ตอนนี้ในตัวเมืองเฟิงเองก็เกิดการระบาดแล้วเช่นกัน เพียงแต่เมื่อพบผู้ติดเชื้อคนหนึ่ง ทางการก็จะนำตัวออกไป คนเ่าั้ล้วนถูกส่งไปยังวัดร้างแห่งหนึ่งที่เมืองฝั่งตะวันตก ในทุกๆ วันจะมีคนมากมายถูกส่งให้ไปอยู่ที่นั่นจนตอนนี้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็สถานที่ที่คนฝั่งเมืองตะวันตกพากันหวาดกลัว และั้แ่เมื่อวานเป็ต้นมา ทุกๆ ครึ่งชั่วยามก็จะมีศพถูกส่งออกมา ก่อนจะถูกนำไปเผายังสถานที่ที่กำหนดไว้
คนที่ถูกส่งไปที่นั่นมีทั้งที่เป็ประชาชนธรรมดาไปจนถึงคนมีอันจะกิน ขอแค่ติดโรคระบาดนี้ ไม่ว่าจะเป็ใคร หรือสถานะจะเป็เช่นไรก็ล้วนถูกส่งไปยังเมืองฝั่งตะวันตกทั้งสิ้น อวิ๋นซีจึงค่อนข้างพอใจกับวิธีการจัดการเช่นนี้ของหลี่หรงเฉียว อีกทั้ง เขายังรู้ด้วยว่าจักต้องเผาศพ ณ บริเวณที่กำหนดไว้ วิธีนี้นับเป็วิธีที่ดียิ่ง อย่างน้อยๆ นางก็สามารถรับประกันได้ว่าศพเ่าั้จะไม่กลายเป็หนึ่งในตัวการของการแพร่ระบาดในครั้งนี้
“สถานที่เผาจักต้องอยู่ห่างจากแหล่งน้ำ อีกทั้ง บริเวณรอบๆ ทั้งสี่ด้านก็ต้องทำความสะอาดอย่างดี” อวิ๋นซีขบคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดกับหลี่หรงเฉียว “ตอนนี้ข้าจะเข้าไปดูผู้ป่วยในเขตโรคระบาดก่อน ส่วนท่าน ก็เร่งให้คนสืบหาในตัวเมือง หากพบว่ามีคนติดโรคระบาดอีก ก็ให้รีบส่งตัวไปที่เมืองฝั่งตะวันตก วิธีการแก้ปัญหาในเบื้องต้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบแจ้งให้ทางอำเภอด้านล่างรับรู้ด้วย แล้วก็ส่งสารไปเตือนทางฝั่งอวี่โจวไว้ ก่อนจะหายาที่สามารถรักษาได้อย่างเห็นผล เื่ความสะอาดจักต้องจัดการให้ดี การป้องกันตัวเองก็ต้องทำให้ดี”
เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีก็บอกวิธีป้องกันตัวเองกับหลี่หรงเฉียว ก่อนจะให้เขานำเื่นี้ไปป่าวประกาศให้ผู้คนได้รับทราบ ซึ่งวิธีการป้องกันตัวเองที่ว่าก็คือ การทำความสะอาดร่างกายและที่อยู่ของตนให้ดี อีกทั้ง อาการป่วยนี้อาจติดต่อได้ผ่านทางช่องปาก ดังนั้น น้ำที่จะดื่มกินจำต้องต้มให้เดือดก่อน ส่วนเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ เมื่อถอดออกแล้วก็ต้องนำไปต้มในน้ำร้อนที่เดือดจัด และล้างมือบ่อยๆ ...
