ตลอดทาง เพราะว่าเดินทางกันไม่ค่อยเร่งรีบมากนัก เดินทางไปช้าๆ มาตลอดหนึ่งเดือนกว่า รอจนกระทั่งลมฤดูใบไม้ผลิพัดแรง ถึงได้เห็นประตูเมืองหลวง
เมืองหลวงของต้าเหลียงอยู่ที่เยี่ยนจิง เป็สถานที่แบ่งฤดูกาลเป็สี่ฤดูชัดเจน เยี่ยนจิงเป็ที่ที่เพิ่งจะย้ายกันมา เดิมทีอยู่ที่จินหลิง เพราะว่าพื้นที่ขนาดใหญ่ทางเหนือถูกแคว้นเวนคืน เหลียงไท่จงฮ่องเต้คนที่สองของต้าเหลียงจึงย้ายเมืองหลวงของแคว้นมาที่เยี่ยนจิง
เยี่ยนจิงสามารถพูดได้ว่าเป็เมืองใหม่ หลังเหลียงไท่จงตัดสินใจย้ายมาที่เยี่ยนจิง ก็ส่งคนมาวางผังเมืองเยี่ยนจิงตามภูมิศาสตร์ที่ดินที่มี เขตราชวัง เมืองชั้นใน เมืองชั้นนอก เขตที่พักอาศัย แม้แต่ทางน้ำก็วางแผนเอาไว้
ถึงแม้โลกนี้ หลังจากราชวงศ์ถังก็แตกต่างจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่สำหรับเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ ใน่แรกเริ่มสุดชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วโลกของเมืองก็ดึงดูดคนมาก
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองสวมชุดสีแดงแบบเดียวกัน ที่เอวห้วยกระบี่เอาไว้ จะเข้าเมืองจำเป็จะต้องตรวจสอบเอกสารยืนยัน คนหนึ่งพกมาเรียกว่าหนังสือเดินทาง เหมือนอย่างพวกจางจ้าวฉือที่มีคนมากมายขนาดนี้ ก็ต้องไปที่สำนักงานเขตเพื่อขอหนังสือยืนยันเพื่อแสดงว่าเป็หน่วยงานอะไร มีกี่คน เข้าเมื่อไปทำอะไร ถ้าหากจำเป็ต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลายวัน เช่นนั้นจะต้องลงทะเบียนที่นายทวารเมือง
จวนโหวได้ส่งคนมารอที่ที่พักห่างจากนี้ออกไปสิบลี้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือพ่อบ้านของจวนโหว ซึ่งพ่อบ้านของจวนโหวนั้นเป็คนที่เกิดในจวนโหว ใช้สกุลสวี่ เป็ลูกชายของพ่อบ้านจวนโหวคนก่อน ั้แ่เด็กๆ ก็ติดตามโหวเย่ ทำงานมาั้แ่เป็เพื่อนเรียนหนังสือ สิทธิ์ต่างๆ ในจวนโหวจึงมีมากตามไปด้วย จางจ้าวฉือเห็นพ่อบ้านสวี่มารับ จึงพูดกับแม่นมว่า โหวเย่ยิ่งให้ความสำคัญกับครอบครัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
พ่อบ้านสวี่พาคนมาถึงที่ประตูเมือง ไม่รู้ว่าไปพูดอย่างไรกับนายทวาร จึงสามารถเข้าไปได้เลย พ่อบ้านสวี่จึงนำขบวนรถม้าสิบกว่าคันเดินทางไปยังจวนหย่งหนิงโหว
หลังจากเข้าเมืองมาก็เป็ถนนที่ครึกครื้น คนด้านรถม้าก็พิงหน้าต่างรถ มองความครึกครื้นจากหน้าต่างบานเล็กๆ
แม่นมลู่รีบปิดผ้าม่านลง แล้วพูดเสียงเบา “พวกเ้ากำลังทำอะไรกัน รีบกลับไปนั่งให้ดี ก็แค่ถนนของเมืองหลวงไม่ใช่หรือ รอว่างๆ แล้วพวกเราค่อยออกมาเดินเล่นกัน อย่าทำเช่นนี้ คนอื่นเห็นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
จางจ้าวฉือรีบกอดสวี่ไป่เอาไว้แน่นๆ “จริงด้วย พวกเราฟังคำแม่นม ข้าออกจากเมืองหลวงมาหลายปี จึงไม่ค่อยชินกับบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้”
แม่นมลู่เอ่ย “ทุกคนต่างมีกฎของตนเอง พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเหอซีได้เป็ตัวของตัวเอง แต่ว่ากลับมาเมืองหลวงก็ต้องเคารพกฎของเมืองหลวง เลี่ยงถูกคนอื่นพูดว่าพวกเราไปชนบทมาแล้วไม่รู้จักกฎ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ได้เ้าค่ะ แม่นม ต่อไปพวกเราจะฟังท่านดีหรือไม่?”
