ชายารัชทายาทเท้าแพลง ไม่สามารถเข้าวังไปถวายพระพรได้
ในตำหนักคุนหนิง
ขณะที่ไทเฮากำลังจิบชา ก็ได้ยินเสียงขันทีน้อยร้องป่าว "ฝ่าาเสด็จ"
รอยแย้มพระสรวลประดับบนมุมปากของไทเฮา "ฮ่องเต้มาได้จังหวะพอดี แม่เพิ่งสั่งให้คนไปชงชาอวิ๋นอู้ [1] เ้าก็มาถึงแล้ว" ในวังั้แ่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่างไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าฝ่าาทรงโปรดชาชนิดนี้อยู่เพียงอย่างเดียว
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลน้อยๆ "เช่นนั้นก็เป็โชคดีของลูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
สองแม่ลูกนั่งอยู่ด้วยกัน ไทเฮาตรัสว่า "อย่ากรำงานจนเหนื่อยเกินไปนัก ่นี้ไม่ค่อยได้เห็นเ้า แม่ก็อดที่จะปวดใจไม่ได้ คนเป็แม่ล้วนแต่ปรารถนาให้บุตรมีสุขภาพแข็งแรง ไม่วอนขออย่างอื่น"
"เสด็จแม่โปรดวางพระทัย ลูกทราบพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้เว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนตรัสถาม "่นี้สุขภาพของจ้านเอ๋อร์เป็อย่างไรบ้าง"
"เขายอมพูดเสียที่ไหนล่ะ เ้าก็รู้ คนที่พวกเราจัดไปไว้ข้างกายเขาล้วนถูกเปลี่ยนออกมาเสียเจ็ดแปดส่วน"
แต่ถึงกระนั้น ไทเฮาก็ยังคงตรัสต่อไป "แต่จ้านเอ๋อร์คงรู้หัวอกคนแก่อย่างข้า ถึงยอมให้หมอหลวงไปดูอาการเขาบ้างเป็ครั้งคราว นับว่าทำให้ข้าสบายใจขึ้น เพียงแต่ศิษย์พี่หญิงที่ชื่อหลี่เฉิงซูที่ดูท่าทางแปลกพิกลข้างกายเขาผู้นั้นไม่รู้ว่าใช้ลูกไม้อันใด ตอนแรกพวกเราต่างรู้กันอยู่ว่าฉีอิ่งซินตั้งครรภ์ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หมอหลวงกลับตรวจไม่พบ แม่กลัวว่าจ้านเอ๋อร์อาจจะปกปิดสภาพร่างกายของเขาเอง เพื่อให้แม่สบายใจ"
ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะเบาๆ หลังจากนั้นก็ตรัส "เสด็จแม่วางพระทัยเถิด เรากลับรู้สึกว่า ถึงแม้จ้านเอ๋อร์จะไม่ให้พวกเรารู้อะไรมากนัก แต่คงจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ เขาชอบคุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวมากถึงเพียงนั้น คงไม่ปล่อยให้นางเป็ม่ายหรอกพ่ะย่ะค่ะ"
เอ่ยถึงซูเฉียวเยว่ มุมพระโอษฐ์ของไทเฮาก็กระตุกเล็กน้อย "แม่หนูน้อยคนนี้ไม่รู้ว่ามีวาสนาอันใด จ้านเอ๋อร์ถึงปกป้องนางั้แ่ยังเล็ก แต่แม่เห็นเขาดีต่อแม่หนูคนนั้นก็ไม่รู้สึกแปลกใจ จ้านเอ๋อร์ใช้ชีวิตอย่างมืดมนมานานเกินไปแล้ว แต่แม่หนูน้อยคนนั้นราวกับพระอาทิตย์เจิดจรัส เขายอมเข้าใกล้ก็ไม่แปลกสักนิด"
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะยาว "ก็ต้องเจิดจรัสสิพ่ะย่ะค่ะ หาไม่แล้วชายารัชทายาทที่ไม่เจิดจรัสจะเท้าแพลงได้อย่างไร"
ไทเฮาก็ทราบเื่นี้ ยังทรงพระสรวลอย่างอดไม่ได้ "ข้ามานึกดูแล้ว ก็รู้สึกว่ายิ่งน่าขัน"
"แต่เราไปเยี่ยมชายารัชทายาทมาแล้ว นางดูสดใสเบิกบานขึ้น เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่นับว่าเป็เื่น่ายินดีหรือไม่ เพราะหมอหลวงมาตรวจแล้วบอกว่าต้องพักสิบวันถึงครึ่งเดือน"
ไทเฮาพยักพระเศียร "พักผ่อนบ้างอาจจะดีก็ได้"
...
