดว่า แม้นางจะป้อนยาพิษให้ เขาก็จะดื่มมันทั้งหมดโดยไม่ลังเล
บางครั้งการชำเลืองมองโดยไม่ได้ตั้งใจก็สามารถเติมเต็มหัวใจได้ และรอยยิ้มที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็สามารถเอาชนะทุกสิ่งในโลกได้
ในคืนนี้ นางยังคงปรุงยาต่อไป และเขาก็พยายามลองยาต่อไป นาง้าจะกำจัดพิษในตัวของเขาอย่างใจจดใจจ่อ อีกด้านนางก็อยากรู้ด้วยว่านางมีความสามารถทางการแพทย์มากน้อยแค่ไหน? เขาทนต่อพิษที่ทรมานคนพลางมองดูนางที่ปรุงยาด้วยความตั้งใจ เขารู้สึกเพียงว่า นั่นเป็สิ่งสวยงามของมนุษย์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว
ครั้นเฉินเทียนหยูลืมตาขึ้น เขาก็เห็นมู่หรงฉิงนั่งอยู่ด้านข้างเตียง สีหน้าของนางปรากฏความเหนื่อยล้าเล็กน้อย “น้องหญิงตื่นเช้ามากเช่นนี้เลยหรือ?”
หลังจากหาวนอน เฉินเทียนหยูจึงตระหนักได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง “ที่นี่ที่ไหนหรือ? นี่ไม่ใช่ห้องของพวกเรานี่นา”
“เมื่อคืนท่านพี่ดื่มมากเกินไป และเวลาก็ดึกมากแล้วจึงไม่ได้กลับจวน” นางไม่ได้นอนทั้งคืนทำให้วิงเวียนศีรษะเล็กน้อย มู่หรงฉิงกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะวิ่งไปทั่ว หลังจากตื่นนอน นางจึงรวบรวมเรี่ยวแรงเบิกตากว้างเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ครั้นเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้ว นางกลับรู้สึกง่วงเต็มที่
เฉินเทียนหยูเห็นถึงความอ่อนล้าของมู่หรงฉิง จึงรีบปล่อยให้นางขึ้นมานอนบนเตียง “น้องหญิงดูแลข้าทั้งคืนใช่หรือไม่? โธ่ ข้าผิดเอง คราวหน้าข้าจะระวังไม่ดื่มสุรามากเช่นนั้น”
หยิบพัดทรงกลมที่นางวางไว้ด้านข้างเตียงอย่างวิตกกังวลใจ จากนั้นโบกพัดให้นางโดยเลียนแบบได้เหมือนมาก มู่หรงฉิงเผลอหลับเนื่องจากง่วงนอนมาก จึงไม่ได้สนใจคำพูดของเฉินเทียนหยูและผล็อยหลับไปเสียก่อน
มู่หรงฉิงหลับไปแล้ว ฝั่งเฉินเทียนหยูกลับไม่ได้ลุกจากเตียงแต่ทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียงและมองดูนางอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกเพียงว่าขณะนางหลับสนิท นางสวยมากจริงๆ
มองไปมองมา เฉินเทียนหยูคล้ายจะติดเชื้อจากนางอย่างไรอย่างนั้น เขาถึงได้หรี่ตาและหลับไปอีกหน
หลังจากตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ก็ขึ้นแขวนอยู่บนท้องฟ้า นางจึงเรียกเฉินเทียนหยูให้ตื่นขึ้น ก่อนชำระล้างร่างกายและแต่งตัว จากนั้นปี้เอ๋อร์ก็มาแจ้งให้ไปทานอาหารกลางวัน ส่วนชุ่ยเอ๋อร์คอยรับใช้เฉินเทียนหยูชำระล้างร่างกายและแต่งตัว
“คุณหนูใหญ่เก่งมาก ได้ยินจ้าวจื่อซินพูดว่า วิธีแก้พิษที่องค์หญิงให้มานั้นเป็ของปลอม?” หลังจากตักน้ำแกงถั่วเขียวหนึ่งชามให้มู่หรงฉิง ปี้เอ๋อร์มองไปที่มู่หรงฉิงด้วยสีหน้าชื่นชม “ได้ยินจ้าวจื่อซินพูดว่า คุณหนูใหญ่เปิดตำราแพทย์ด้วยตัวเองและปรุงยาขึ้นมาใหม่ ถึงได้สามารถแก้ยาพิษได้”
มองขึ้นไป เห็นความชื่นชมในดวงตาของปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงจึงหัวเราะด้วยเสียงเบา ถึงกระนั้นนางก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเป้ยหนิง นางบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจะต้องให้ยาพิษธรรมดา และให้วิธีแก้พิษแก่นาง แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า เป้ยหนิงวางยาพิษธรรมดามากจริงๆ แต่วิธีการปรุงยาแก้พิษกลับเป็ของปลอม การดื่มยาแก้พิษตามที่เป้ยหนิงได้บอกไว้ จึงไม่เพียงไม่สามารถคลายพิษได้ แต่ยังทำให้พิษธรรมดากลายเป็พิษที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ครั้นย้อนนึกถึงใบหน้าซีดเซียวอันเ็ปของจ้าวจื่อซินเมื่อคืน มู่หรงฉิงเป็ต้องสวดอ้อนวอนแทนเป้ยหนิง โดยหวังว่าจ้าวจื่อซินจะลงมืออย่างมีความเมตตา