แม่นมเอ่ย “ฟังข้าแน่นอนว่าดีอยู่แล้ว ข้ากลัวแต่ว่าถึงเวลานั้นเ้าก็ทำตามนิสัยของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชอบเ้าอีก ช่างเถิดๆ ข้าจะกังวลไปทำไม จะอย่างไรก็มีฮูหยินผู้เฒ่าคอยดันหลังอยู่”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ดูสิ ดูสิ จือเอ๋อร์ แม่นมไม่วางใจพวกเราขนาดนี้ ไม่เชื่อใจกันขนาดนี้แล้ว”
สวี่จือเอ่ย “แม่นมเ้าคะ ท่านวางใจเถิด ข้ารับปากว่าจะฟังคำพูดของท่านอีกครั้ง จะเคารพกฎเ้าค่ะ”
หลังจากรถม้าเดินทางมาได้่หนึ่งแล้วก็เจอถนนเส้นที่ห่างไกลผู้คน
สวี่ไป่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของจางจ้าวฉือ พอดีกับที่มองเห็นภาพทิวทัศน์จากถนนสองข้างทาง
ถนนเส้นนี้ไม่ได้กว้างมาก สองข้างทางล้วนเป็กำแพง มองจากกำแพงเมืองสามารถเห็นต้นไม้เขียวขจีได้นิดหน่อย หรือหลังคากระเบื้องหินของบ้านเรือน ห่างออกไปถึงจะเป็ประตูเรือนด้านข้างขนาดใหญ่ ด้านข้างยังมีรถม้าเข้าออกข้างเรือน ส่วนประตูใหญ่ของจวนหย่งหนิงโหว ก็เป็ประตูใหญ่ที่อยู่บนถนนเส้นนี้แต่ไม่ได้อยู่ด้านในมากนัก
ประตูด้านข้างเปิดออกแล้ว รถม้าของจางจ้าวฉือวิ่งตรงเข้าไปด้านข้าง ไปได้ไม่ไกลก็ถึงซุ้มประตูดอกไม้ หลังจากผ่านประตูซุ้มดอกไม้ก็มีข้ารับใช้วันกลางคนในจวนใช้เกี้ยวพาทุกคนไปยังเรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ส่วนสวี่ตี้นั้นก็มุ่งตรงไปยังห้องตำราที่เรือนหน้าของหย่งหนิงโหวเย่ในทันที
ประตูเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามีคนที่อายุประมาณแม่นมลู่มายืนรออยู่แล้ว พอเห็นจางจ้าวฉืออุ้มสวี่ไป่ลงมาจากเกี้ยว นางก็รีบแย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามาทำความเคารพ “ฮูหยินสาม ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นมารอั้แ่เช้าแล้วเ้าค่ะ ไอ๊หยา นี่คือคุณชายเจ็ดของพวกเราหรือ? หน้าตาดีจริงๆ”
จางจ้าวฉือโค้งตัวรับการทำความเคารพก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “ลำบากแม่นมเสิ่นมารอแล้ว จากไปหลายปี แม่นมดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเลยนะเ้าคะ”
แม่นมเสิ่นเอียงตัวพาจางจ้าวฉือเดินเข้าไปด้านใน “ข้าอายุมากแล้ว จะไม่เปลี่ยนไปได้อย่างไรกันเ้าคะ”
แม่นมลู่ไม่ได้มากับจางจ้าวฉือ นางให้ชิงเหมี่ยวตามจางจ้าวฉือมาที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนนางพาชิงซุยไปจัดการกับหีบสัมภาระ เรือนที่สกุลสวี่เคยอยู่แต่ก่อนถูกทำความสะอาดไปแล้ว อีกทั้งยังย้ายของออกจากเรือนหลังที่ครอบครัวสวี่เคยอาศัยอยู่ออกมา เดิมทีเรือนที่ครอบครัวสวี่อาศัยอยู่นั้นเป็เรือนสามทางเข้า แต่ว่าสองเรือนด้านหลังถูกคนในจวนใช้มาเป็ห้องเก็บของ จางจ้าวฉือพาสวี่ตี้กลับมาครั้งนี้ หนิงซื่อจื่อจัดการย้ายของที่เก็บอยู่ในสองเรือนนั้นออก หลังทำความสะอาดสองเรือนในให้สะอาด โดยบอกทุกคนในจวนว่า ในจวนมีคุณชายเจ็ดมาเพิ่มแล้ว เรือนของคุณชายสามอยู่ไม่เพียงพอ