"ฮัดชิ่ว ฮะ...ฮะ... ฮัดชิ่ว"
เฉียวเยว่ขยี้จมูกน้อยๆ ของตนเอง แล้วเอ่ย "ข้ารู้สึกว่าอาจมีคนกำลังนินทาข้าอยู่ลับหลัง"
เฉียวเยว่ค่อนข้างมั่นใจ นางขยี้จมูกอีก "มิเช่นนั้นข้าจะจามได้อย่างไร อ้อ ข้ารู้แล้ว อาจมีคนกำลังด่าข้าลับหลัง"
ฉีอันมองนางั้แ่หัวจรดเท้า แล้วพูดขึ้น "คงมิใช่ว่าเ้าไปก่อเื่อะไรไม่ดีเอาไว้ ถึงสงสัยเช่นนี้กระมัง?"
ฉีอันยังคงมองเฉียวเยว่อย่างพิจารณา แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ "ไฉนข้ารู้สึกว่าเ้ามีพิรุธ"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ อย่างผู้บริสุทธิ์ "จะเป็ไปได้อย่างไร"
ฉีอันหัวเราะหึๆ "พวกเราเป็ฝาแฝดท้องเดียวกัน กระแสจิตย่อมจะเชื่อมถึงกันอยู่บ้าง"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า เอ่ยอย่างหนักแน่น "ไม่มีสักหน่อย"
ฉีอันหัวเราะเย้ยหยันอีกครา "ข้าเชื่อเ้าก็โง่แล้ว อย่าว่าแต่อย่างอื่น เื่ที่พี่สาวเท้าแพลง เป็การสมรู้ร่วมคิดของพวกเ้าใช่หรือไม่? แค่พวกเ้าบิดก้นทีเดียว ข้าก็รู้แล้วว่าจะเบ่งอะไรออกมา"
เฉียวเยว่พุ่งเข้าไปทุบเขาอย่างแรง
"ขืนยังพูดจาหยาบคาบเช่นนี้อีก ข้าจะสั่งสอนเ้าเองว่าการเป็คนต้องทำอย่างไร" เฉียวเยว่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดราวกับเสือน้อย
แต่ในใจนางก็รู้ดีว่าฉีอันพูดถูก แม้พวกนางจะไม่ได้เอ่ยตกลงกันสักประโยค ทว่าต่างเข้าใจกันโดยปริยาย พี่สาวของนางเท้าาเ็ย่อมไม่สามารถไปไหนได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าวัง... หรือไปไหว้พระที่วัด
ฉีอันมองเฉียวเยว่อย่างคลางแคลงสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างเป็ปรกติ "เ้าน่ะ ทีหลังหัดพูดดีๆ เสียบ้าง ทำตัวหยาบกระด้างเช่นนี้ ไม่มีแม่นางคนไหนมาชอบหรอก ถึงเวลาแต่งภรรยาไม่ได้ อย่ามาให้ข้าช่วยแล้วกัน"
"อย่างพี่สาวไม่เห็นจะน่าสนใจสักนิด แต่ใครจะคิดว่าท่านฉลาด หาสามีได้ั้แ่ยังเด็ก มิเช่นนั้นด้วยอุปนิสัยเยี่ยงท่าน ป่านนี้คงจะแต่งไม่ออกไปแล้ว เพราะทุกคนต่างรู้ธาตุแท้ของท่านกันหมด"
เฉียวเยว่ฉวยไม้กวาดวิ่งไล่ตี ฉีอันวิ่งหลบออกไปข้างนอก เฉียวเยว่งุ่มง่ามตามไม่ทัน
แท้จริงแล้วกิจวัตรของสองพี่น้องคู่นี้คือการไล่ตีกัน
ไท่ไท่สามเดินมาพอดี เห็นทั้งสองกำลังเล่นกันเสียงดังโครมคราม ก็เอ็ดเสียงเข้ม "ซูเฉียวเยว่ เดี๋ยวนี้เ้านับวันยิ่งไม่รู้ความ"
นางดึงไม้กวาดมาจากมือของเฉียวเยว่โดยตรง "เป็สาวเป็นางดีๆ ทำตัวเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน?"