ตอนนี้นางยังไม่แน่ใจว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นนี้เป็โรคระบาดอะไร สิ่งเดียวที่สามารถทำได้จึงเป็การระมัดระวังป้องกันคนที่ยังไม่ติดโรคให้รัดกุมต่อไป ทว่า ในตอนที่นางออกมาจากศาลาว่าการนั้น ก็ได้พบกับคนผู้หนึ่งที่ไม่ได้เจอมานานโดยบังเอิญ
หลิ่วเซิงมองนางอย่างนึกสนุก “ดูท่าข้าจะมาถูกเวลายิ่ง”
มุมปากอวิ๋นซีกระตุกขึ้นลง “ท่านมาทำอะไรที่นี่? ”
หลิ่วเซิงแค่นเสียงเ็าพูด “เ้าที่เป็ผู้น้อยยังมาได้ แล้วข้าที่เป็ท่านอาจะมาไม่ได้เชียวหรือ”
แม้ปากอวิ๋นซีจะไม่ขยับพูด แต่ในใจกลับคิดว่า ท่านอา? ใครยอมรับว่าเขาเป็ท่านอากัน คนช่างอวดอ้างเสียจริง อันที่จริงนางกับหลิ่วเซิงผู้นี้สมาคมกันอย่างประหลาดมาก หากถกกันในเื่วิชาแพทย์ละก็ พวกเขาทั้งสองก็มีเื่ให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเยอะมาก ทว่า เมื่อไรที่พูดถึงเื่ลำดับาุโก็เป็ต้องได้ทะเลาะกันตลอด หลิ่วเซิงเป็เ้าบ้าผู้หนึ่ง บางครั้งจะคิดว่าระดับาุโของตนนับเป็ท่านลุง แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนยังหนุ่ม ให้เรียกท่านอา
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซีมักจะเรียกเขาผิดเป็ประจำ จากนั้นก็ถูกหลิ่วเซิงหาเื่ ถึงแม้หลิ่วเซิงจะอายุเลยสี่สิบไปแล้ว แต่นิสัยของเขาก็ไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ดังนั้น ทุกครั้งที่อวิ๋นซีเจอเขาจึงมักจะหยอกเย้าเขาสักประโยคสองประโยคอยู่เนืองๆ
ทว่า ในตอนหลังเป็เพราะดอกท้อที่เขาไปหาเื่อยู่ด้านนอกพาลูกมาหาถึงบ้าน คนทั้งสองจึงไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย
“ท่านควรจะกลับไปอยู่เป็เพื่อนภรรยาคนงามของท่านนะ” อวิ๋นซีกวาดตามองเขาไปทีหนึ่ง ไม่เข้าจริงๆ ว่าคนคนนี้จะมาที่นี่ทำไม เพราะการได้มีภรรยาและลูกอยู่เคียงข้างจึงจะเรียกได้ว่าสุขสบายเป็ที่สุด หากเป็ไปได้ ตัวนางเองก็ไม่อยากมาเช่นกัน เพราะตกกลางคืน การได้นอนกอดบุรุษของตนจนหลับใหลไป นี่สิสบายจะตาย
เหตุที่นางมาที่นี่เป็เพราะรู้สึกหมดหนทาง ครอบครัวของนางอยู่ที่นี่
“เ้าเด็กบ้านี่ยังจะกล้าพูด บิดาเ้าก็ทำเกินไปแล้ว สารเลวจริงๆ ” เมื่อต้องคิดถึงเื่นี้อีกครั้ง หลิ่วเซิงก็โกรธจนหายใจไม่ออก สตรีที่เขาชมชอบมานานกลับถูกอวิ๋นซานขโมยไปเสียอย่างนั้น ตอนนั้นพอเขาทราบเื่เข้าก็โกรธจัดจนแทบกระอักเื
อวิ๋นซีนำผ้าปิดปากออกมาส่งให้เว่ยซานและเยว่หัวที่อยู่ข้างกาย จากนั้นจึงสวมปิดปากตนแล้วออกเดินทางไปยังเมืองฝั่งตะวันตกภายใต้การดูแลของเหล่าทหาร หลิ่วเซิงเองก็ตามหลังมาด้วย เพื่อจะขอผ้าปิดปากจากอวิ๋นซี ถึงกระนั้นเ้าสิ่งนี้แท้จริงแล้วตัวเขาเองก็มีเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็ของที่คนของอวิ๋นซีทำขึ้น เพียงแต่รีบร้อนออกเดินทางเกินไป จึงได้ลืมหยิบติดมาด้วย
เขามองไปยังอวิ๋นซี พูดว่า “ครั้งนี้ที่มาก็เพราะข้ารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับโรคระบาดครั้งนี้ และคิดอยากจะหาวิธีกำจัดมัน”
“เสินหนง [1] ทดลองร้อยสมุนไพร ท่านเองก็อยากจะทดสอบโรคระบาดนี้ด้วยร่างกายตนเอง ใช่หรือไม่? ” อวิ๋นซีมองคนตรงหน้าด้วยสายตาร้ายกาจ จู่ๆ นางก็คิดถึงชายที่ตนใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อรั้งขาเขาไว้ที่เมืองหลวง
ตอนนี้ ‘หนิงอ๋อง’ อยู่กับตนที่นี่แล้ว เช่นนั้นคนคนนั้นที่อยู่ในเมืองหลวงป่านนี้ก็คงจะกลายเป็ผู้นำตระกูลฉิน ฉินเหยียนไปแล้วกระมัง ไม่รู้ว่าเมื่อคนฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่านางหนีจากมา เขาจะโกรธจนอยากฆ่าคนเลยหรือไม่
ก่อนหน้านี้นางได้ทิ้งผงยาสำหรับสองวันไว้ให้เว่ยหลงแล้ว ทั้งยังกำชับให้เว่ยหลงช่วยป้อนน้ำที่ใส่ผงยานี้ให้เขาทุกวัน หากนับเวลาดู เขาก็น่าจะตื่นขึ้นมาแล้วในตอนนี้
