สถานีรถไฟน่าจะเป็สถานที่ที่มีชีวิตชีวามากที่สุดในเมืองแล้ว ที่นี่มีทั้งคนที่เพิ่งลงจากรถไฟ บางคนก็กำลังเตรียมตัวขึ้นรถฟ้าบางคนก็มาส่งคนขึ้นรถและบางคนก็มาที่นี่เพื่อรอรับคน ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็พูดคุยกันด้วยสำเนียงที่หลากหลาย ขณะที่ซย่านีเดินผ่านฝูงชนก็ยังได้ยินสำเนียงบ้านเกิดของตนเองด้วย
เนื่องจากสถานีรถไฟมีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาเป็จำนวนมาก เหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่มีหัวคิดทางธุรกิจจึงพากันมาขายของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็ถั่วลิสงและเมล็ดแตงโมก็มีขายทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีหนังสือและนิตยสารเก่าด้วย กระทั่งเหล้าดองผลไม้ บ๊ะจ่างและกุยช่ายทอดก็มีครบ...ลมโชยมาทีหนึ่งกลิ่นอาหารหอมกรุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
เมื่อเช้านี้ซย่านีกินข้าวไปแล้วแท้ๆ แต่ทันทีที่เธอได้กลิ่นหอมของขนมกุยช่ายทอด[1] เธอก็เริ่มน้ำลายสอขึ้นมา
ซย่านีกลืนน้ำลายแล้วมองไปทางขนมกุยช่ายทอดอยู่หลายครั้ง และคิดว่าซย่าซานนีคงไม่ได้กินอาหารเช้าตอนนั่งรถไฟมาแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงหันไปซื้อกุยช่ายทอดทันที
ขนมกุยช่ายร้านนี้ให้ปริมาณเยอะมาก ซย่านีสั่งไปห้าชิ้นในคราวเดียว ถ้าซย่าซานนีกินไม่หมดก็สามารถเก็บไว้ทอดกินตอนกลางวันอีกรอบก็ได้
ในยุคนี้การใช้ถุงพลาสติกยังไม่เป็ที่นิยม ดังนั้นอาหารประเภทนี้จึงถูกห่อด้วยกระดาษ
พ่อค้าร้านขนมกุยช่ายทอดค่อนข้างพิถีพิถันเป็อย่างยิ่ง เขารองกระดาษหนึ่งแผ่นต่อกุยช่ายหนึ่งชิ้น หลังจากวางขนมกุยช่ายทอดซ้อนกันห้าชิ้นแล้ว เขาก็ส่งห่อกระดาษนั้นให้แก่ซย่านี
ซย่านีอดใจไม่ไหวจึงหยิบกินไปก่อนหนึ่งชิ้น
ขนมกุยช่ายทอดยังร้อนๆ อยู่เลย ซย่านีเป่ามันเล็กน้อย พอกัดเข้าไปคำแรก ไส้ก็ทะลักออกมาทันที ด้านในไส้ของขนมเต็มไปด้วยไข่ไก่และกุยช่าย เพราะไส้ขนมมีไข่ไก่อยู่เยอะมากพอกินเข้าไปแล้วจึงได้กลิ่นหอมเป็พิเศษ
เมื่อคนรอบข้างซย่านีได้กลิ่นขนมกุยช่ายทอด สายตาของผู้คนเ่าั้ก็มองไปทางซย่านีเป็ตาเดียว จากนั้นเพียงไม่นานก็มีคนจำนวนมากเข้าไปสอบถามราคาอาหารกับพ่อค้าร้านขนมกุยช่ายทอดแล้ว
หลังจากกินขนมกุยช่ายทอดเสร็จแล้ว ซย่านีก็เหลือบมองเวลาเห็นว่าตอนนี้เป็เวลาแปดโมงครึ่งพอดีแต่รถไฟกลับยังมาไม่ถึงเลย ดูท่ารถไฟคงจะมาถึงช้ากว่ากำหนดนิดหน่อยล่ะมั้ง
อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไป ซย่านีก็ได้ยินคนพูดว่ารถไฟหมายเลข 6020 มาถึงสถานีแล้ว เธอพลันดีใจขึ้นมาทันทีเพราะรถไฟขบวนนี้คือรถไฟที่เธอนั่งจากบ้านเกิดมายังปักกิ่งในปีนั้น!