ไท่ไท่สามรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า นางดันตัวบุตรสาวเข้าไปในห้อง "พูดได้ทั้งวันว่าตนเองโตเป็สาวแล้ว แต่ดูเ้าสิ นี่คือสิ่งที่หญิงสาวควรทำหรือ? ข้าจะว่าเ้าอย่างไรดี เ้าอายุสิบสามแล้ว ยังถือไม้ไล่ตีน้องชาย น้องเ้าเป็บุรุษพูดออกไปยังไม่น่าฟัง นับประสาอันใดกับเ้า?"
เฉียวเยว่ฟังไท่ไท่สามก็ยกมือนวดใบหูของตนเอง "ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ ก็แค่เล่นกับเขาหน่อยเดียวเอง"
"พวกเ้าเล่นอะไรไม่เล่น มาเล่นอย่างนี้นี่นะ" ไท่ไท่สามบ่น "คราวหน้าหากไม่เชื่อฟังข้าเยี่ยงนี้อีก ข้าจะลงโทษเ้า"
เฉียวเยว่ยกมือทันควัน มือเล็กจ้อยชูสูงๆ "เ้าค่ะ เ้าค่ะ เ้าค่ะ ล้วนฟังท่านแม่ ต่อไปข้าจะกลับเนื้อกลับตัวเป็คนใหม่เ้าค่ะ"
พูดจบก็กะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มประจบสอพลอ ในที่สุดไท่ไท่สามก็หัวเราะออกมา "เ้านี่นะ"
พอเห็นมารดามีท่าทีอ่อนลงแล้ว เฉียวเยว่ก็เข้าไปคล้องแขนแล้วเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่ พักนี้ท่านดูหงุดหงิดนะเ้าคะ อย่าอารมณ์เสียได้หรือไม่ ฮิๆ"
ไท่ไท่สามถลึงตาใส่นาง หลังจากนั้นก็กดบนจมูกน้อยๆ แล้วเอ่ย "เ้านี่นะ ให้บันไดแก่เ้า เ้าก็เหยียบจมูกขึ้นมาบนหน้าข้าเลย"
หลังจากนั้นก็ถามว่า "วันมะรืนสำนักศึกษาจะพาไปเข้าค่ายที่ชานเมืองใช่หรือไม่ เ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้วล่ะ?"