หลิ่วเซิงได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงเ็า “ทำไมจะไม่ได้เล่า ตัวข้านี้ก็ชอบความท้าทาย ทำสิ่งที่เป็ไปไม่ได้ อีกประการ หากจะให้รอกว่าพวกหมอหลวงจะคิดหาวิธีได้ ที่นี่จะไม่กลายเป็เมืองทิ้งร้างไปแล้วหรือไร”
เขาเรียนวิชาแพทย์ หลายปีมานี้ย่อมได้ขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ตลอด ความรู้ด้านการแพทย์ของหมอหลวงในวังมีแค่ไหน เขารู้ดี ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกบรรดาหมอหลวงในพระราชวังของหนานเย่า ทว่า ต่อให้คนเ่าั้ออกมาพร้อมกันทั้งหมดก็ไม่แน่ว่าจะหาวิธีหยุดยั้งโรคระบาดได้
อวิ๋นซีนำคนทั้งหลายเดินทางไปยังเมืองฝั่งตะวันตก เมื่อไปถึง ไม่ว่าจะเป็ตัวนางเอง เว่ยซาน เยว่หัว หรือหลิ่วเซิง ทุกคนต่างถูกฉากตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไป หากจะบอกว่าบรรดาประชาชนที่พบเห็นระหว่างทางที่มา บนกายล้วนมีกลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้น เช่นนั้นเหล่าคนตรงหน้านี้ที่มีสีหน้าดำคล้ำ ไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง กระทั่งสายตาก็ยังว่างเปล่าเหล่านี้กลับยิ่งดูน่ากลัวกว่าผู้คนที่ผ่านๆ มา
พวกเขาต่างมีท่าทีที่คล้ายคนหมดหวังในชีวิตที่อวิ๋นซีเคยเห็นในหัวเซี่ย คนเหล่านี้เรียกได้ว่าด้านชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว ทั้งร่างราวกับศพเดินได้ก็ไม่ปาน
เมืองฝั่งตะวันตกแห่งนี้เดิมทีเป็ส่วนเมืองที่อยู่ใกล้ที่พักอาศัยของเกษตรกร แต่ตอนนี้ที่นี่หลายแห่งต่างถูกเปลี่ยนให้เป็สถานที่กักตัว อวิ๋นซี หลิ่วเซิงและคนอื่นๆ เดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นคนที่มีกลิ่นอายคละคลุ้งไปด้วยความตายล้มลงบนพื้น พวกเขาสิ้นหวังเสียจนไม่ทำกระทั่งดิ้นรนตะเกียกตะกายให้หยัดยืน
คนเหล่านี้มีแต่นับวันรอการมาถึงของเทพแห่งความตาย
อย่างไรก็ตาม นี่นับเป็ครั้งแรกที่เยว่หัวได้เห็นอะไรที่น่าอดสูเช่นนี้ ในใจนางนึกหวาดกลัวเล็กน้อยจนเผลอดึงชายเสื้ออาจารย์ตน เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็ทำเพียงมองเด็กน้อยไปเรียบๆ โดยไม่ได้ปลอบโยนใดๆ เพราะเส้นทางนี้เยว่หัวเป็คนเลือกเอง สิ่งที่นางจะทำได้มีแต่ต้องเดินต่อไป
ศิษย์ของอวิ๋นซีไม่ใช่เป็เพียงไม้ประดับที่ทำได้แค่แบกสมุนไพร ศิษย์ที่นาง้าคือ เยว่หัวที่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้
สายตาของหลิ่วเซิงคล้ายมีคล้ายไม่มีละลงบนร่างของเยว่หัว ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏแววชื่นชมแฝงอยู่หลายส่วน แม้แม่หนูน้อยคนนี้จะหวาดกลัวอยู่ แต่ก็สามารถจัดการกับอารมณ์ตนได้อย่างรวดเร็ว ไม่อาจไม่พูดได้ว่า สายตาในการเฟ้นหาลูกศิษย์ของอวิ๋นซีนั้นเฉียบแหลม หากรู้เช่นนี้เสียั้แ่ตอนอยู่ในหานโจว เขาคงจะลักตัวแม่นางน้อยคนนี้ไป ให้นางมาเป็ลูกศิษย์ตน
ยิ่งพวกเขาเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งพบคนมากขึ้น บนร่างของผู้คนเหล่านี้ล้วนมีสีดำเช่นเดียวกัน ยามที่พวกเขาเห็นกลุ่มอวิ๋นซีเดินผ่านมา ในดวงตาก็มีแววตกตะลึงวาบผ่าน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็โศกเศร้าเห็นใจ
ในใจของพวกเขา กลุ่มอวิ๋นซีก็คงเหมือนกับพวกเขาที่ถูกส่งมาที่นี่ เพราะติดโรคระบาด
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เสินหนง(神农)เป็เทพที่มีตำนานสับสนมากองค์หนึ่ง เป็ผู้ทดลองชิมพืชชนิดต่างๆ ทำให้มนุษย์รู้ว่า พืชชนิดใดกินได้ ชนิดใดมีพิษ กินไม่ได้ และสอนมนุษย์ให้รู้จักเพาะปลูกพืช ทั้งยังสอนมนุษย์ให้รู้จักใช้พืชรักษาโรคต่างๆ ด้วย เทพองค์นี้นับว่าเป็เทพที่มีความสำคัญมากๆ สำหรับวิถีชีวิตของมนุษย์โบราณ