เฉินซานหยวนผู้นี้จะเป็สายลับหรือไม่?
เป็เขาที่สลับเปลี่ยนโสมเล็ก? หรือว่าผู้ที่ลงมือยังมีคนอื่นอีก แล้วเขาไม่รู้เื่ราว?
กูเฟยเยี่ยนไม่สามารถตัดสินใจได้ในชั่วขณะ นางเกิดความลังเล ว่านางควรที่จะทำอย่างไรดี? ควรเปิดเผยในตอนนี้เลยหรือควรเงียบเอาไว้ก่อน?
เฉินซานหยวนรอดูอยู่ กูเฟยเยี่ยนไม่มีเวลาลังเลมากนัก นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วแสร้งทำเป็โง่เขลาไปก่อน!
นางไม่รู้มาโดยตลอดว่าควรที่จะเตือนสติจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยให้ระมัดระวังคนร้ายตัวจริงอย่างไรดี ในตอนนี้มีหลักฐานแล้ว ทุกอย่างล้วนจัดการได้ง่ายขึ้นแล้ว! เฉิงอี้เฟยไม่สามารถเปิดเผยใบสั่งยาแผ่นนั้นได้ และทำได้เพียงตรวจสอบอย่างลับๆ แต่เขาเป็เพียงแม่ทัพ จะลอบตรวจสอบคนในราชสำนักได้อย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ? สำหรับนายก้อนน้ำแข็งเหม็นนั่น เขาไม่ได้ปรากฏตัวมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ์ทราบดีว่าเขายัง้าที่จะตรวจสอบอีกหรือไม่? นางคิดว่าหากเตี้ยนเซี่ยจะตรวจสอบอู๋กงกงนั้น มันเป็เื่ที่ทำได้ง่ายมาก อีกทั้งยังมีวิธีการมากมาย มากกว่านายก้อนน้ำแข็งเหม็นนั่นเสียอีก!
กูเฟยเยี่ยนเจตนาตั้งใจชำเลืองมองแล้วพยักหน้า “อืม โสมเล็ก ไม่ผิด”
เฉินซานหยวนตรวจสอบสมุนไพรชนิดถัดไป กูเฟยเยี่ยนยังคงรักษาความระแวดระวังเอาไว้ นางไม่กล้าที่จะไม่เอาจริงเอาจังในการตรวจสอบสมุนไพรสักวินาที สมุนไพรทั้งหมดหลังจากนี้ล้วนไม่พบสิ่งผิดปกติ
เมื่อตรวจสอบยาเรียบร้อยแล้วกูเฟยเยี่ยนก็ได้นำห่อยาย่าวซ่านออกไปในทันทีแล้วรีบกลับไปที่จิ้งหวางฝู่เพื่อเข้าพบจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย ทางด้านของจวินจิ่วเฉินนั้นพระองค์เพิ่งจะเสด็จมาถึงห้องบรรทมของเทียนอู่ฮ่องเต้ ณ พระราชวังหย่งิ
เทียนอู่ฮ่องเต้ไม่ได้สวมฉลองพระองค์หลงผาว [1] แต่ทรงสวมฉลองพระองค์ซับในสีเหลืองบริสุทธิ์สดใสประทับพิงอยู่บนพระแท่นบรรทม
พระองค์มีพระชนมพรรษาห้าสิบพรรษาต้นๆ จอนทั้งสองข้างล้วนเป็สีขาว ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็เพราะอาการประชวรหรือไม่ พระองค์ดูจะอายุเยอะมากกว่าความเป็จริงเสียอีก ทว่าแม้จะเป็เช่นนี้แต่สายพระเนตรสงบนิ่งคู่นั้นยังคงแผ่กระจายถึงพลานุภาพอันน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนเคารพและยำเกรง
จวินจิ่วเฉินซักถามอาการกับไท่อีอยู่ด้านนอก ก่อนที่จะเสด็จเข้ามาโน้มกายคำนับ “เอ๋อร์เฉินฉิ่งอาน [2] ฟู่หวง”