จางจ้าวฉือพาสวี่จือแล้วก็อุ้มสวี่ไป่เอาไว้ในอ้อมกอด หลังจากเข้าไปด้านในของเรือนฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็เห็นในเรือนมีคนยืนอยู่ ล้วนแต่เป็สาวใช้ในเรือนนี้ จวนหย่งหนิงโหวถึงแม้จะไม่ได้มีอิทธิพลมากในราชสำนักเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่ว่าการควบคุมคนในจวนนั้นยังคงเคร่งครัด เ้านายก็คือเ้านาย ลูกน้องก็คือลูกน้อง จางจ้าวฉือคำนวณดูแล้ว ในจวนก็ถือว่าค่อนข้างจะอะลุ่มอล่วยกับเ้านายมาก แต่กฎเกณฑ์ที่ควรเคร่งนั้นก็ควรจะเคร่ง
แม่นมเสิ่นพาเข้าประตูเรือนไป แล้วผ่านห้องโถงห้องหนึ่งไป ที่อยู่ตรงข้ามกับโถงก็คือกำแพงกั้นประตูทางเข้าสีฝุ่น เดินผ่านกำแพงกั้นไป ก็เป็ห้องหลักที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักอยู่ ตรงขอบประตูสีแดงมีสาวใช้ยืนเรียงกันอยู่ พอเห็นแม่นมเสิ่นพาคนเดินมา สาวใช้สองคนก็รีบแหวกผ้าม่านออก
หลังจากแหวกผ้าม่านออก สวี่ไป่ก็รู้สึกว่าตนเองเพิ่งจะได้รู้จักกับหน้าตาของโลกใบนี้
ด้านหลังผ้าม่านเป็ฉากกั้นสีขาวบานพับทำด้วยไม้จื่อทั่นสลักลวดลายดอกไม้ ขนาดยาวราวสองเมตร ด้านหลังฉากกั้นก็เป็ห้องรับแขกของฮูหยินผู้เฒ่า สวี่ไป่ถูกแม่ของตนเองอุ้มเดินผ่านฉากกั้นไปแล้วก็เห็นหญิงชราผมขาวทั้งหัว รูปร่างดูแล้วใจดี จับมือสาวใช้คนหนึ่งให้ช่วยพยุง แล้วเดินมาตรงฉากกั้น
จางจ้าวฉือเห็นฮูหยินผู้เฒ่าก็คุกเข่าลงไปกับพื้น หลังจากเอ่ยปากเรียกฮูหยินผู้เฒ่าก็สะอื้นออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเข้าไปพยุง “ไอ๊หยา เด็กดี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว รีบลุกขึ้นมา รีบลุกขึ้นมา ให้ข้าดูไป่เกอของพวกเ้าก่อน”
สวี่จือเองก็คุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าตามจางจ้าวฉือ ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นดึงสวี่จือให้ลุกขึ้นจากพื้น “เดินทางกลับมาเหนื่อยๆ อย่าเพิ่งคำนับข้าเลย ข้าขอดูสิว่าพวกเ้าโตขึ้นเท่าไหร่แล้ว แล้วตี้เกอของพวกเราล่ะ? ไม่เห็นตี้เกอเลย?”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “ตี้เกอไปหาโหวเย่ก่อนเ้าค่ะ คาดว่าอีกเดี๋ยวจะตามโหวเย่มาที่นี่ด้วยกัน ฮูหยินผู้เฒ่า พวกเรายังไม่ได้อาบน้ำก็มาหาท่านก่อนเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ยิ้มตาหยีมองสวี่ไป่กับสวี่จือ “รู้ว่าข้ารอพวกเ้ามาตลอด ถือว่าเ้ายังมีจิตใจดี ไอ๊หยา ไป่เกอของพวกเราเหตุใดดูอย่างไรก็ช่างหน้าตาดีเสียจริง”
