สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์เมื่อได้รับกระดูกวิถียุทธ์แล้ว คนคนนั้นก็จะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป
ไฟปีศาจกระดูกหยินนั้นน่ากลัวสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับหลัวเลี่ยที่มีกระดูกวิถียุทธ์นั้น ไฟนี้จะทำร้ายเขาได้อย่างไร
ที่เขานอนอยู่ในกองไฟก็เพื่อบ่มเพาะพลัง
และการบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่องนี้ ก็เป็อีกทางหนึ่งที่ดับไฟปีศาจกระดูกหยินได้เช่นกัน เพราะเปลวไฟเ่าั้ค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาภายในร่างกายของหลัวเลี่ย ทำให้เปลวเพลิงค่อยๆ อ่อนกำลังลง หลังผ่านไปประมาณเจ็ดถึงแปดนาทีเปลวเพลิงนั้นก็ดับลง
พลังภายในของหลัวเลี่ยปั่นป่วนเล็กน้อย จากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ปลดปล่อยลูกไฟปีศาจกระดูกหยินออกมาทีละลูก
เขาคว้าลูกไฟไว้อย่างรวดเร็ว
แปะ แปะ แปะ...
ลูกไฟลูกเล็กทั้งหมดถูกบดขยี้และสลายไปจนหมด
หลัวเลี่ยตบมือ และหันหน้าไปพูดกับเลี่ยหงหยุนว่า “ขอบคุณมากนะที่ทำให้ข้าสามารถผสานพลังระดับผู้ฝึกตนระดับที่เก้าให้เพิ่มขึ้นได้”
ในคอของเลี่ยหงหยุนมีรสหวาน จากนั้นนางก็กระอักเืออกมา
เลี่ยหงหยุนโกรธจนสลบไป
“ตาเ้าแล้ว”
หลัวเลี่ยมองไปที่ยุวราชันจากแคว้นเฉียนซาน ซึ่งเป็เยาวชนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เขาสวมเสื้อคลุมปกปิดมิดชิดและซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ั้แ่ต้นจนจบ เขามีท่าทีใจเย็นมาก
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะแสดงกระดูกวิถียุทธ์แล้ว แต่เขาก็ไม่มีความสะทกสะท้านใดๆ
ในที่สุดยุวราชันแห่งแคว้นเฉียนซานก็ปล่อยเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมา จากนั้นเสื้อคลุมสีดำบนร่างกายของเขาก็ค่อยๆ แยกออกจากกัน มันฉีกขาดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยและปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
เขาแต่งกายด้วยชุดสีแดงสะดุดตา ใบหน้าคมคาย ผมสีชาด และมีตาที่สามอยู่ระหว่างคิ้ว มองแวบแรกนึกว่าเขาเป็เด็กผู้ชาย แต่เมื่อมองชัดๆ จะเห็นได้ว่าเขาเป็ชายวัยกลางคน
ทันทีที่ยุวราชันแห่งแคว้นเฉียนซานปรากฏตัว ผู้ชมก็แตกตื่นทันที
ยกเว้นผู้ที่มาจากกองกำลังที่ทรงพลัง แม้แต่าาแห่งแคว้นจินหลานก็ยังใ พวกเขา้าล่าถอยและวิ่งหนีโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ทหารที่ปกป้องอยู่รอบๆ สนามการประลองก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งหนี
มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
“หลี่ว์เยวี่ย! เขาคือหลี่ว์เยวี่ย!”
“นักเวทหลี่ว์เยวี่ย คนที่อายุเพียงเจ็ดขวบก็เริ่มเรียนวิชาสาปโรคาได้แล้วน่ะหรือ”
“นักเวทหลี่ว์เยวี่ย คนที่ลงมือสาปคนทั้งแคว้นด้วยวิชาสาปโรคา ทำให้คนทั้งเมืองติดโรคร้ายและตายกันเป็หมื่นคนในตอนที่เขาอายุเพียงสิบขวบนั่นน่ะหรือ ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว”
“ทำไมถึงเป็เขาได้ เขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
“ที่ผ่านมาเมื่อเขาใช้วิชาสาปโรคา ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้เลย”
ความกลัวกำลังแพร่กระจาย
ทุกคนมองไปที่หลี่ว์เยวี่ยด้วยความหวาดกลัว
ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของไป๋หลี่ชาง นี่คือยุวราชันที่เขาส่งตัวมาในการประลองครั้งนี้ คนคนนี้เป็ตัวแทนของหอการค้าฟ้านเทียนในการฆ่าหลัวเลี่ย
“เ้าพาหลี่ว์เยวี่ยมาได้จริง” สีหน้าท่าทางของหลิวจื่ออั๋งก็จริงจังเช่นกัน
ไม่มีใครไม่กลัววิชาสาปโรคา เพราะวิชานี้มีความร้ายแรงเกินไป
ไป๋หลี่ชางกล่าวเสียงเย็นเยียบ “หากหอการค้าฟ้านเทียน้าสังหารหลัวเลี่ย เขาก็ต้องตาย ไม่ว่าตอนนั้นเขาจะอยู่ที่ใดเขาก็ต้องตายที่นั่น”
คนจากวัดเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และเผ่าัต่างก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อหลี่ว์เยวี่ยปรากฏตัว
หลี่ว์เยวี่ยเป็คนที่มีชื่อเสียง เมื่อตอนที่เขาอายุสิบขวบ เขาได้ทำให้เกิดโรคระบาดไปทั่ว ั้แ่นั้นมาผู้คนจึงเรียกเขาว่า เทพเ้าแห่งโรคระบาด และไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาอีก
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้สนใจเยาวชนพวกนี้อยู่แล้ว” ประโยคที่หลี่ว์เยวี่ยพูดออกมาแสดงถึงความเย่อหยิ่งของเขาอย่างชัดเจน “ไม่มีใครสามารถต้านทานวิชาสาปโรคาของข้าได้ แม้แต่เ้าที่มีกระดูกวิถียุทธ์ก็ไม่สามารถต้านทานได้เช่นกัน”
หลัวเลี่ยมองไปที่ดวงตาทั้งสามของหลี่ว์เยวี่ย และท่าทางของเขาที่มือข้างหนึ่งถือดาบ มืออีกข้างถือพู่กันเวท หลัวเลี่ยยอมรับว่าเขาเป็ศัตรูที่แข็งแกร่ง
มันเป็เื่ยากที่จะฝึกฝนทั้งด้านวรยุทธ์และด้านนักเวทไปพร้อมๆ กัน และยิ่งยากที่จะบรรลุทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะฝึกฝนมุ่งเน้นเพียงด้านเดียว และใช้อีกด้านหนึ่งเป็ตัวช่วยเสริม
แต่หลี่ว์เยวี่ยแตกต่างออกไป นอกจากเขาจะโดดเด่นในด้านวรยุทธ์ ซึ่งตอนนี้ก็มีพลังอยู่ในระดับที่เก้าของผู้ฝึกตนแล้ว เขายังเป็นักเวทผู้เก่งกาจที่ฆ่าคนนับหมื่นั้แ่อายุสิบขวบ
“วิชาสาปโรคานั้นทรงพลังจริงหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ข้ารับประกันได้ว่า ข้าสามารถฆ่าเ้าได้โดยที่เ้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะใช้วิชานี้” หลัวเลี่ยพูดอย่างเฉยเมย
“เ้ามันบ้า!”
ขณะที่หลี่ว์เยวี่ยหัวเราะออกมาเสียงดังนั้น จู่ๆ ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป
มีร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากด้านซ้ายของเขา และอีกร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากด้านขวาของเขา กลายเป็ว่าตอนนี้มีหลี่ว์เยวี่ยสามคน
“วิชาสามหัวหกแขน!”
หลิวจื่ออั๋งอุทานออกมาด้วยความใ
คนจากวัดเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ เผ่าั และคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง
มีเพียงไป๋หลี่ชางเท่านั้นที่หัวเราะอย่างมีความสุข
หลี่ว์เยวี่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ตอนอายุได้เจ็ดขวบ ข้าฝึกฝนวิชาสาปโรคา และพออายุได้สิบขวบ ข้าก็เดินทางไปที่เขาเชิงิ ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะเก้าั เพื่อไปกราบขอฝากตัวเป็ศิษย์ของอาจารย์ที่เก่งกาจ จากนั้นข้าก็ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่การฝึกฝนนี้ไม่เพียงทำให้พลังวรยุทธ์ก้าวหน้า ทว่าข้ายังได้ฝึกฝนวิชาสามคนหกแขนนี้มาด้วย...หลัวเลี่ย เมื่อเ้าได้เห็นเช่นนี้แล้ว เ้ายังคิดว่าจะยับยั้งข้าไม่ให้ใช้วิชาสาปโรคาได้จริงๆ หรือ”
ทั้งสามร่างพูดพร้อมกัน และพวกเขาทั้งหมดล้วนมีท่าทางเย่อหยิ่ง
ในร่างของวิชาสามคนหกแขนนี้ ร่างหนึ่งสองมือถือดาบยาว อีกร่างหนึ่งสองมือถือพู่กันเวท และร่างสุดท้ายสองมือถือคันธนูและลูกธนู
การจัดอาวุธมีทั้งรูปแบบที่รองรับการต่อสู้ระยะไกล และการต่อสู้ระยะประชิด เพื่อให้หลี่ว์เยวี่ยสามารถหาโอกาสในการร่ายวิชาสาปโรคาได้
เขาทำทุกอย่างเพื่อจะร่ายวิชาสาปโรคา
หลิวจื่ออั๋งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ผู้าุโทั้งสามท่าน ตอนนี้หลัวเลี่ยมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตน มีกระดูกวิถียุทธ์ ทั้งยังสามารถใช้เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินได้ พวกท่านไม่ตื่นเต้นหรือ? ข้าคิดว่าในบรรดาลูกศิษย์ของพวกท่านที่ฝึกฝนวรยุทธ์ด้วยตนเอง คงไม่มีใครมีพลังได้ถึงระดับนี้ หากหลัวเลี่ยได้เป็คนของพวกท่านแล้ว ต่อไปในอนาคตเขาจะต้องเป็ผู้สืบทอดที่ดีได้แน่”
คนที่มองหลัวเลี่ยอยู่ก็เริ่มหาทางช่วยชีวิตเขาแล้ว
ตำหนักเซียหยาง แคว้นเฉียนเฮ่อ และเผ่าัต่างรู้สึกสนใจในคำพูดนี้
ผู้มีฝีมือที่มาจากเผ่าักล่าวว่า “นี่...”