เฉียวเยว่แบมือทั้งสอง "ไปแค่สามวันเอง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากมายหรอกเ้าค่ะ"
"ไยจะไม่ต้องเตรียมให้ดี เ้าพูดเองว่าสามวัน" ไท่ไท่สามแย้ง
"ออกไปข้างนอกต้องระวังความปลอดภัยด้วยเล่า"
เฉียวเยว่รับคำเสียงเบา
แท้จริงแล้วต้นฤดูร้อนของทุกปีทางสำนักศึกษาสตรีจะจัดพาลูกศิษย์ออกไปย่ำขจีและวาดภาพ แต่ใช่ว่าศิษย์หญิงจะได้ไปทุกระดับชั้น มีแต่ชั้นปีสามขึ้นไปเท่านั้นถึงจะได้ออกไป
อย่างปีนี้ก็มาถึงคราของพวกเฉียวเยว่ นี่เป็่เปลี่ยนฤดูใบไม้ผลิไปฤดูร้อนหนที่สามของพวกนางั้แ่เข้ามาในสำนักศึกษาสตรี
"ข้าตกลงกับโม่หลันไว้แล้ว พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่มีปัญหาแน่นอนเ้าค่ะ" เฉียวเยว่เอ่ยปาก
ออกจากบ้านไปย่ำขจีครานี้ไม่อนุญาตให้พาบ่าวหรือข้ารับใช้ไปด้วย แต่คิดดูแล้วก็จริง หากคนเยอะเกินไป ย่อมจะเกิดความล่าช้า แต่คุณหนูในห้องหอเหล่านี้ไหนเลยจะทำกับข้าวเป็ เฉียวเยว่คิดแล้วก็รู้สึกพะว้าพะวงทำอะไรไม่ถูก
"ข้าเตรียมขนมไปบางส่วน หากกินข้าวไม่ลงจริงๆ ยังสามารถเอามายาไส้ชั่วคราวได้"
ไท่ไท่สามกลอกตาใส่บุตรสาว "อากาศเยี่ยงนี้ แม้ว่าจะไม่ร้อนจัด แต่ถึงจะเอาอะไรติดตัวไปสามวัน เกรงว่าจะบูดเสียก่อน เ้าแน่ใจหรือว่าได้?"
เฉียวเยว่คอตกทันควัน "เช่นนั้นข้าจะคิดดูอีกที ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องเตรียมไว้ก่อน ข้าเองทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แต่คนอื่นสิไม่แน่"
เฉียวเยว่กลับพูดอย่างมั่นใจ
"เ้าหรือทำเป็? ทำอะไรเป็บ้างล่ะ? เ้านึกว่าแม่ไม่รู้หรือว่าเ้าเป็อย่างไร ชอบขี้คุยขี้โม้ แต่ถ้าจะให้ทำจริงๆ ก็ไม่ได้เื่สักอย่าง"
พวกเขาออกไปท่องเที่ยวกันมาสองปีกว่า บางคราก็ต้องทำอาหารกินกันเอง เฉียวเยว่กระตือรือร้นเป็พิเศษ ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง แต่พอเอาเข้าจริง... ไท่ไท่สามส่ายหน้า
"เ้าอย่าทำของซี้ซั้วส่งเดชเ่าั้เป็อันขาด ตนเองกินเองแล้วท้องเสียไม่เป็ไร แต่ถ้าผู้อื่นกินแล้วท้องเสียไปด้วย เดี๋ยวจะแย่เอาได้"
เฉียวเยว่หน้าง้ำ กระแทกส้นเท้าอย่างปั้นปึ่ง "ท่านแม่ไม่เชื่อใจข้า บุตรสาวของท่านมีความสามารถเพียงใด ท่านไม่รู้เลยหรือ ข้าเป็เทพธิดาน้อยที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบที่สุดนะเ้าคะ"
ไท่ไท่สามกลอกตา "ข้าไปช่วยเ้าดูดีกว่าว่ามีสิ่งใดพอจะเอาไปด้วยได้บ้าง อ้อจริงสิ กลุ่มของเ้ามีใครบ้าง?"