นี่ถือว่าได้เจอหนึ่งในบอสที่ใหญ่ที่สุดในจวนแล้ว สวี่ไป่อยากจะเกาะขาใหญ่เอาไว้ จึงทำได้แค่ทำตัวน่ารัก แต่น่าเสียดาย ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว กลัวว่าจะอุ้มเด็กได้ไม่ดีแล้วทำเด็กตก จึงทำได้แค่ยืนลูบมือน้อยๆ อยู่ข้างกายจางจ้าวฉือ
เมื่อทราบข่าวว่าครอบครัวจางจ้าวฉือจะกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตั้งตารอคอย อู่ซื่อโหวฮูหยิน หนิงซื่อฮูหยินซื่อจื่อ แล้วก็น้องชายแม่เดียวกันกับโหวเย่นามว่าสวี่ฉี จูซื่อฮูหยินของสวี่ฉี รวมถึงสะใภ้สองคนของจูซื่อ พาลูกสาวอายุประมาณสวี่จือมาด้วย ซึ่งทุกคนล้วนมารอกันอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติกับจางจ้าวฉืออย่างสนิทสนม เหยาซื่อภรรยาของสวี่เฉวียนลูกของหย่งหนิงโหวเย่ก็เข้ามารั้งฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ พวกเรานั่งกันก่อนเถิดเ้าค่ะ ให้พี่สะใภ้สามวางคุณชายเจ็ดของพวกเราลง พักแขนเสียหน่อยถึงจะดี ในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะมาหยอกล้อกันตอนนี้นะเ้าคะ ท่านว่าใช่หรือไม่?”
เหยาซื่อฮูหยินของสวี่เฉวียนผู้นี้ ถึงแม้ชาติตระกูลจะไม่ได้ใหญ่โต แต่บิดาของนางก็เป็จี้จิ่วของสำนักการศึกษา แล้วก็ถือว่าชาติกำเนิดจากครอบครัวนักปราชญ์ เหยาซื่อมีความรู้ ที่สำคัญที่สุดคือนางเป็คนฉลาด สามารถพูดหยอกล้อกับเหล่าผู้าุโได้ กับผู้น้อยกว่าก็เข้ากันได้ดีมาก ภายในจวนนางเป็คนที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร ไม่เหมือนกับหนิงซื่อที่เป็ภรรยาของซื่อจื่อ ที่มักจะทำตัวมีมาดอยู่ตลอด
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็เอ่ย “ไอ๊หยา จริงด้วยสินะ รีบมา มานั่งพักก่อนเถิด”
เหยาซื่อยิ้มแล้วเอ่ย “ดูสิๆ ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราปกติมักจะพูดว่าชอบข้า พอเห็นพี่สะใภ้สาม ในสายตาในใจก็ล้วนเป็พี่สะใภ้สาม ดูเหมือนว่าปกติแล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าชอบข้ามากจะเป็การเอาใจข้าแล้วล่ะเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็หัวเราะแล้วหยิกแก้มเหยาซื่อ ก่อนจะเอ่ย “หากข้าไม่ชอบเ้า ยังจะปล่อยให้เ้าเอาของของข้าไปหรือ? เมื่อคืนวานผู้ใดเห็นขนมกุ้ยฮวาของข้าอร่อย แม้แต่จานก็ยังยกไปด้วย? ข้าจะบอกเ้าให้นะ จานนั่นของข้ามีเป็ชุด แถมเป็สินเดิมตอนข้าอีก เ้าจะต้องคืนมาให้ข้าด้วย”