สายพระเนตรของเทียนอู่ฮ่องเต้ที่ทอดมองไปที่จวินจิ่วเฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน พระองค์ถามด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อร์ เทพเ้าของวัดต้าฉือดูแลอย่างผ่อนปรนมาั้แ่เมื่อไหร่กัน? ถึงได้มอบหมายแพทย์หญิงให้เ้า? ”
สีหน้าท่าทางของจวินจิ่วเฉินอ่อนโยนกว่าปกติมากทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ยิ้มออกมา เขาตอบกลับว่า “นางไปที่จวนของเอ๋อร์เฉินเป็การจัดการที่ดีที่สุดของเทพเ้าแล้ว ก่อนที่เอ๋อร์เฉินจะจับจิ้งจอกที่อยู่เื้ัตนนั้นได้ ตระกูลฉีและตระกูลเฉิงสองตระกูลนี้ไม่สามารถทำากันได้เด็ดขาด”
“ได้ยินมาว่านังหนูคนนี้เพิ่งจะได้รับการเลื่อนขั้นจากบ่าวยามาเป็แพทย์หญิงเมื่อไม่นานมานี้ นางมีความสามารถมากมายเพียงนี้ การที่อยู่ในห้องยาสำนักหมอหลวงมานานหลายปีเกรงว่าจะถูกกลบมิดชิดแล้ว”
เทียนอู่ฮ่องเต้ถอดทอนใจด้วยความหดหู่ ทว่าจวินจิ่วเฉินไม่ได้แสดงความคิดอะไร สำหรับใบสั่งยาปลอมของเฉิงอี้เฟยและจดหลายลับในใบสั่งยาที่ค้นพบจากอู๋กงกง เขาล้วนรายงานเทียนอู่ฮ่องเต้ไปตามความเป็จริง เพียงแต่ว่าไม่ได้เอ่ยถึงรายละเอียดของขั้นตอนทั้งหมด
“สามเดือน? เ้าวางแผนที่จะปล่อยเชือกไว้ยาวแค่ไหน?”
เทียนอู่ฮ่องเต้ทรงถามไปด้วยพร้อมกับตบที่ขอบแท่นบรรทมแสดงเจตนาให้จวินจิ่วเฉินเข้าไปนั่ง หากเปลี่ยนเป็องค์ชายพระองค์อื่นจะต้องวิ่งมาแย่งชิงกันแน่ ทว่าจวินจิ่วเฉินไม่ได้เข้าไป แต่ประทับลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างแทน
กล่าวอย่างเข้มงวดได้ว่า นี่คือการขัดต่อรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามเทียนอู่ฮ่องเต้ทรงชินชาเสียแล้ว สายตาของพระองค์ทอประกายความจำใจ ก่อนที่จะดึงมือกลับไปเก็บที่ผ้าห่มอย่างเบาๆ สำหรับบุตรชายผู้นี้ เขาทั้งตั้งตารอคอยแต่ก็มีความรู้สึกผิด บุตรชายผู้นี้กลับมาหลายปีแล้วมีความสนิทสนมกับเขาและรัชทายาท น่าเสียดายที่ต่อให้สนิทสนมมากเพียงใด แต่ถึงที่สุดแล้วก็ยังมีช่องว่างอยู่ดี
จวินจิ่วเฉินตอบกลับเบาๆ “เป้าหมายต่อไปของคนร้ายตัวจริงมีความเป็ไปได้ที่จะเป็เอ๋อร์เฉิน การคาดการณ์ตอนนี้คือเชือกเส้นนี้จะไม่ยาวนัก”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันทันใดนั้นเทียนอู่ฮ่องเต้ก็ได้ไอออกมา จวินจิ่วเฉินรีบร้อนเข้ามาด้านหน้า ทว่าเทียนอู่ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้ไอครั้งที่สองก็กระอักเืออกมามากมาย ลมหายใจเปลี่ยนมาดังกระชั้นชิด
จวินจิ่วเฉินใเป็อย่างยิ่ง “ไท่อี! ”