เพียงไม่นาน คนจำนวนมากก็หลั่งไหลออกมาจากขบวนรถไฟ
ซย่านียืดคอขึ้นมองไปยังด้านใน เมื่อนับรวมเวลาชาติที่แล้วนี่ก็ผ่านมาหลายปีที่เธอไม่ได้เจอกับน้องสาวคนนี้ ดังนั้นเธอจึงกลัวว่าตนเองจะจำน้องสาวไม่ได้
ในยุคนี้ผู้คนมักจะใส่เสื้อผ้าไม่หลากหลายกันเท่าใดนัก โดยเฉพาะคนที่นั่งรถไฟ พวกเขาต่างก็กลัวว่าเสื้อผ้าจะสกปรกก็เลยใส่ชุดสีทึบพอมองไปแล้วทุกคนก็ดูแต่งตัวคล้ายๆ กันไปหมด
จากนั้นซย่านีก็เลือกใช้วิธีโง่ๆ เมื่อเธอเห็นเงาหลังที่ดูคล้ายกับซย่าซานนี เธอก็ะโเรียกทันที “ซย่าซานนี! ซย่าซานนี!”
จะว่าไปแล้ววิธีนี้ก็มีประโยชน์มาก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากบุคคลที่สาม เด็กสาวที่มีใบหน้ารูปผลผิงกั่ว[2] บนศีรษะถักผมเปียสองข้างและกำลังถือกระเป๋าใบใหญ่ในมือ เด็กสาวที่กำลังยืนหันหลังอยู่ก็พลันหันหน้ามาตามเสียงเรียกแล้วโบกมือให้ซย่านีพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่หญิงใหญ่! พี่หญิงใหญ่!”
ซย่าซานนีวิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าซย่านีแล้วมองสำรวจซย่านีอย่างระมัดระวัง ราวกับเพิ่งพบเจอซย่านีเป็ครั้งแรก จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวชมพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนว่า “พี่หญิงใหญ่ ทำไมฉันคิดว่าพี่ดูสวยขึ้นกันนะ? หรือว่านี่คือโหงวเฮ้งของคนปักกิ่งกัน!”
ซย่านีเห็นท่าทางของน้องสาวก็รู้สึกขบขัน เธอยื่นมือไปหยิกแก้มของซย่าซานนีและกล่าวว่า “ปากหวานจังนะ...นี่จ้ะ พี่ซื้อขนมกุยช่ายทอดไว้ให้เธอด้วยยังร้อนๆ อยู่เลย รีบกินเสียสิ”
“ว้าว!” ซย่าซานนีหยิบขนมกุยช่ายทอดขึ้นมาแล้วกัดเข้าไปคำโต “พี่หญิงใหญ่ พี่รู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังหิวอยู่?”
ซย่านีกล่าวตอบ “เพราะพี่หญิงใหญ่ของเธอมีสติปัญญาล้ำเลิศน่ะสิ” เื่นี้ต่อให้ใช้เท้าคิดก็ยังรู้เลย ซย่าซานนีเดินทางมาปักกิ่งคราวนี้ คนในครอบครัวก็คงจะเตรียมแค่วอวอโถวให้เธอมากินบนรถไฟแค่สองก้อนเท่านั้น
“ขนมกุยช่ายทอดนี่อร่อยจริงๆ! ข้างในมีไข่ไก่เยอะมากเลย!” ซย่าซานนีกินขนมกุยช่ายทอดอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเธอก้มหน้าลงก็สังเกตเห็นว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนซย่านีกำลังจ้องมองปากของเธออยู่ ทารกน้อยในอ้อมแขนน้ำลายไหลเล็กน้อย เธอเห็นเด็กน้อยแล้วก็รู้สึกมีความสุขมากจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “นี่คือหลานชายคนเล็กของฉันใช่ไหมจ้ะ หน้าตาน่ารักจริงๆ เชียว! พี่หญิงใหญ่ เขามีชื่อจริงว่าอะไรหรือจ้ะ?”