เหยาซื่อพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปยังห้องพักผ่อน พลางเอ่ยว่า “เหตุใดท่านถึงได้ขี้งกขนาดนี้ ก็แค่จานใบหนึ่งเองนะเ้าคะ? หากท่านกลัวว่าจานหายไปใบหนึ่งแล้วจะไม่ครบชุด ท่านก็มอบที่เหลือให้ข้าเป็รางวัลสิเ้าคะ? ส่วนค่าตอบแทนข้าจะมาดูแลท่านทุกวันเลยเ้าค่ะ จานหลายใบนี้ท่านตัดใจจากมันได้เลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินก็หัวเราะออกมาแล้วพูดกับอู่ซื่อแล้วก็จูซื่อว่า “เห็นหรือไม่ ฮูหยินสี่ของพวกเราเป็คนที่ชอบเงินมากจริงๆ”
เหยาซื่อเป็คนที่เอาใจคนเก่ง เป็ยอดฝีมือในการปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ปกติแล้วก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอู่ซื่อและจูซื่อ เข้ากันได้ดีกับภรรยาของพี่น้องของสามี ฮูหยินผู้เฒ่าหยอกล้อนางเช่นนี้ กลับทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา
ดาวเด่นของงานถูกผู้าุโกว่าตัวเองแย่งไป ในใจของสวี่ไป่ก็ไม่ค่อยพอใจ รอจนทุกคนต่างนั่งลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอนว่าจะต้องนั่งลงบนที่ตั่งหลัวฮั่น อู่ซื่อกับจูซื่อนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ หนิงซื่อกับเหยาซื่อและลูกสะใภ้ทั้งสองของจูซื่อก็นั่งอยู่อีกด้าน แม่นางน้อยอายุเท่ากับสวี่จือก็ยืนอยู่ด้านหลังผู้ใหญ่ กลับเป็จางจ้าวฉือที่เพิ่งจะกลับมา จึงถูกฮูหยินผู้เฒ่าลากมานั่งบนที่ตั่งหลัวฮั่น สวี่จือก็ไปยืนอยู่ด้านหลังจางจ้าวฉือ
จางจ้าวฉือวางสวี่ไป่บนตั่งหลัวฮั่น บนตั่งวางโต๊ะเล็กๆ เอาไว้ บนโต๊ะนอกจากจะวางถ้วยชาเอาไว้ ยังวางหยกเอาไว้ก้อนหนึ่งซึ่งสลักเป็รูปเหลียนฮวา [1] เป็ของรักของฮูหยินผู้เฒ่า ปกติแล้วจะเอามาเล่นติดมือ
สวี่ไป่สามารถนั่งได้แล้ว ซึ่งเขานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ความสูงกำลังพอเหมาะ สามารถเห็นหยกอันนั้นได้พอดี
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสวี่ไป่นั่งตัวตรงก็เอ่ย “ไป่เกอใกล้จะแปดเดือนแล้วใช่หรือไม่? ดูสิ นั่งได้ดีแล้ว”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “ใช่เ้าค่ะ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะแปดเดือนแล้ว ปกติชอบถูกคนอุ้มออกไปเดินบนถนน พวกเราอยู่ที่ชายแดน เลี้ยงเด็กได้แบบหยาบๆ เ้าค่ะ ไป่เกอดื่มกินอุดมสมบูรณ์ ห้าเดือนกว่าก็สามารถนั่งได้มั่นคงแล้วเ้าค่ะ ตอนนี้พยุงแขนเขาก็ยังสามารถก้าวขาเดินได้แล้วด้วยเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ที่ไกลขนาดนั้น เด็กก็ยังเล็กขนาดนี้ ลำบากเ้าแล้ว”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ท่านอย่าพูดว่าลำบากเลยเ้าค่ะ ข้าเห็นเด็กคนนี้อยู่ที่นั่นก็มีชีวิตที่สุขสบายนะเ้าคะ ท่านคงไม่รู้ ตอนนี้ที่เหอซีไม่ว่าที่ใดก็ต่างกำลังสร้างบ้านสร้างเรือน จำนวนคนไม่พอจึงจ้างทหารจากทางด้านด่านเยี่ยนเหมินมาช่วย เด็กคนนี้ชอบไปดูคนสร้างบ้านมากที่สุด เห็นใครก็ยิ้มให้ ทำเอาผู้ใดเห็นก็ชอบเอาของมามอบให้เขา เอาของมาหยอกเขาเล่น ให้เขาเก็บเอาไว้ พอนานวันเข้า เขาก็รู้จักซ่อนของ ของเล่นในบ้าน ของเล็กๆ พวกนั้น หาไม่เจอสักอย่าง พอถามเขา เขาก็สามารถหาออกมาได้อย่างแม่นยำเลยเ้าค่ะ”