ไท่อีรีบเข้ามาถวายยาลูกกลอนแด่เทียนอู่ฮ่องเต้จากนั้นรีบฝังเข็ม จวินจิ่วเฉินยืนดูอยู่ด้านข้าง คิ้วเกิดความเคร่งขรึมและสีหน้ามีความซับซ้อน อาการประชวรของฟู่หวงภายในใจของเขานั้นไม่มีความแน่ใจเลย
ผ่านไปไม่นานลมหายใจของเทียนอู่ฮ่องเต้ก็ได้มั่นคงขึ้น ไท่อีเตือนสติด้วยความขี้ขลาดตาขาว “ฝ่าา พระองค์ควรที่จะพักผ่อนแล้ว”
“ฟู่หวง พระองค์พักผ่อนก่อน เอ๋อร์เฉินค่อยมาน้อมทักทายในวันอื่น”
จวินจิ่วเฉินไม่กล้าที่จะอยู่เป็เวลานาน อาการป่วยของฟู่หวงจริงๆ แล้วรุนแรงมาก เพียงแต่ว่าปกปิดเป็ความลับจากโลกภายนอก เขาไม่แน่ใจว่าฟู่หวงจะสามารถผ่านพ้นปีนี้ไปได้หรือไม่
“เฉินเอ๋อร์ ร่างกายของฟู่หวง ฟู่หวงรู้ดีที่สุด เ้านั่งลง ฟู่หวงมีเื่จะถามเ้า”
ทันทีที่เทียนอู่ฮ่องเต้สะบัดมือ ไท่อีก็ถอยออกไปอย่างรู้ความ บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ก็ล้วนถอยออกไปเช่นกัน จวินจิ่วเฉินตกอยู่ในความเงียบไม่ได้ไปไหน เทียนอู่ฮ่องเต้ได้ตบที่นั่งด้านข้างกายอีกครั้งเพื่อแสดงเจตนาให้จวินจิ่วเฉินมานั่งลง สายตาของจวินจิ่วเฉินเกิดความซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้ลังเลที่จะไปนั่งลง
“เฉินเอ๋อร์ หากว่าฟู่หวงจากไปแล้ว ในตอนนั้นเื่ที่เ้าสัญญากับต้าหวงซู [3] ยังนับอยู่หรือไม่? ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาสายตาของจวินจิ่วเฉินก็แปรเปลี่ยนเป็ซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก เขากดลงบนลูกประคำที่อยู่บริเวณข้อมืออย่างเงียบเชียบ ผ่านไประยะเวลาหนึ่งเขาจึงได้ลุกขึ้นตอบกลับมาเสียงทุ้มว่า “ฟู่หวง ไม่ว่าจะเป็คำสัญญาต่อท่านหรือจะเป็คำสัญญาต่อต้าหวงซู เอ๋อร์เฉินก็จะทำตาม ฟู่หวงวางใจและรักษาอาการเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จวบจนกระทั่งออกมาจากพระราชวังหย่งิ นิ้วมือของจวินจิ่วเฉินก็ยังคงกดอยู่บนลูกประคำกลิ่นหอมจากไม้กฤษณาเส้นนั้นมาโดยตลอด ในระหว่างทางกลับจวน เขาล้วนขมวดคิ้วแน่นราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ในขณะที่จวินจิ่วเฉินกลับมาถึงจวนก็เป็เวลากลางคืนแล้ว เขายังมาไม่ถึงห้องบรรทมก็มองเห็นกูเฟยเยี่ยนมาแต่ไกล กูเฟยเยี่ยนนั่งอยู่บนพื้นต่างระดับด้านหน้าห้องบรรทม แหงนใบหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าในยามราตรี ทั้งเหมือนกำลังดูดวงดาวและเหมือนกำลังรอใครสักคน
จวินจิ่วเฉินหยุดเดินอย่างฉับพลันแล้วชายตามองท้องฟ้า เขาพบว่าในค่ำคืนนี้ไม่มีดวงจันทร์ ทั่วทั้งท้องฟ้าล้วนเต็มไปด้วยดวงดาว เขาไม่ได้ก้าวเข้าไปแต่ยืนอยู่ที่มุมกำแพงมองกูเฟยเยี่ยนอย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ก็มีเสียงของเซี่ยเสี่ยวหม่านดังขึ้นมาจากด้านข้าง “เตี้ยนเซี่ย พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว! ”