แม้ว่าพ่อกับแม่ของเธอจะมาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่ที่กรุงปักกิ่งแต่พอกลับชนบทไปแล้วก็ไม่ได้บอกว่าหลานชายตัวน้อยมีชื่อว่าอะไร รู้เพียงว่าเขามีชื่อเล่นว่าซิงซิงเท่านั้น
ซย่านีตอบ “เขาชื่อซ่งซิงเหอจ้ะ”
ซย่าซานนีพยักหน้ารับ “ชื่อเพราะจริงๆ”
“เอาล่ะ พวกเราไปขึ้นรถประจำทางกลับบ้านกันเถอะ”
ซย่านีพาซย่าซานนีเดินไหลไปตามฝูงชนเพื่อออกไปยังด้านนอกของสถานีรถไฟ ซย่าซานนีเดินไปพลางกินขนมกุยช่ายทอดไปพลาง เด็กสาวคนนี้อายุเพิ่งจะสิบห้าปีเท่านั้นอยู่ในวัยกำลังโตจึงหิวมากเป็พิเศษ ดังนั้นเธอก็เลยกินขนมกุยช่ายทอดอย่างตะกละตะกลาม เด็กสาวกัดครั้งหนึ่งก็ปาเข้าไปสี่ถึงห้าคำ จากนั้นถึงค่อยกลืนมันลงท้องหนึ่งที
“พี่หญิงใหญ่ ขนมกุยช่ายทอดพวกนี้ให้ฉันหมดเลยหรือเปล่าจ้ะ?” ซย่าซานนียกห่อขนมกุยช่ายทอดที่เหลืออีกสามชิ้นขึ้นมาพลางเอ่ยถามซย่านี
“พี่ให้เธอหมดเลย” ซย่านีตอบ
ซย่าซานนีค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย จากนั้นเธอก็เริ่มกินขนมกุยช่ายทอดต่อ เธอกินไปพลางแล้วเล่าสถานการณ์ที่บ้านให้ซย่านีฟัง “เมื่อปลายปีก่อนหมู่บ้านของพวกเราได้ใช้ระบบอิงความรับผิดชอบตามสัญญาครัวเรือน ที่ดินในหมู่บ้านถูกแบ่งออกตามจำนวนคนแต่ละคนจะได้ที่ดินคนละหนึ่งหมู่สองเฟิน[3] เพราะที่ดินแต่ละผืนมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันก็เลยมีการจับฉลากเพื่อจัดสรรที่ดินกันจ้ะ ที่ดินที่บ้านของพวกเราได้มาก็เลยไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ต่อมาพ่อก็เลยไปหารือเื่ขอแลกเปลี่ยนที่ดินกับคนอื่น สุดท้ายก็เลยได้ที่ดินฝั่งเป่ยหวากับฝั่งซีเหอมาจ้ะ”
“ใช่แล้ว พี่หญิงใหญ่พี่เองก็มีที่ดินด้วยนะจ้ะ ตอนแรกคนในหมู่บ้านก็ไม่คิดจะแบ่งที่ดินให้พี่หรอก พวกเขาบอกว่าพี่ตามพี่เขยเข้าเมืองไปแล้วเพราะแบบนี้พี่ก็เลยไม่ใช่สมาชิกของหมู่บ้านอีกต่อไปแล้ว แต่ทะเบียนบ้านของพี่กับลูกๆ ทั้งสามคนอยู่ที่หมู่บ้านของเราต่อให้หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยากแบ่งที่ดินให้พี่ พ่อกับแม่ของพวกเราก็ไม่ยอมอยู่ดี พวกเขาก็เลยไปเอาเื่กันต่อมาถึงได้ทวงคืนที่ดินของพี่กับลูกๆ สามคนกลับมาได้”
ซย่านีตกตะลึง “มีส่วนของพี่ด้วยหรือ?”