สวี่ไป่ได้ยินแม่ตนเองพูดถึงตนเองเช่นนี้ ในตอนแรกยังรู้สึกเขิน เขารู้สึกว่าของเล็กๆ พวกนี้มันดูมีค่ามาก แต่ก็คิดได้อีกว่า ตนเองอายุแค่ไม่กี่ขวบ ใครจะมาหัวเราะเยาะตนได้? ตอนนี้เขายังอยู่ใน่วัยที่น่ารักอยู่
ได้ยินจางจ้าวฉือพูดเช่นนี้ เห็นฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตาหยีมองมาที่ตนเอง ก็คว้าหยกที่ขนาดเท่ามือของตนเองขึ้นมา บนตัวของเขาแขวนกระเป๋าใบเล็กๆ อยู่ เป็ของที่สวี่จือทำให้เขาเพื่อใส่ผ้าเช็ดหน้าเอาไว้เป็ประจำ ผ้าถูกผูกเอาไว้ที่คอ เขาก้มหน้าลงอยากจะเอาของประดับชิ้นเล็กใส่เข้าไปในกระเป๋าผ้า แต่ไม่ว่าจะยัดยังไงก็ยัดไม่ลง จึงอดที่จะใช้มือไปดึงแขนเสื้อจางจ้าวฉือไม่ได้
จางจ้าวฉือเห็นแล้วก็แย่งหยกมา แล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ ทุกคนในห้องเห็นแล้วก็ต่างหัวเราะออกมา จูซื่อหัวเราะแล้วเอ่ย “คุณชายเจ็ดของพวกเราเหมือนกับคุณนายสี่เลยนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือพูดอย่างละเหี่ยใจ “ข้าจะพูดกับพวกท่านเอาไว้ก่อนแล้วกัน ต่อไปเจอไป่เกอจะต้องซ่อนของเอาไว้ให้ดี จะต้องซ่อนให้ดีจริงๆ หากของหายไปข้าไม่ยุ่งด้วยนะเ้าคะ”
เหยาซื่อหัวเราะแล้วเอ่ย “พี่สะใภ้สาม ข้าเองก็มาพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าทุกวัน ได้ยินท่านพูดว่า คุณชายเจ็ดเตรียมตัวจะคุ้ยหาของทั่วเรือนหรือ?”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ก็ประมาณนั้นเลย เ้าเด็กคนนี้ชอบของระยิบระยับมาก อย่างหยกพวกนี้ เขาล่ะชอบมากเชียวล่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ยัดของประดับชิ้นเล็กเข้าไปในถุงผ้าของสวี่ไป่ “ไป่เกอของพวกเราเป็คุณชายที่ทรงเกียรติของจวน จะต้องได้รับของดีพวกนี้ มา ข้าจะให้ของขวัญพบหน้ากับเ้า”
ของประดับชิ้นนั้นมีมูลค่าไม่เบา อีกทั้งยังเป็ของรักของฮูหยินผู้เฒ่า จางจ้าวฉือมีใจอยากจะแย่งกลับมาจากมือของสวี่ไป่แล้วคืนให้ฮูหยินผู้เฒ่า แต่สวี่ไป่บิดตัวไม่ให้จางจ้าวฉือแย่งได้ ตัวเองกลับใช้โต๊ะพยุงตัวยืนขึ้น แล้วเดินโขยกเขยกไปอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของนางแล้วกอดฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมมอบจุมพิตให้ไปอีกหลายที
เชิงอรรถ
[1] ดอกบัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้