เด็กผู้หญิงสี่คนรวมกันเป็หนึ่งกลุ่ม เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการ และดูแลความปลอดภัยของกันและกัน
เฉียวเยว่กางนิ้วออกมานับ "มีข้า โม่หลัน หรงฉางเกอ แล้วก็ฉินอิ๋งเ้าค่ะ"
ล้วนแต่เป็คนคุ้นเคยกันดีทั้งนั้น
ไท่ไท่สามพยักหน้าเอ่ยว่า "ในกลุ่มสี่คน มีแต่แม่หนูโม่หลันที่นิสัยดีหน่อย เ้าอย่าไปทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขาเชียวล่ะ"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ "ท่านแม่... ข้าไม่ใช่คนเยี่ยงนั้นจริงๆ นะเ้าคะ"
เสียงป่าวประกาศดังลั่น แต่ไม่มีใครเชื่อสักคน
เฉียวเยว่แหงนมองฟ้าเงียบๆ รู้สึกว่าตนเองช่างน่าสงสารเหลือเกิน
พอเห็นไท่ไท่สามกำลังจะออกไป เฉียวเยว่ก็ยกมือลูบคางเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่ไม่ถามสถานการณ์ของพี่สาวหน่อยหรือ?"
ไท่ไท่สามชะงักเท้าหันมามองเฉียวเยว่ แล้วยิ้มเอ่ยว่า "ข้าเชื่อว่าพี่สาวเ้าต้องจัดการได้ดี"
หลังจากนั้นก็จิ้มมาที่หน้าผากของนาง "ที่ข้าไม่วางใจที่สุดก็เ้ากรรมนายเวรตัวน้อยอย่างเ้านี่แหละ"
เฉียวเยว่รู้สึกราวกับว่ามีหิมะตกตอนเดือนหก คำกล่าวนี้พูดออกมาได้อย่างไร เื่มิใช่เยี่ยงนั้นเสียหน่อย
นางยู่ปากน้อยๆ "น่าเบื่อ น่าเบื่อที่สุด"
ไท่ไท่สามหัวเราะไปพร้อมกับนางก่อนเลิกม่านออกประตูไป
วันเวลาผ่านไปเร็วนัก เพียงพริบตาก็มาถึงวันเดินทาง รถม้ามาส่งนางที่สำนักศึกษาแต่เช้า เดิมทีนางนึกว่าของของตนเองเยอะแล้ว แต่พอเห็นผู้อื่น ก็ต้องถอนใจเงียบๆ ที่แท้ทุกคนก็เป็เหมือนกันหมด
"เ้ามาได้เสียที เร็วเข้าๆ พวกเราจะได้ขนของขึ้นรถม้าของเ้า" โม่หลันเอ่ยปาก
สี่คนแบ่งหน้าที่กัน เฉียวเยว่จับสลากได้งานเตรียมรถม้า นึกดูแล้วก็จริง หากทุกคนต่างนั่งรถม้าของตนเอง ก็จะดูเอิกเกริกเกินไป
หรงฉางเกอบ่นพึมพำ "โชคร้ายจริงๆ เลย ไยต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเ้าด้วย"
เฉียวเยว่มองนางแล้วหัวเราะ "ช่างบังเอิญยิ่ง ข้าก็รู้สึกเหมือนกันกับเ้า"
ทั้งสองแค่นเสียงใส่กันราวกับลูกวัว
"เอาน่ะ เอาน่ะ อย่ามัวแต่เบ่งใส่กัน รีบขึ้นรถได้แล้ว" โม่หลันไกล่เกลี่ย
หรงฉางเกอขึ้นมาถึงก็มองซ้ายมองขวา หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ "ธรรมดายิ่ง"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึตอบกลับไป
"มานี่ มานี่ ข้ามีความลับอย่างหนึ่งจะบอกพวกเ้า" โม่หลันเอ่ย
เฉียวเยว่ "อะไรหรือ?"
...
[1] ชาอวิ๋นอู้ คือชาเขียวที่ปลูกในเขตูเาสูง เก็บยอดชามาผัดบนกระทะ ก่อนนำไปนวดและอบแห้ง มีกลิ่นหอมที่เป็เอกลักษณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้