กูเฟยเยี่ยนดีใจเป็อย่างยิ่ง จึงได้รีบลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ทว่ากลับไม่เห็นคนเลย “เตี้ยนเซี่ยเสด็จกลับมาแล้วหรือ? อยู่ที่ไหนล่ะ? ”
เซี่ยเสี่ยวหม่านเดินมาจากอีกด้านหนึ่งยังไม่ทันได้ส่งเสียงก็ได้รับสายตาดุและเ็าจากจวินจิ่วเฉิน เขาใจนไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมา เหงื่อซึมไปทั้งศีรษะ จวินจิ่วเฉินก้าวเท้าเข้าไป ทันทีที่กูเฟยเยี่ยนพบเขาก็ได้ก้าวพรวดพราดเข้ามาในทันที “เตี้ยนเซี่ย นู๋ปี้มีเื่ต้องรายงาน เื่ใหญ่! ”
จวินจิ่วเฉินเพิ่งจะกลับมาจึงไม่ทราบเื่ว่าในวันนี้ที่นางได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อรับย่าวซ่าน “เื่อะไร? ”
กูเฟยเยี่ยนลดน้ำเสียงลงแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “เตี้ยนเซี่ย ในวันนี้นู๋ปี้ได้เข้าไปรับย่าวซ่านในพระราชวังแล้วพบว่าย่าวซ่านมีพิษ ในเื่นี้มีลับลมคมในเป็อย่างมาก นู๋ปี้ไม่กล้าเอะอะออกไปจึงตัดสินใจโดยพลการ นำย่าวซ่านกลับมาก่อน”
“ย่าวซ่าน? ”
จวินจิ่วเฉินประหลาดใจเจ็ดส่วน สงสัยอีกสามส่วน
เขาทราบดีว่าใน่เวลานี้คนร้ายตัวจริงจะต้องลงมืออย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะลงมือได้รวดเร็วและสะเพร่าเช่นนี้!
การลงมือกับย่าวซ่านนั้นเป็วิธีที่ไม่ฉลาดเฉียบแหลมที่สุด เพราะว่าง่ายดายต่อการถูกตรวจเจอปัญหา ในขณะเดียวกันก็ง่ายต่อการตรวจสอบถึงสายลับที่เกี่ยวข้องอีกด้วย คนร้ายตัวจริงพลาดพลั้งจากเฉิงอี้เฟยไปแล้วจะต้องมีการเตรียมพร้อมป้องกันอย่างแน่นอน ต่อให้เป็สุนัขจนตรอกก็ไม่ถึงกับต้องทำงานสะเพร่าเช่นนี้
เื่นี้มีลับลมคมใน
จวินจิ่วเฉินถามกลับอย่าจริงจัง “ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้น? ”
กูเฟยเยี่ยนรีบร้อนนำห่อยามาเปิดออกแล้วอธิบายเื่ราวโดยละเอียด “เตี้ยนเซี่ย โสมเล็กแม้ว่าจะล้ำค่า แต่ก็นับได้ว่าพบเจอได้ง่าย ทว่าลิ่วตันซางลู่ไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ง่าย สามสิบปีก็อาจจะไม่ได้พบสักหนึ่งต้น! ต่อให้ห้องยาสำนักหมอหลวงเกิดความผิดพลาดในการจัดซื้อสมุนไพร แต่ก็ไม่ถึงกับจะต้องมีลิ่วตันซางลู่สามต้นอยู่ในใบสั่งยาของเตี้ยนเซี่ย เห็นได้ชัดว่ามีคนเจตนาให้เป็เช่นนี้ เจตนาวางแผนประทุษร้ายเตี้ยนเซี่ย! ”
—————————
เชิงอรรถ
[1] หลงผาว หมายถึง ชุดลายั
[2] ฉิ่งอาน หมายถึง น้อมทักทาย
[3] ต้าหวงซู หมายถึง พี่ชายของฮ่องเต้ ลุงของโอรสฮ่องเต้