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นางต้องอ่านตำราแพทย์เพื่อปรุงยาแก้พิษกระทั่งประสบความสำเร็จเล็กน้อย นั่นทำให้มู่หรงฉิงมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมั่นใจในการช่วยเฉินเทียนหยู แม้นางจะไม่สามารถรับรองได้ว่าจะใช้ระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าใดในการรักษาเฉินเทียนหยู แต่อย่างน้อยนางก็สามารถรับรองได้ว่า เฉินเทียนหยูจะไม่ตายเนื่องจากการรักษา
มู่หรงฉิงรู้สึกสุขใจกับผลลัพธ์เล็กน้อยของนาง ทันทีที่เฉินเทียนหยูแต่งกายเสร็จเรียบร้อย เขาก็เข้ามาเกาะแกะมู่หรงฉิงพร้อมพูดอย่างประจบประแจงว่า “น้องหญิง น้องหญิงเคยบอกว่าพวกเราจะไปเก็บผลไม้ด้วยตัวเอง พวกเราจะไปกันเมื่อไรหรือ?”
ั้แ่มู่หรงฉิงพูดประโยคดังกล่าวในวันนั้น เฉินเทียนหยูจึงมีแต่ความคิดที่จะไปเก็บผลไม้ด้วยตัวเอง จ้าวจื่อซินควบคุมจำนวนการกินผลไม้ในแต่ละวันซึ่งทำให้เฉินเทียนหยูรู้สึกโกรธเป็อย่างมาก แต่กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ใครทำให้ทุกคนบอกให้เขาเชื่อฟังจ้าวจื่อซิน?
เห็นมู่หรงฉิงนั่งเหม่อลอย เฉินเทียนหยูก็เขย่าแขนของนางไปมา และยิ่งพูดด้วยทีท่าประจบสอพลอมากยิ่งขึ้น “น้องหญิง พวกเราจะไปเมื่อไรหรือ? พวกเราจะไปเมื่อไรหรือ?”
หลังจากถูกเฉินเทียนหยูรบเร้าหนักๆ มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกหมดหนทางและรีบจับมือของผู้ก่อกวน “ได้ยินจ้าวจื่อซินพูดว่า ระยะทางในการไปเก็บผลไม้นั้นไม่ไกลมากนัก หากเดินทางในเส้นทางลับจะใช้เวลาเพียงสามวันในการเดินทางไปกลับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยอมให้พวกเราเดินทางไกลหรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้ มู่หรงฉิงนึกชื่นชมจ้าวจื่อซินจริงๆ นางยังคงสงสัยในใจว่า ในชาติที่แล้วจ้าวจื่อซินเกิดเป็หนูหรือไม่? จากจวนเฉิน ไปยังด้านนอกเมือง และจากนั้นเดินทางไปยังูเาลึก จ้าวจื่อซินได้ขุดอุโมงค์ลับไว้มากมาย อุโมงค์ลับที่สลับซับซ้อน ถ้าเกิดไม่ระวัง อุโมงค์หนึ่งอาจจะบังเอิญไปชนกับอุโมงค์ลับของฮ่องเต้บางคนก็มีความเป็ไปได้ ทว่าเขาสามารถออกแบบได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ มิหนำซ้ำยังไม่ถูกผู้คนค้นพบเสียด้วย
เฉินเทียนหยูได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นด้วย เขาถึงกับทำหน้าบูดบึ้งทันที “ข้าจะไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะต้องเก็บผลไม้ด้วยตัวเอง จะเก็บผลไม้มากมาย”
เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูรีบวิ่งออกไปทันทีที่พูดจบ มู่หรงฉิงจึงจับมือของเขาไว้ “ท่านพี่ทำเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าหุนหันพลันแล่นไปหาฮูหยินผู้เฒ่า นางไม่เพียงจะไม่เห็นด้วยแต่จะเกิดความหงุดหงิดและขุ่นเคือง ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะถูกกักบริเวณ อย่าพูดถึงการไปเก็บผลไม้เลย เกรงว่าการจะออกจากจวนเฉิน ก็จะกลายเป็เื่ยากด้วยแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ควรจะทำอย่างไรหรือ? น้องหญิงบอกว่าจะไป น้องหญิงจะต้องหาทาง” นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ เฉินเทียนหยูมองมู่หรงฉิงด้วยสีหน้าขมขื่น เขาเกือบจะกลายเป็แมวที่น่าสงสารตัวหนึ่งก่อนขยับตัวประชิดนาง
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ ถึงเวลานั้น ท่านพี่บอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า...”