“นี่พี่ไม่รู้หรือจ้ะ?” ซย่าซานนีถาม “ใช่แล้วจ้ะ แน่นอนว่าต้องมีส่วนของพี่อยู่แล้ว ตอนนี้พวกเราดูแลที่ดินในส่วนของพี่แทนอยู่จ้ะ”
ในชาติก่อนซย่านีรู้เพียงว่าครอบครัวของตนได้รับการจัดสรรที่ดิน แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนเองกับลูกๆ ก็ได้รับที่ดินด้วยเช่นกัน หากหนึ่งคนได้รับที่ดินหนึ่งหมู่สองเฟินจริงล่ะก็ เช่นนั้นพวกเธอแม่ลูกมีสี่คนก็จะได้ที่ดินสี่หมู่แปดเฟิน ด้วยที่ดินที่เยอะขนาดนี้หากจะเพาะปลูกเลี้ยงชีพก็คงจะพอเลี้ยงตนเองได้ แต่ว่าเมื่อชาติที่แล้วพ่อแม่กลับคิดว่าเธอทำให้พวกท่านต้องอับอายขายหน้าผู้คนจึงไล่เธอออกจากบ้าน
ซย่านียิ่งคิดเื่นี้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจมากขึ้นเท่านั้น เธอรีบส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดเ่าั้ออกไปเพื่อไม่ให้มันส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอ
ด้านซย่าซานนีก็ยังคงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้มีที่ดินเป็ของตนเองแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงตั้งใจดูแลที่ดินกันอย่างดีเลยนะจ้ะ ขนาดพวกคนที่แต่ก่อนเคยอยู่อย่างี้เีๆ ก็ยังไม่กล้าจะี้เีอีกต่อไป วันๆ พวกเขาต้องมานั่งถอนวัชพืชที่ไร่นาทุกวันเลย...พี่รู้ไหมว่าพี่สะใภ้รองตั้งท้องแล้วนะ ครั้งก่อนที่พ่อกับแม่ไปหาพี่ปักกิ่ง ก็ยังไม่รู้หรอกจ้ะ จนพ่อกับแม่กลับบ้านมาพวกเขาถึงได้รู้ว่าพี่สะใภ้รองตั้งท้องได้เดือนกว่าแล้ว”
“แบบนี้เธอจะไม่คลอด่เดือนเจ็ดหรอกหรือ?”
“ใช่แล้วจ้ะ พี่สะใภ้รองใกล้คลอดแล้ว” ซย่าซานนีกล่าวต่อ “คนในหมู่บ้านบอกว่าพี่สะใภ้รองท้องแหลม น่าจะตั้งท้องลูกชายแน่ๆ เพราะแบบนี้ก็เลยทำให้แม่มีความสุขมาก วันๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตารอหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้คลอดออกมาสักทีของดีๆ ในบ้านก็รีบเอาให้พี่สะใภ้รองก่อนเป็คนแรกเลยจ้ะ”
ซย่านีหัวเราะออกมา ช่างน่าเสียดายที่น้องสะใภ้รองคนนั้นจะให้กำเนิดลูกสาวแทนต่างหาก พอเธอจินตนาการถึงท่าทีของแม่ผู้ซึ่งลำเอียงรักลูกชายและเมินเฉยต่อลูกสาว หลังจากที่แม่ของเธอรู้ว่าน้องสะใภ้รองคลอดลูกสาวออกมาแทนลูกชาย ซย่านีก็อดไม่ได้ที่จะนึกตลกขึ้นมา น้องสะใภ้รองของเธอเป็คนมีความสามารถและไม่ใช่คนที่จะสามารถทนรองรับอารมณ์ของผู้อื่นได้ พอ่ปี 1990 สะใภ้รองก็หย่ากับน้องชายคนรองของเธอแล้วหอบลูกสาวไปเมืองเซินเจิ้น จากนั้นเธอก็เปิดร้านขายซาลาเปาที่เมืองเซินเจิ้นจนซื้อบ้านได้หลายหลังเลยทีเดียว
จากนี้ไปครอบครัวนี้คงจะมีเื่น่าสนุกให้คอยดูอีกเยอะเลย แต่น่าเสียดายทีู่เาสูงชันแผ่นดินกว้างใหญ่ เธอเลยไม่อาจเห็นเื่สนุกนี้ได้แล้ว
[1] ขนมกุยช่ายทอด 韭菜盒子 คือ พายแบบจีนมีต้นกำเนิดมาจากมณฑลซานตง ไส้หลักก็คือกุยช่าย ด้านนอกห่อด้วยแป้งผสมกับไข่ จากนั้นก็นำไปทอดหรืออบ หากเป็แบบดั้งเดิมบางครั้งจะมีการใส่ไข่หรือหมูสับลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการเติมไส้ต่างๆ ใส่ลงไปเช่น วุ้นเส้น เต้าหู้เป็ต้น ขึ้นอยู่กับสูตรนั้นๆ
[2] ผลผิงกั่ว 苹果 คือ ผลแอปเปิล
[3] เฟิน 分 คือ หน่วยที่ดินของจีนมีขนาดเท่ากับ 1 ส่วน 10 หมู่ (亩) ซึ่ง 1 หมู่ เท่ากับ 666.667 ตารางเมตร