แต่ไป๋หลี่ชางกลับเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “ข้าขอให้ทุกท่านโปรดคิดให้รอบคอบ ตอนนี้หลัวเลี่ยมีหนี้แค้นกับหอการค้าฟ้านเทียนอยู่ หอการค้าฟ้านเทียนของเรา้ากำจัดเขา หากมีหลัวเลี่ยก็ต้องไม่มีพวกเรา ขอทุกท่านอย่าได้เห็นว่าเขาเป็อัจฉริยะแล้วลืมเื่ราวต่างๆ ไปได้”
ผู้มากฝีมือจากเผ่าัขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดตราราชันข่งเชวี่ยก็สร้างผลกระทบให้กับหอการค้าฟ้านเทียนมากเกินไป
ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะสนใจในตัวหลัวเลี่ย แต่พวกเขาก็ไม่อยากมีปัญหากับหอการค้าฟ้านเทียน เพราะหอการค้าฟ้านเทียนเป็กองกำลังขนาดใหญ่ หากเลือกที่จะมีปัญหาด้วย แน่นอนว่าย่อมเป็การได้ไม่คุ้มเสีย
“ผู้าุโทั้งสาม!” หลิวจื่ออั๋งเอ่ย
ไป๋หลี่ชางยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “หลิวจื่ออั๋ง เ้าอย่าเสียแรงเปล่าอีกเลย ถึงอย่างไรหลัวเลี่ยก็ต้องตาย!”
เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีแข็งแกร่งของไป๋หลี่ชางที่เป็ตัวแทนของหอการค้าฟ้านเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็ลังเลที่จะแสดงความคิดเห็น หลิวจื่ออั๋งเพียงคนเดียวจึงไม่อาจโน้มน้าวได้
ขณะเดียวกันนั้นหลี่ว์เยวี่ยก็พูดออกมาว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าคนมานานมากแล้ว คิดถึงรสชาติของเือุ่นๆ เสียจริง หลัวเลี่ย จงใช้เืของเ้าปลุกจิตสังหารของข้าหน่อยเถอะ ข้าจะให้ความตายของเ้าสำแดงว่าข้าหลี่ว์เยวี่ยได้กลับมาแล้ว”
“ข้าจะเริ่มต้นจากแคว้นจินหลานนี้ เดินไปให้ถึงจุดสูงสุด และใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขวางทางของข้าได้”
“ทุกคนจะเป็เพียงก้อนกรวดบนเส้นทางของข้าเท่านั้น”
“และหลัวเลี่ย เ้าก็คือก้อนกรวดก้อนแรกบนเส้นทางของข้า นี่ถือเป็เกียรติของเ้าแล้ว”
หลัวเลี่ยรับฟังคำพูดของหลี่ว์เยวี่ยด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เ้ารู้ไหมว่าข้าคิดอะไรอยู่”
หลี่ว์เยวี่ยยิ้มและพูดว่า “เ้ากำลังคิดว่าจะขอให้ข้าไว้ชีวิตเ้าอย่างไรดี?”
“ไม่” หลัวเลี่ยกล่าวว่า “ข้ากำลังคิดว่า เ้าควรตายได้แล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ลงมือทันที
เคล็ดวิชาไม้ตายของเขา วิชามหาหลุนิ!
เมื่อเขาใช้ทักษะการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ แม้ว่าเขาอาจไม่มีพลังถึงขั้นจะทำลายโลก หรือบังคับเคลื่อนย้ายดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ แต่เขาก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยการฟาดฝ่ามือจำลองเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้พื้นที่ในรัศมีมากกว่าสามจั้งแตกเป็เสี่ยงๆ แม้แต่สนามประลองทรงกลมที่แข็งแกร่งก็แตกเป็เสี่ยงๆ เช่นกัน ฝ่ามือจำลองขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งจั้งนี้สามารถทุบทุกอย่างให้พังราบเป็หน้ากลอง
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ธนู ดาบ ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ หรือวิชาสาปโรคาของหลี่ว์เยวี่ย ต่างก็ถูกฝ่ามือนี้ตบจนแตกสลายไป
ผู้ชมทั่วไป หลิวจื่ออั๋ง และผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูงที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองไปที่หลัวเลี่ยที่ยืนอยู่ในซากปรักหักพังด้วยความงุนงง
ในทางกลับกัน หลัวเลี่ยมองไปที่ไป๋หลี่ชาง และพูดออกมาสองประโยค
“เ้าช่วยเตรียมสิ่งที่ร้ายกาจกว่านี้มาได้ไหม?”
“เ้าหลี่ว์เยวี่ยนั่นอ่อนแอเกินไปแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้