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดลดโทสะ เป็ความผิดของฉิงเอ๋อร์ ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดอย่าลงโทษท่านพี่เลย”
มู่หรงฉิงคุกเข่าลงกับพื้นด้วยหน้าตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด นางไม่ได้แก้ตัวให้ตัวเองแต่อย่างใด คำพูดที่พูดออกมานั้นหวังเพียงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ตำหนิเฉินเทียนหยู
เหตุการณ์เมื่อวานเดิมเป็การใช้ประโยชน์จากเฉินเทียนหยู ส่วนผลที่ตามมาคือโทษของการไม่ได้กลับเรือนกลายเป็เฉินเทียนหยูที่จะต้องรับผิดชอบ
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินเทียนหยูดื่มสุราข้างนอกมากเกินไปจนกลับจวนไม่ได้ ใบหน้าโกรธแค้นของนางถึงกับเปลี่ยนสี นางคิดในใจว่า เวลานี้มู่หรงฉิงยังคิดคำนึงถึงเ้าเด็กโง่ แต่ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง เด็กสาวเปลี่ยนใจและไม่สนใจเ้าเด็กโง่คนนี้แล้ว จากนั้นฉวยโอกาสไปพบปะกับคนอื่นเป็การส่วนตัว มันจะไม่ทำให้จวนเฉินต้องเสียเกียรติหรือ?
ความคิดนั้นเป็สาเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น นางหยิบไม้หวายสีทองฟาดไปที่ตัวของเฉินเทียนหยู “หวายสีทองสร้างคนให้เป็คนดีได้ เวลานี้เ้าก็โง่เขลาเช่นนี้ ข้าไม่ได้วาดหวังว่าเ้าจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูลอีกต่อไป แต่อย่างน้อยก็อย่าทำให้บรรพบุรุษของตระกูลเฉินต้องอับอายขายขี้หน้า พาภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของเ้าออกไปเมาด้านนอกทั้งคืน ไม่กลับเรือน นี่เป็สิ่งที่คุณชายครอบครัวใหญ่ควรจะทำหรือไม่?”
เมื่อถูกฮูหยินผู้เฒ่าเฆี่ยนตี เฉินเทียนหยูไม่แม้กระทั่งจะเปล่งเสียงฮึ เดิมหวายสีทองเรียวบางอยู่แล้ว กอปรกับเรี่ยวแรงมือของฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่หนักมากนัก แม้เฉินเทียนหยูจะรู้สึกเ็ปเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถอดทนได้ ในความคิดเห็นของเขา ไม่สำคัญว่าเขาจะถูกเฆี่ยนตีหรือไม่ ตราบใดที่ไม่ตีน้องหญิงก็เพียงพอแล้ว
จากนั้นเฉินเทียนหยูจึงใช้เวลาในการดูภรรยาของเขาปราดหนึ่ง หลังจากเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานของนาง เขาจึงไม่รู้สึกเ็ปอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกสบายใจเป็อย่างมาก ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็ภรรยา
“ขอฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ลงโทษท่านพี่อีกเลย ทั้งหมดเป็ความผิดของฉิงเอ๋อร์ หาก้าลงโทษ โปรดลงโทษฉิงเอ๋อร์” เขาถูกเฆี่ยนตีเป็เวลานานแล้ว แต่เขายังคงยิ้มได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางที่เห็นแก่ตัว เขาจะถูกลงโทษได้อย่างไร?
“เ้าอย่ารีบร้อนนักเลย เ้าเองก็ต้องถูกลงโทษด้วย” เปล่งเสียงฮึ จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินไปหามู่หรงฉิงพร้อมด้วยหวาย “ในฐานะผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว ควรจะรักษากฎมารยาทไว้ก่อน สามีของเ้าคิดคำนึงถึงเ้า พาเ้าออกจากจวนไปกินอาหาร เ้าก็ควรใส่ใจกับความพอดี ควรรู้จักที่จะดูแลสามีของเ้า เขาจะเมา ไม่กลับบ้านกลับเรือนได้อย่างไร?” หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นหมายจะฟาดไปที่แผ่นหลังของมู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงหลับตา นางรอเป็เวลานานแต่ไม้เรียวกลับไม่ตกลงมาเสียที นางลืมตาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ และเมื่อนางเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ แต่มากไปกว่านั้นนางยิ่งรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น
“ข้าบอกแล้วว่า ห้ามเฆี่ยนตีน้องหญิง เ้าต้องเฆี่ยนตีข้า เ้าจะเฆี่ยนตีข้าอย่างไรก็ได้ ข้าไม่โกรธ แต่เ้าห้ามเฆี่ยนตีน้องหญิง ถ้าเฆี่ยนตีน้องหญิง ข้าจะไม่เชื่อฟังเ้าแล้ว” เฉินเทียนหยูดึงหวายในมือของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่น และทุกคำทุกประโยคที่เปล่งออกมานั้นจริงจังเป็อย่างมาก ในความคิดเห็นของเขา ไม่ว่าจะเป็ฮูหยินผู้เฒ่าหรือเป็์ก็ห้ามแตะต้องน้องหญิงของข้าเด็ดขาด
คำพูดของเฉินเทียนหยูทำให้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากลายเป็สีขาวสลับน้ำเงินในทันใด นางโกรธขึ้งถึงกับหอบหายใจ เมื่อมู่หรงฉิงเห็นสีหน้าท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงรีบดึงเสื้อคลุมของเฉินเทียนหยู “ท่านพี่รีบปล่อยมือ ฉิงเอ๋อร์มีความผิดย่อมสมควรได้รับโทษ”
“น้องหญิงไม่มีความผิด น้องหญิงดูแลข้าทั้งคืน น้องหญิงจะมีความผิดได้อย่างไรหรือ? ข้า้าพาน้องหญิงออกไปทานอาหารเย็นข้างนอก และข้าก็อยากจะดื่มสุราด้วยตัวเอง จะโทษน้องหญิงได้อย่างไรหรือ?” เฉินเทียนหยูพูดอย่างจริงจัง แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจเพราะเมื่อคืน เขาจำได้อย่างชัดเจนว่ากำลังกินปลาย่าง แต่ทำไมเขาถึงจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ได้? เขาเมาจริงๆ หรือ?
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้งถึงกับหัวเราะ และหลังจากที่นางพูดสิ่งที่ดีสองสามอย่าง นางก็โยนหวายลงบนพื้น “เวลานี้ เ้ามีน้องหญิงแล้ว ในสายตาของเ้า ในใจของเ้าทั้งหมดก็มีแต่น้องหญิงของเ้า ถ้าเช่นนั้นก็พาน้องหญิงของเ้ากลับไปที่เรือนของเ้ารักทะนุถนอมให้ดีเถอะ เกรงว่าอยู่ในเรือนของข้าแล้วจะทุกข์ทรมานจากความคับข้องใจของข้า เดี๋ยวเ้าก็มาหาเื่ข้าอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโมโห นางรู้ทั้งรู้ว่านางไม่ควรขุ่นเคืองใจกับหลานชายผู้โง่งม แต่เมื่อนางเห็นหลานชายของนางเข้าข้างภรรยาของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งรู้สึกปวดใจเป็อย่างมาก นางคิดในใจว่า ถ้าหยูเอ๋อร์เป็คนปกติ เื่ทำนองนี้จะเกิดขึ้นได้เสียที่ไหน?
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากพอแล้ว แต่เฉินเทียนหยูกลับดึงมู่หรงฉิงลุกขึ้นยืน “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดถูก น้องหญิงควรจะกลับไปที่เรือนกับข้า ไม่เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเกิดเปลี่ยนใจแล้วจะเฆี่ยนตีน้องหญิงอีก”
มู่หรงฉิงถึงกับเหลือบสายตาไปมองทางฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความวิตกกังวลเป็อย่างมาก โดยกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทนกับคำพูดรุนแรงไม่ได้ ปรากฏว่าหลังจากได้ยินดังนั้น มือสั่นเทาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ชี้ไปที่ประตู “ออกไป วันข้างหน้า เ้าจะไปที่ไหน เ้าก็ไปเลย เ้าไม่ต้องรายงานข้าอีกต่อไปแล้ว”